ไขปริศนา หุ้น nasdaq: ขึ้นๆ ลงๆ เกิดอะไรขึ้นกับตลาดอเมริกา?

ช่วงนี้เปิดข่าวการเงินทีไร เห็นแต่ตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นๆ ลงๆ จนเวียนหัวใช่ไหมครับ โดยเฉพาะเจ้าดัชนีที่ชื่อคุ้นหูอย่าง Nasdaq 100 หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆ ว่า หุ้น nasdaq นี่แหละ ตัวจี๊ดเลย บางวันพุ่งปรี๊ด บางวันก็หน้าทิ่ม ทำเอาหลายคนสงสัยว่า ตกลงแล้วสถานการณ์มันเป็นยังไงกันแน่ แล้วเราในฐานะนักลงทุนไทยที่สนใจตลาดต่างประเทศ ควรจะมองเรื่องนี้ยังไงดี วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายๆ จะมาไขปริศนาให้ฟังครับ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกาดูจะออกอาการเป๋ๆ นิดหน่อย โดยดัชนีหลักๆ อย่าง S&P 500, Nasdaq Composite, และ Dow Jones Industrial Average ต่างก็ปรับตัวลง หลังเพิ่งจะดีใจกันไปได้ไม่นานในวันพฤหัสบดี *ทำไม* ตลาดถึงกลับมาแกว่งอีก? ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องเก่าแต่ยังไม่จบอย่าง “สงครามการค้า” ระหว่างอเมริกากับจีนครับ ประธานาธิบดีทรัมป์ (Donald Trump) กลับมาพูดถึงประเด็นนี้อีกครั้ง โดยกล่าวหาว่าจีนละเมิดข้อตกลงการค้า ทำให้บรรยากาศการเจรจาตึงเครียดขึ้นมาทันที เหมือนไฟที่ทำท่าจะมอดก็มีคนมาเติมเชื้ออีกรอบ ยังไม่พอ ยังมีประเด็นทางกฎหมายที่ซับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้องอีก เมื่อศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ สั่ง “พัก” คำตัดสินของศาลการค้าสหรัฐฯ ที่เคย “ขวาง” ภาษีนำเข้าบางประเภทที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งคำสั่งศาลการค้าเดิมนั้นทำให้ฟิวเจอร์ส (Futures) ของดัชนีต่างๆ รวมถึง หุ้น nasdaq พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การที่ศาลอุทธรณ์สั่งพักคำตัดสินนี้ก็ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนทางกฎหมายเกี่ยวกับภาษีเข้าไปอีก ฟังดูยุ่งยากใช่ไหมครับ แต่มันส่งผลต่อความรู้สึกของนักลงทุนโดยตรงเลยล่ะ

แต่ถ้ามองภาพรวมทั้งเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นอเมริกากลับดูดีทีเดียว โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq Composite ที่นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี มีแนวโน้มที่จะปิดเดือนนี้ด้วยการปรับขึ้นที่แข็งแกร่ง เรียกว่าเป็นพระเอกของเดือนเลยก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการ (Earnings Report) ที่ดีของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง อย่างเช่น Nvidia ที่ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยเฉพาะธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผลประกอบการที่ดีของบริษัทใหญ่ๆ แบบนี้ก็ช่วยดันตลาดโดยรวม โดยเฉพาะ หุ้น nasdaq ซึ่งเป็นบ้านของบริษัทเทคฯ เหล่านี้ให้คึกคักขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกจากผลประกอบการและแนวโน้มทางเทคนิค แต่ความไม่แน่นอนจากประเด็นการค้าและคำตัดสินของศาลก็ยังคงเป็นเงาที่คอยกดดันตลาดอยู่

มาดูเรื่อง “นโยบายการเงิน” กันบ้างครับ หัวใจสำคัญอยู่ที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า เฟด (Fed) ซึ่งเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย นโยบายของเฟดมีผลอย่างมหาศาลต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะ หุ้น nasdaq ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stocks) ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยครับ ตัวเลขเงินเฟ้อ (Inflation) ล่าสุดที่เฟดให้ความสำคัญมากคือ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) และ Core PCE (ที่ไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน) ตัวเลขเดือนเมษายนที่ออกมาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลงเล็กน้อย Core PCE เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบรายปี และ 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์และชะลอลงจากเดือนมีนาคมที่ 2.7% รายปี แม้เงินเฟ้อจะดูซาลง แต่เฟดยังมองเห็นความเสี่ยงที่ “ภาษีการค้า” อาจจะทำให้ราคาสินค้าบางอย่างแพงขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจผลักดันเงินเฟ้อให้กลับมาสูงขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง เฟดจึงคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันไปก่อนในระยะสั้น

