
เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่า ถ้าอยากตามติดเศรษฐกิจยุโรปจริงๆ ต้องดูอะไร? หรือถ้าอยากลงทุนในบริษัทใหญ่ๆ ของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เราจะเริ่มตรงไหนดี? วันนี้ผมจะชวนไปทำความรู้จักกับ “สมุดพก” หรือ “รายงานสุขภาพ” ฉบับย่อของเหล่าบริษัทชั้นนำในโซนยูโรที่ชื่อว่า ดัชนี euro stoxx 50 ครับ
ลองนึกภาพว่า ดัชนี euro stoxx 50 ก็เหมือนบาร์มิเตอร์ที่วัดอุณหภูมิของตลาดหุ้นใน 11 ประเทศสำคัญที่ใช้เงินยูโรนะ เขาไม่ได้วัดทั้งหมด แต่เลือกเอา 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีการซื้อขายคึกคักที่สุดมาเป็นตัวแทน เหมือนเราดูทีมชาติที่คัดนักกีฬาเก่งๆ มานั่นแหละ ดัชนีนี้จัดทำโดยบริษัทที่ชื่อว่า STOXX ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์เยอรมนี หรือ Deutsche Börse Group เขาเริ่มทำดัชนีนี้มาตั้งแต่ปี 2541 แล้วนะ วิธีเลือกหุ้นเข้าดัชนีก็ใช้แบบที่เรียกว่า Free-float Market Cap Weighted หรือแปลง่ายๆ คือ เขาเลือกบริษัทที่ใหญ่ที่สุดและมีการซื้อขายคึกคักที่สุด 50 แห่ง แล้วให้น้ำหนักตามมูลค่าของหุ้นที่คนทั่วไปซื้อขายได้ ไม่ใช่รวมมูลค่าหุ้นทั้งหมด
ทำไม euro stoxx 50 ถึงสำคัญน่ะเหรอ? ก็เพราะมันเป็นดัชนีที่มีสภาพคล่อง (Liquid) สูงมากๆ ถือเป็นดัชนีหุ้นสกุลเงินยูโรที่มีการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่อ้างอิงอย่างคึกคักที่สุดเลยล่ะ มันมีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้คนสนใจ หนึ่งคือมัน Tradeable หรือซื้อขายง่าย เหมาะสำหรับเอาไปใช้ออกแบบสินค้าการเงินต่างๆ และใช้เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน สองคือมัน Balanced หรือมีความสมดุลในแง่ของการกระจายตัวตามภาคอุตสาหกรรม (Industry Classification Benchmark – ICB) ถึงแม้จะแค่ 50 บริษัท แต่ก็มาจากหลายๆ กลุ่มธุรกิจ สามคือมัน Current หรือทันสมัยอยู่เสมอ เพราะเขาจะมีการปรับรายชื่อและน้ำหนักหุ้นในดัชนีทุกไตรมาส ทบทวนใหญ่ทุกปี และมีกฎที่เรียกว่า Fast-exit เพื่อให้ดัชนีสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาดจริงๆ นอกจากนี้ยังมีความ Precise หรือแม่นยำ เพราะมีดัชนีย่อยๆ ที่ตัดกลุ่มการเงินออกไป หรือดัชนีที่เน้นแค่ประเทศเดียว และสำหรับนักลงทุนที่สนใจเรื่องความยั่งยืน ก็มีทางเลือกอย่างดัชนี euro stoxx 50 ESG Index ด้วยนะ ที่สำคัญที่สุดคือมัน Accessible หรือเข้าถึงได้ง่าย เพราะมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่อ้างอิงดัชนีนี้อยู่จำนวนมาก

แล้วถ้าเราอยาก “ซื้อ” หรือ “ตาม” ดัชนีนี้ล่ะ ทำได้ยังไงบ้าง? ช่องทางที่นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายที่สุดก็คือผ่านกองทุนรวมดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือที่เรียกกันว่า ETF (Exchange-Traded Funds) ซึ่งในข้อมูลบอกว่ามีกองทุน ETF ที่ติดตาม euro stoxx 50 อยู่ไม่น้อยกว่า 16 กองทุนเลยทีเดียว มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ ETF ที่อ้างอิงดัชนีนี้รวมกันทั่วโลกนี่ทะลุ 2.8 หมื่นล้านยูโรไปแล้วนะ! ซื้อ ETF ก็เหมือนเราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง แต่ในนั้นมีหุ้นใหญ่ๆ 50 ตัวของยุโรปรวมอยู่ เราก็จะได้ประโยชน์ทั้งจากราคาหุ้นที่ขึ้น และเงินปันผล (ถ้ากองทุนนั้นจ่ายปันผล)
