
เวลาอเมริกาหาว… ตลาดหุ้นไทยจามไหม? แล้ว S&P 500 ตัวเลขวิ่งฉิว มันบอกอะไรเราบ้าง?
สวัสดีครับ นักลงทุนและผู้ที่ติดตามข่าวสารการเงินทุกท่าน ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกแบบเดียวกัน เวลาที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกาศออกมา หรือเวลาที่ตลาดหุ้นอเมริกากระโดดขึ้นแรงๆ อดไม่ได้ที่จะต้องแอบหันไปมองพอร์ตตัวเองว่า “แล้วของเราล่ะ เป็นไงบ้าง?” โดยเฉพาะใครที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ หรือผ่านกองทุนรวมต่างๆ ที่ไปลงทุนในดัชนีสำคัญๆ ของโลก อย่างดัชนี S&P 500 ที่ถือเป็นตัวแทนของหุ้นบริษัทใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ เรื่องราวในอเมริกานี่มีผลกับเงินในกระเป๋าเราได้จริงๆ นะครับ
ช่วงนี้มีข่าวคราวจากฝั่งสหรัฐฯ ที่น่าสนใจทีเดียวครับ หนึ่งในประเด็นร้อนก็หนีไม่พ้นเรื่อง “งาน” หรือ ตลาดแรงงานของเขา เมื่อไม่นานมานี้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือนพฤษภาคมประกาศออกมา ปรากฏว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนั้น “ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้” ซะอีกครับ (เพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 125,000 ตำแหน่ง) พอข่าวนี้ออกมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เหมือนได้พลังงานใหม่ พุ่งขึ้นกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 นี่ดูดีเป็นพิเศษ กลับมายืนเหนือระดับ 6,000 จุดได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจอเมริกานั่นแหละครับ
นอกจากตัวเลขจำนวนคนที่ได้งานใหม่แล้ว อีกเรื่องที่ตลาดจับตาคือ “ค่าจ้าง” ครับ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงในเดือนพฤษภาคมก็ออกมาดูแข็งแกร่งทีเดียว เติบโต 0.4% แต่ก็ไม่ได้แรงจนน่าตกใจว่าเงินเฟ้อจะพุ่งกระฉูด การที่ตลาดแรงงานดูดี แต่ค่าจ้างไม่ได้เร่งร้อนจนเกินไปนี่แหละครับ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” อาจจะยังไม่รีบร้อนขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าๆ คือเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม โดยมีโอกาสสูงถึง 83.4% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.25%-4.5% ในเดือนกรกฎาคม ตามข้อมูลที่ออกมา นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนให้ดูสดใสขึ้นครับ

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะดีเลิศไปหมดนะครับ ถ้าเจาะลึกลงไปอีกนิด เราก็เห็นสัญญาณบางอย่างที่ต้องระวังอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ล่าสุดไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน รวมถึงจำนวนผู้ที่รับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องก็อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ตัวเลขพวกนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้ภาพใหญ่ของการจ้างงานจะดูดี แต่ก็อาจจะมีบางส่วนที่เริ่มชะลอตัวลงบ้างแล้ว ซึ่งนักลงทุนก็ต้องคอยติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ และเรื่องการค้า ที่เคยมีข่าวการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสองชาติใหญ่เมื่อวันก่อน ที่ส่งผลให้ตลาดดูเงียบๆ ไปพักหนึ่ง ก่อนจะมาคึกคักจากข่าวตัวเลขจ้างงานนี่แหละครับ
ทีนี้… ในฐานะนักลงทุนไทย เราจะ “เกาะ” ไปกับโอกาสในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ S&P 500 นี้ได้ยังไงบ้าง? แน่นอนว่าการซื้อหุ้นรายตัวตรงๆ อาจจะยุ่งยากไปหน่อยสำหรับหลายคน ทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากๆ คือการลงทุนผ่าน กองทุนรวม ครับ โดยเฉพาะ กองทุนดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายไปลงทุนตามดัชนี S&P 500 ซึ่งสะดวก เข้าถึงง่าย และมักจะมีค่าธรรมเนียมไม่สูงนัก
ปัจจุบัน มี บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ในไทยหลายแห่งที่นำเสนอกองทุนประเภทนี้ อย่าง บลจ. กสิกรไทย เองก็มีกองทุนดัชนีให้เลือกหลากหลายมากๆ ครอบคลุมตลาดสำคัญๆ ทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ (เช่น S&P 500, Nasdaq 100) ยุโรป ญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่ตลาดหุ้นไทย SET50 ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงไปตลาดต่างๆ ได้ง่ายๆ จุดเด่นของ กองทุนรวมดัชนี พวกนี้ก็คือลงทุนตามดัชนี ค่าธรรมเนียมต่ำ และบางกองก็กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำแค่ 1 บาท หรือ 500 บาทเท่านั้นเองครับ
ถ้าเจาะจงมาที่ กองทุนรวม ที่ลงทุนในดัชนี S&P 500 โดยเฉพาะ ก็น่าจะมีหลายกองให้เราพิจารณาครับ ยกตัวอย่างเช่น กองทุนหนึ่งจาก บลจ. ไทยพาณิชย์ ที่ลงทุนในดัชนี S&P 500 กองทุนนี้มีค่าความเสี่ยงระดับ 6 และส่วนใหญ่จะมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความผันผวนจากค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ในข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 (ข้อมูลจากเอกสาร) กองทุนนี้มี NAV อยู่ที่ 56.85 บาท และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 4.3 พันล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังก็ดูน่าสนใจทีเดียวครับ เช่น 3 ปีเฉลี่ย 8.13% ต่อปี และ 5 ปีเฉลี่ย 11.33% ต่อปี

ทีนี้ ลองมาดูอีกแบบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือกองทุนที่ลงทุนใน S&P 500 เหมือนกัน แต่มีจุดเด่นที่แตกต่าง อย่างกองทุนหนึ่งจาก KKPAM (บลจ. เกียรตินาคินภัทร) กองทุนนี้ไปลงทุนใน กองทุนอีทีเอฟ (ETF) หลักชื่อ iShares Core S&P 500 ETF ข้อที่ทำให้กองทุนนี้ดูน่าสนใจสุดๆ คือ “ไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการตลอดอายุโครงการ” ครับ! แต่ก็ต้องดูรายละเอียดอื่นๆ ด้วยนะครับ เพราะยังมีค่าธรรมเนียมตอนซื้อและตอนขาย (0.2675%) และที่สำคัญมากๆ เลยคือกองทุนนี้ “ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน” ครับ หมายความว่า ถ้าค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าการลงทุนของเราในรูปเงินบาทก็อาจจะลดลง ในทางกลับกัน ถ้าเงินบาทอ่อนค่า เราก็มีโอกาสได้กำไรเพิ่มจากส่วนต่างค่าเงินครับ กองทุนนี้กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ 1,000 บาท (แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อคน)
การเลือกลงทุนใน s&p500 กองทุน แบบป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged) หรือไม่ป้องกัน (Unhedged) ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและความพร้อมของแต่ละคนนะครับ ถ้าเราไม่ต้องการแบกรับความผันผวนของค่าเงิน ก็เลือกแบบ Hedged แต่ถ้าเรามองว่าค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่า หรือเราพร้อมที่จะรับความเสี่ยงและความเป็นไปได้ในการได้กำไรจากค่าเงินด้วย ก็อาจจะพิจารณาแบบ Unhedged ครับ
นอกจากเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจและกองทุนแล้ว อีกเรื่องเล็กๆ แต่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือเรื่อง “วันหยุด” ครับ ทั้งวันหยุดราชการของไทยและวันหยุดทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2567-2568 เพราะวันหยุดเหล่านี้จะส่งผลต่อวันที่เราสามารถส่งคำสั่งซื้อขายกองทุน หรือวันที่มูลค่า NAV จะประกาศออกมาได้ครับ การรู้ปฏิทินวันหยุดคร่าวๆ ก็ช่วยให้เราวางแผนการลงทุนได้ไม่ติดขัดครับ
สรุปภาพรวมตอนนี้ก็คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ยังดูมีความน่าสนใจอยู่ครับ ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ส่งสัญญาณดีกว่าคาด และแนวโน้มที่เฟดน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อน (จากข้อมูลล่าสุด) สำหรับนักลงทุนไทยที่อยาก “ไปให้ถึง” ตลาดนี้ การลงทุนผ่าน กองทุนรวมดัชนี S&P 500 ที่มีอยู่ในไทย เป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่าย มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบป้องกันและไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีรายละเอียด ค่าธรรมเนียม และนโยบายที่แตกต่างกันไป
ก่อนจะตัดสินใจลงทุน s&p500 กองทุนไหนก็ตาม ผมขอแนะนำให้ลองทำการบ้านเพิ่มอีกนิดนะครับ ศึกษาข้อมูลกองทุนให้ละเอียด ดูว่านโยบายการลงทุนตรงกับความต้องการของเราไหม ค่าธรรมเนียมเป็นยังไง นโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบไหน ที่สำคัญคือ ต้องเข้าใจธรรมชาติของการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่มีความเสี่ยงทั้งจากตัวตลาดเอง และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยครับ
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะถ้าสภาพคล่องเงินทุนของคุณไม่ได้สูงมาก ลองประเมินให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนรวมดัชนี S&P 500 แบบที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินนะครับ ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีความสุขครับ!