สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุน และคนที่อาจจะเคยได้ยินคำว่า “ดาวโจนส์” ผ่านหูมาบ้างนะครับ
ช่วงนี้เวลาเปิดข่าวเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ไถฟีดโซเชียล ก็คงเห็นพูดถึง “ผลดาวโจนส์อเมริกา” กันบ่อยๆ ใช่ไหมครับ บางวันก็บอกว่าพุ่งปรี๊ด บางวันก็บอกว่าดิ่งเหวซะงั้น มันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมการขึ้นลงของตัวเลขที่อเมริกาถึงมามีผลต่อความรู้สึกหรือแม้แต่พอร์ตการลงทุนของเราได้ด้วย วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์เรื่องเงินๆ ทองๆ ที่พยายามเล่าให้เข้าใจง่ายๆ จะขออาสาพาไปแกะรอยเจ้า “ผลดาวโจนส์อเมริกา” ตัวนี้กันครับ

คุณสมศรี เพื่อนผมที่เพิ่งเริ่มสนใจลงทุนในกองทุนต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งไลน์มาถามผมเมื่อเช้าเลยครับว่า “แกๆ ทำไมเมื่อวานดาวโจนส์มันร่วงไปเกือบพันจุดเลยอะ เกิดอะไรขึ้น แล้วเงินฉันจะเป็นยังไงบ้าง?” คำถามนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนหลายๆ คนเลยล่ะครับ เพราะดัชนีอย่างดาวโจนส์ (ชื่อเต็มๆ คือ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Industrial Average – DJIA) มันเหมือนเป็นเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่เบอร์ต้นๆ ของโลก พอเศรษฐกิจอเมริกาไม่สบาย หรือจามนิดหน่อย ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงบ้านเราก็มักจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนไปด้วยครับ
เจ้าดัชนีดาวโจนส์เนี่ยมีประวัติยาวนานมากนะครับ เป็นดัชนีหุ้นตัวแรกๆ ของอเมริกาเลย ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ระดับ ‘บิ๊กเนม’ จำนวน 30 บริษัท จากเดิมที่เป็นบริษัทฐานอุตสาหกรรมจ๋าๆ ตอนนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนให้มีบริษัทที่เน้นผู้บริโภคมากขึ้น สะท้อนภาพเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้น มูลค่าของดัชนีมันก็จะคำนวณจากราคาหุ้นของ 30 บริษัทนี้แหละครับ ถามว่าเราจะเอาเงินไปซื้อ “ดัชนีดาวโจนส์” ตรงๆ ได้ไหม? คำตอบคือไม่ได้นะครับ มันเป็นแค่ตัวเลขชี้วัด แต่เราสามารถลงทุนอ้อมๆ ได้หลายทาง เช่น ผ่านการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Dow Jones Futures – เหมือนพนันแนวโน้มในอนาคต) กองทุนรวมที่อิงกับดัชนี หรือจะไปซื้อหุ้นรายตัวของบริษัท 30 แห่งที่อยู่ในดัชนีนั้นเลยก็ได้ครับ
ทีนี้ที่เราเห็น “ผลดาวโจนส์อเมริกา” มันขึ้นๆ ลงๆ หวือหวามากๆ เนี่ย มันไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ นะครับ มันมีปัจจัยหลายอย่างมารุมเร้า เหมือนต้มยำที่ใส่เครื่องเยอะๆ เลย ปัจจัยแรกที่เห็นบ่อยๆ คือ “แนวโน้มตลาดโดยรวม” ครับ บางช่วงเราจะเห็นข่าวพาดหัวว่าดาวโจนส์ทรุดเกือบ 400 จุด หรือบางทีก็ดิ่งกว่า 700, 1,000 หรือแม้แต่ 1,100 จุดกันเลยทีเดียว การร่วงแบบหนักๆ ของตลาดหุ้นนิวยอร์ก (Wall Street – วอลล์สตรีท) เนี่ย มักจะล้อไปกับการปรับตัวลงของดัชนีสำคัญอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ Nasdaq (แนสแด็ก) ด้วยนะครับ เหมือนพี่น้องสามเกลอ ไปไหนไปด้วยกัน ส่วนราคาฟิวเจอร์สของดัชนีพวกนี้ก็มักจะส่งสัญญาณล่วงหน้าก่อนตลาดเปิด เหมือนเป็นตัวอย่างหนังให้ดูก่อนเข้าโรงจริง ทำให้นักลงทุนพอจะเดาแนวโน้มคร่าวๆ ได้ก่อนเริ่มวันซื้อขาย และเวลาที่ตลาดดูไม่ค่อยแน่นอน ดัชนีวัดความวิตกของนักลงทุนที่ชื่อ VIX ก็มักจะพุ่งขึ้นสูงปี๊ดไปทำระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน สะท้อนว่าคนในตลาดกำลังกังวลกันหนักมากครับ

ปัจจัยที่สองที่สำคัญมากๆ คือเรื่องของ “นโยบายการเงินและประเด็นเศรษฐกิจมหภาค” ครับ อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบวงกว้างเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆ คือเรื่อง “ภาษี” อย่างในอดีตเคยมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีที่เรียกว่า “ภาษีทรัมป์” (อ้างอิงถึงนโยบายภาษีสมัยประธานาธิบดีทรัมป์) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เคยกดดันตลาดหุ้นให้ปรับตัวลงมาแล้วครับ ความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า “เฟด” – Fed) อย่างคุณเจอโรม พาวเวลล์ ก็มีอิทธิพลสูงมากครับ เวลาท่านแสดงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจชะลอตัว หรือพูดถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นก็พร้อมจะเทขายหรือดีใจจนวิ่งขึ้นได้ทันทีเลยครับ นอกจากนี้ ประเด็นความขัดแย้งทางการค้า อย่าง “เทรดวอร์” (Trade War – สงครามการค้า) ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือการเจรจาการค้าที่ยังไม่มีความคืบหน้า ก็เป็นตัวสร้างความกังวลให้นักลงทุนอย่างต่อเนื่องครับ แม้แต่การที่จีนออกมาเตือนประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ไม่ให้ทำข้อตกลงที่กระทบผลประโยชน์ของจีน ก็เพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดขึ้นไปอีกครับ นักลงทุนเลยต้องคอยจับตาดูข่าวพวกนี้กันตาไม่กะพริบ อย่างที่เห็นว่ามีการจับตาการประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ของธนาคารกลางจีนด้วย นั่นก็เพราะเศรษฐกิจจีนก็มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกไม่น้อยเลยครับ
อีกเครื่องปรุงสำคัญในต้มยำดาวโจนส์คือ “ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัท” ครับ อันนี้เหมือนเป็นหัวใจหลักเลย เพราะดัชนีมันมาจากราคาหุ้นรายตัวนี่นา ผลการดำเนินงานของบริษัท (ผลประกอบการ) ดีหรือไม่ดี มีผลโดยตรงต่อราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ และส่งต่อไปถึงดัชนีโดยรวมครับ อย่างที่เคยมีข่าวว่าผลประกอบการของ Nvidia (เอ็นวิเดีย) ที่ใกล้จะประกาศ มีผลกดดันตลาดก่อนหน้า เพราะ Nvidia เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ฮอตมากในยุคนี้ ส่วนหุ้นของ Bank of America (แบงก์ ออฟ อเมริกา) กับ Morgan Stanley (มอร์แกน สแตนลีย์) ก็เคยปรับตัวขึ้นได้สวยเลยหลังรายงานกำไรและรายได้สูงกว่าที่คาดไว้ในไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถ้าพื้นฐานบริษัทดี หุ้นก็พร้อมวิ่งครับ แต่ก็มีตัวอย่างหุ้นที่ส่งผลให้ดัชนีดิ่งหนักได้เหมือนกัน อย่างหุ้น UnitedHealth (ยูไนเต็ดเฮลท์) เคยทำให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 500 จุดในวันเดียวมาแล้ว แสดงว่าหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ บางแห่ง มีน้ำหนักต่อดัชนีมากๆ เลยครับ
ลองมองย้อนไป 1 ปีที่ผ่านมา “ผลดาวโจนส์อเมริกา” ก็มีทั้งหุ้นที่เป็นดาวเด่นและดาวร่วงนะครับ หุ้นที่เป็นองค์ประกอบในดัชนีที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาคือ Walmart (วอลมาร์ท) ร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ บวกไปเกือบ 60% เลยทีเดียวครับ ส่วนหุ้นที่อ่อนแอที่สุดคือ Nike (ไนกี้) แบรนด์กีฬาดัง ติดลบไปเกือบ 40% ครับ เห็นไหมครับว่าแม้จะเป็นหุ้นใหญ่ในดัชนีเดียวกัน แต่ผลงานก็ต่างกันลิบลับเลย ส่วนหุ้นอย่าง Nvidia และ Tesla (เทสลา) ที่แม้ไม่ได้อยู่ในดัชนีดาวโจนส์ แต่ก็มีการเคลื่อนไหวที่สำคัญและถูกพูดถึงในบริบทของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมเยอะมาก เพราะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง AI และรถยนต์ไฟฟ้าครับ และมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 อาจจะออกมาดี ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นโดยรวมได้ด้วยครับ

โดยสรุปแล้ว “ผลดาวโจนส์อเมริกา” ที่เราเห็นขึ้นๆ ลงๆ อยู่ทุกวัน เนี่ย มันคือการสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับอิทธิพลจากหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งเทรนด์ตลาดโดยรวม นโยบายรัฐบาล ความเห็นของคนสำคัญในแวดวงการเงิน ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ และที่สำคัญคือผลประกอบการของ 30 บริษัทที่อยู่ในดัชนีนั้นเองครับ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ ช่วยให้เราพอจะมองภาพใหญ่ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ออก และเข้าใจว่าทำไมตัวเลขตรงนั้นถึงมีความสำคัญต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นบ้านเราด้วยครับ
แต่สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอเลยนะครับ เหมือนที่ผมเน้นย้ำมาตลอด คือการลงทุนในตราสารทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน หรือแม้แต่เงินดิจิทัล (Cryptocurrency – คริปโทเคอร์เรนซี) มีความเสี่ยงสูงมากๆ ครับ มีโอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้เลย มันอาจจะไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคนนะครับ ราคาของเงินดิจิทัลเองก็ผันผวนสูงมาก และได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการเงิน กฎหมาย และการเมือง การใช้มาร์จิน (Margin) หรือเลเวอเรจ (Leverage) ในการซื้อขายก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินขึ้นไปอีกครับ
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตลาดต่างประเทศอย่าง “ผลดาวโจนส์อเมริกา” หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ ให้ดี ศึกษาเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ในการลงทุน และที่สำคัญมากๆ คือความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหนครับ หากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตนะครับ
ข้อมูลต่างๆ ที่เราเห็นตามแหล่งข่าว หรือบนเว็บไซต์ อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงเสมอไป อาจมีความแตกต่างจากราคาจริงในตลาดบ้าง ข้อมูลเหล่านั้นเป็นเพียงราคาชี้นำ และไม่เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์การซื้อขายโดยตรงนะครับ
⚠️ โปรดจำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้เท่านั้นนะครับ ความรู้และความเข้าใจคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในการเดินทางบนถนนสายการลงทุนครับ