แล้วการที่เฟด “ยังไม่รีบลดดอกเบี้ย” เป็นผลดีหรือผลเสียกับตลาดหุ้น? จริงๆ แล้ว การที่เฟดมีแนวโน้มจะ “หยุด” การขึ้นดอกเบี้ย หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ส่งสัญญาณจะขึ้นอีก ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นครับ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตซึ่งเป็นส่วนใหญ่ในดัชนี หุ้น nasdaq เพราะต้นทุนทางการเงิน (อัตราดอกเบี้ย) ที่ไม่สูงขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อการลงทุนขยายกิจการและมูลค่าในอนาคตของบริษัทเหล่านี้ครับ แถมตลาดยังมีการประเมินว่า มีโอกาสสูงที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป และอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ถึง 3 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ด้วย ถ้าแนวโน้มเงินเฟ้อและเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวลงตามที่คาดการณ์ การคาดการณ์นี้ก็ยิ่งเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาดหุ้นโดยรวม และ หุ้น nasdaq ไปด้วย

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ “ความเชื่อมั่นผู้บริโภค” สหรัฐฯ ครับ ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) ในเดือนพฤษภาคมบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทรงตัว หลังจากที่ปรับลดลงมา 4 เดือนติด ซึ่งสะท้อนมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจ หลังได้รับอิทธิพลจากข่าวการค้ากับจีนก่อนหน้านี้ (ก่อนจะกลับมาตึงเครียดอีก) ที่น่าสนใจคือ การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาว (5-10 ปี) ปรับลดลงเป็น 4.2% ในเดือนพฤษภาคม จาก 4.4% ในเดือนเมษายน นับเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบหลายเดือน ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อระยะสั้น (1 ปี) ค่อนข้างทรงตัวที่ 6.6% ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคนี้มีความสำคัญ เพราะมันบอกเราถึงกำลังซื้อและแนวโน้มการใช้จ่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

แล้วไอ้เจ้า หุ้น nasdaq หรือ ดัชนี Nasdaq 100 เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? อธิบายง่ายๆ ก็คือ มันเป็นดัชนีที่สะท้อนผลตอบแทนของ 100 บริษัทขนาดใหญ่สุดในตลาด Nasdaq ที่ไม่ใช่บริษัทในกลุ่มการเงินครับ จุดเด่นของ หุ้น nasdaq คือเต็มไปด้วยบริษัท “เทคโนโลยี” ระดับโลก อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet), Meta (Facebook), Tesla, Nvidia และอื่นๆ อีกมากมาย บริษัทเหล่านี้มีศักยภาพเติบโตสูงมากๆ เพราะได้อานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีโลกเสมือน (AR/VR), หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Driving) รวมถึงท่าทีของเฟดที่สนับสนุนหุ้นกลุ่มเติบโต อย่างที่เล่าไปก่อนหน้านี้ ทำให้ หุ้น nasdaq ยังคงเป็นที่น่าจับตาของนักลงทุนทั่วโลก

เห็นไหมครับว่าตลาด หุ้น nasdaq และตลาดหุ้นอเมริกาโดยรวม มันมีปัจจัยซับซ้อนหลายด้านเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการค้าระหว่างประเทศ คำตัดสินของศาล นโยบายของธนาคารกลาง ตัวเลขเงินเฟ้อ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และที่สำคัญคือผลประกอบการของบริษัทที่อยู่ในดัชนีเอง ภาพรวมในช่วงนี้จึงเป็นเหมือนพรมที่ทอขึ้นจากด้ายหลากสี มีทั้งส่วนที่ดูสดใส (ผลประกอบการที่ดีในกลุ่มเทคโนโลยีบางส่วน, แนวโน้มเงินเฟ้อชะลอตัว, เฟดคงดอกเบี้ย) และส่วนที่ยังดูมืดครึ้ม (ความตึงเครียดทางการค้า, ความไม่แน่นอนทางกฎหมายเรื่องภาษี)

สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจ หุ้น nasdaq หรือตลาดหุ้นอเมริกา สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจว่าปัจจัยต่างๆ ที่เล่ามามันส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไรบ้าง ไม่ควรมองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และควรพิจารณาให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ครับ การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมีความซับซ้อนมากกว่าตลาดในประเทศเล็กน้อย อาจต้องพิจารณาถึงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนด้วยครับ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลที่นำเสนออาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์และไม่ควรถือเป็นคำแนะนำการลงทุนโดยตรง การลงทุนใน หุ้น nasdaq หรือดัชนีต่างประเทศอื่นๆ ผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เช่น กองทุนอย่าง BCAP-USND100 หรือ KKP NDQ ที่ลงทุนตามดัชนี Nasdaq 100) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงได้ แต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลของกองทุนนั้นๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจนะครับ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ในโลกของการลงทุนครับ.

Leave a Reply