กองทุน ETF ที่อ้างอิง euro stoxx 50 ก็มีหลายเจ้าให้เลือกนะ อย่างที่เราเห็นชื่อบ่อยๆ ก็มีเช่น iShares (อยู่ภายใต้ BlackRock), Xtrackers (อยู่ภายใต้ DWS Group), HSBC, Amundi, หรือ Invesco ซึ่งแต่ละกองทุนก็จะมีค่าใช้จ่ายรวมต่อปี หรือที่เรียกว่า TER (Total Expense Ratio) ที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 0.05% ถึง 0.24% ต่อปี ไม่เยอะเท่าไหร่เนอะ การเลือกกองทุน ETF ก็ดูได้หลายอย่าง เช่น ขนาดกองทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง ค่า TER หรือจะเลือกแบบที่จ่ายปันผล (Distributing) หรือแบบที่เอาปันผลไปลงทุนต่อ (Accumulating) ก็ได้ ข้อมูลจากแหล่งหนึ่ง (JustETF) บอกว่า ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2568 กองทุนที่ผลตอบแทนดีในรอบ 1 ปี เช่น Amundi EURO STOXX 50 UCITS ETF DR หรือ HSBC EURO STOXX 50 UCITS ETF EUR (Acc) ส่วนกองทุนที่ใหญ่ที่สุดคือ iShares EURO STOXX 50 UCITS ETF (DE) และ Xtrackers EURO STOXX 50 UCITS ETF 1D ส่วนกองที่ TER ต่ำสุดก็มีของ HSBC กับ Invesco
นอกจาก ETF แล้ว euro stoxx 50 ยังเป็นสินทรัพย์อ้างอิงของสัญญาอนุพันธ์ (Derivatives) ที่มีการซื้อขายคึกคักมากๆ บนตลาดที่เรียกว่า Eurex ด้วยนะ พวกนี้ก็คือ Options (สัญญา Option) กับ Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น หรือใช้ในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ การซื้อขาย Options และ Futures ของ euro stoxx 50 ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Cash Settlement หรือชำระเป็นเงินสด มูลค่าสัญญาหลักอยู่ที่ 10 ยูโรต่อจุดดัชนี มีอายุสัญญาให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่รายสัปดาห์ รายเดือน รายไตรมาส ไปจนถึงรายปี
มาดูสถานการณ์ล่าสุดของ euro stoxx 50 กันหน่อยดีกว่า ตามข้อมูล ณ วันที่ 5:50 pm CET วันหนึ่ง ราคาล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 4,839 จุด ลดลงไปเกือบ 2% (-96.36 จุด หรือ -1.95%) ในวันเดียว แต่ถ้าย้อนดูผลการดำเนินงานในกรอบเวลาอื่นๆ ก็จะเห็นภาพรวมที่ต่างไปนะ เช่น ในรอบสัปดาห์ลดลงประมาณ 3.54% แต่ถ้ายาวหน่อย ตั้งแต่ต้นปีขึ้นมาแล้วประมาณ 7.23% และในรอบ 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาขึ้นมาถึง 10.86% เลยนะ ช่วงราคาในวันเดียวก็เคลื่อนไหวระหว่าง 4819.56 ถึง 4942.82 ส่วนช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 5100.9 จุด (เมื่อกลางเดือน พ.ค. 2567) และต่ำสุดแถวๆ 4014.36 จุด (เมื่อปลายเดือน ต.ค. 2566) แสดงว่ามันก็มีความผันผวนพอสมควรเลยล่ะ

นอกจากราคาดัชนีแล้ว ยังมีดัชนีที่บอก “อารมณ์” ของตลาดด้วยนะ เขาเรียกว่า VSTOXX หรือดัชนีความผันผวนของ euro stoxx 50 (สัญลักษณ์ V2TX) ค่านี้สะท้อนความคาดหวังของตลาดต่อความผันผวนในอนาคต คล้ายๆ กับดัชนี VIX ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลย ถ้าค่า VSTOXX ยิ่งสูง แปลว่าตลาดคาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคาที่รุนแรงมากขึ้น ในข้อมูลล่าสุด ค่า VSTOXX อยู่ที่ประมาณ 16.17 ลดลงนิดหน่อยในวันนั้น แต่ถ้าย้อนดู 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่านี้เคยขึ้นไปสูงถึง 31.1676 (เมื่อ ส.ค. 2567) และต่ำสุดแถวๆ 12.1346 (เมื่อ พ.ค. 2567) จะเห็นว่าช่วงที่ตลาดดู “กลัวๆ” ค่าความผันผวนก็จะพุ่งขึ้นไปสูงมาก
การเคลื่อนไหวของ euro stoxx 50 ไม่ได้มาจากแค่เรื่องธุรกิจในยุโรปนะ แต่ยังเกี่ยวพันกับข่าวสาร เหตุการณ์ทั่วโลกด้วย อย่างบทวิเคราะห์ต่างๆ ก็พูดถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น มูลค่าหุ้นยุโรปยังน่าสนใจอยู่ไหม มุมมองต่อความผันผวนที่สะท้อนผ่านดัชนี VSTOXX หรือ VIX ผลกระทบจากการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ซึ่งอาจทำให้ตลาดผันผวนมากขึ้น หรือแม้แต่ผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครน ซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้นและภาคส่วนต่างๆ ทั่วโลกเลยนะ เคยมีนักลงทุนดังๆ อย่างคุณ Bill Gross เคยให้ความเห็นว่า “อย่าเพิ่งรีบเข้าซื้อตอนราคาตก” (Don’t buy the dip) ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดก็มีมุมมองหลากหลายกันไปนะ
เบื้องหลัง ดัชนี euro stoxx 50 นี้ ก็มีองค์กรใหญ่ๆ เป็นผู้ดูแลนะ อย่าง STOXX ที่เป็นคนคำนวณดัชนีตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด หรือ Deutsche Börse Group ที่เป็นเจ้าของตลาดหลักทรัพย์และตลาดอนุพันธ์ Eurex ซึ่งเป็นที่ซื้อขาย Options กับ Futures ของดัชนีนี้ ส่วนผู้ให้บริการ ETF ชื่อดังที่อ้างอิงดัชนีนี้ก็อย่างเช่น State Street Global Advisors (SSGA) หรือ iShares (อยู่ภายใต้ BlackRock)
🚨 ข้อควรรู้และระวังก่อนคิดลงทุนใน euro stoxx 50 (ผ่านสินค้าต่างๆ เช่น ETF หรืออนุพันธ์) การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงนะ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดต่างประเทศ
* ความเสี่ยงจากหลักทรัพย์ทุน: ราคาหุ้นขึ้นลงได้ตามสภาพตลาดและผลประกอบการของบริษัท อันนี้เป็นความเสี่ยงพื้นฐานของการลงทุนในหุ้นเลย
* ความเสี่ยงจากหลักทรัพย์ต่างประเทศ: อันนี้ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย เพราะไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจนะ แต่ยังมีเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศนั้นๆ ที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงเลย แถมค่าเงินระหว่างประเทศที่เราใช้ลงทุนกับเงินยูโรก็มีผลต่อผลตอบแทนด้วย
* ความเสี่ยงจากการไม่กระจุกตัว (น้อยกว่าดัชนีหุ้นเดี่ยวๆ แต่มากกว่าดัชนีรวมตลาด): แม้ euro stoxx 50 จะมีหุ้นถึง 50 ตัวจากหลายประเทศและหลายอุตสาหกรรม แต่มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของตลาดหุ้นยุโรปทั้งหมด ถ้าเทียบกับดัชนีที่รวมหุ้นหลายร้อยตัว ก็อาจจะยังมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นแค่ 50 ตัวนี้อยู่บ้าง ถ้าเกิดบริษัทใหญ่ๆ ในดัชนีมีปัญหาพร้อมๆ กัน
* ความเสี่ยงจากการบริหารแบบ Passive: กองทุน ETF ที่ติดตามดัชนีแบบนี้ส่วนใหญ่จะบริหารแบบ Passive คือแค่พยายามทำให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีให้มากที่สุด ซึ่งบางครั้งอาจมี Tracking Error หรือผลตอบแทนคลาดเคลื่อนไปจากดัชนีจริงได้บ้าง
* ความเสี่ยงจากภาวะตลาดผันผวน: ในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ การซื้อขายหน่วยลงทุนของ ETF อาจทำได้ไม่ง่ายนัก หรืออาจจะต้องซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ที่ควรจะเป็นได้
นอกจากความเสี่ยงแล้ว การเข้าถึงข้อมูลหรือผลิตภัณฑ์ลงทุนบางอย่างอาจมีข้อจำกัดในบางประเทศ ขึ้นอยู่กับกฎหมายหลักทรัพย์และการจดทะเบียนในประเทศนั้นๆ ด้วยนะ
โดยรวมแล้ว ดัชนี euro stoxx 50 ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญของตลาดหุ้นยุโรปโซนยูโร และเป็นช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากลงทุนในบริษัทใหญ่ๆ ชั้นนำของยุโรป เพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน หรือมองหาโอกาสในตลาดที่แตกต่างจากตลาดในประเทศของเรา
แต่การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงนะ โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางไหนก็ตาม ก่อนตัดสินใจ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น ETF ที่ติดตาม euro stoxx 50 หรือสัญญา Options/Futures บน Eurex และประเมินว่ามันเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่เรารับได้หรือเปล่า
⚠️ ข้อควรระวัง: การลงทุนใน euro stoxx 50 หรือผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงมีความซับซ้อนและความเสี่ยงจากหลายปัจจัย การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบและเข้าใจความเสี่ยงอย่างแท้จริง
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็น euro stoxx 50 หรือสินทรัพย์อื่นๆ ในโลก การลงทุนที่ดีคือการลงทุนที่เราเข้าใจและประเมินความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมครับ