ไขข้อสงสัย NDX คืออะไร? เจาะลึกโอกาสทองหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ

เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า “ตลาดหุ้นอเมริกา” แล้วรู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องไกลตัว เหมือนเป็นเรื่องของคนอีกซีกโลกหนึ่งไหมคะ? บางทีเห็นตัวเลขวิ่งไปมาบนหน้าจอ ก็มีทั้งเขียวทั้งแดงจนตาลาย ไม่รู้ว่าแต่ละตัวเลขมันบอกอะไรเราบ้าง

แต่จริงๆ แล้ว ตลาดหุ้นอเมริกาเนี่ย มีความสำคัญมากๆ เลยนะ ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด เพราะบริษัทใหญ่ๆ ในนั้นหลายแห่ง เราก็ใช้สินค้าและบริการเขาอยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นมือถือที่เราถือเล่นโซเชียล ดูหนังฟังเพลง ช้อปปิ้งออนไลน์ หรือแม้แต่ชิปคอมพิวเตอร์ที่ทำให้ทุกอย่างมันทำงานได้เนี่ย ส่วนใหญ่ก็มาจากบริษัทอเมริกันทั้งนั้น

แล้วเวลาเราพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกาเนี่ย ตัวเลขที่เรามักจะเห็นหรือได้ยินบ่อยๆ คือ “ดัชนี” ค่ะ ดัชนีมันก็เหมือนเป็นตัวแทน เป็นค่าเฉลี่ย หรือเป็นภาพรวมของกลุ่มหุ้นกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้เราเห็นภาพรวมได้ง่ายขึ้นว่า กลุ่มหุ้นนั้นๆ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้น แย่ลง หรือทรงๆ ซึ่งดัชนีหลักๆ ที่คนทั่วโลกจับตามองก็มีอยู่ 3 ตัวค่ะ

ตัวแรกคือ **ดัชนี Dow Jones (ดาวโจนส์)** เป็นดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดเลยค่ะ เหมือนเป็นคุณปู่ในวงการหุ้น ตัวนี้เขาจะรวบรวมหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ 30 บริษัท ถือเป็นตัวแทนของหุ้น “บลูชิพ” ที่แข็งแกร่ง มั่นคง สะท้อนสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจอเมริกาได้ดี วิธีคำนวณของดัชนีนี้จะค่อนข้างพิเศษหน่อย คือจะถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น ไม่ใช่ตามมูลค่าตลาดรวม

ตัวที่สองคือ **ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500)** ตัวนี้เป็นที่นิยมมากๆ และหลายคนมองว่าเป็นตัวแทนภาพรวมของตลาดหุ้นอเมริกาได้ดีที่สุด เพราะเขารวมบริษัทใหญ่ถึง 500 บริษัท จากทั้งตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq กระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากๆ ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ พลังงาน บริการต่างๆ การคำนวณจะถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดรวมของบริษัท (Market Cap) คือบริษัทไหนใหญ่ มูลค่าตลาดเยอะ ก็จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าค่ะ

และตัวสุดท้ายที่เราจะมาเจาะลึกกันวันนี้ก็คือ **ดัชนี Nasdaq 100 (แนสแด็ก 100)** นี่แหละค่ะ ที่หลายคนกำลังจับตามองมากๆ เพราะดัชนีตัวนี้เนี่ย เป็นตัวแทนของบริษัทที่เน้น “เทคโนโลยี” และ “นวัตกรรม” เป็นหลัก มักจะเป็นบริษัทที่มีการเติบโตสูง ทีนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า ndx คือ อะไร? จริงๆ แล้ว ndx คือ สัญลักษณ์ย่อ (Ticker Symbol) ที่ใช้เรียกดัชนี Nasdaq 100 ในตลาดการเงินนั่นเองค่ะ เวลาเห็นตัวย่อนี้ ก็ให้เข้าใจได้เลยว่า เขาหมายถึงดัชนี Nasdaq 100 นี่แหละ

แล้วทำไม ndx คือ ดัชนีที่เราต้องสนใจเป็นพิเศษล่ะ? เหตุผลหลักๆ เลยคือ องค์ประกอบของมันค่ะ ดัชนี Nasdaq 100 เนี่ย จะเลือกเอาบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq มาใส่ไว้ในดัชนี (ยกเว้นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงินอย่างเดียว เช่น ธนาคาร ประกัน) นั่นหมายความว่า บริษัทที่อยู่ในดัชนี ndx คือ บริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่หนีไม่พ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร บริการที่เน้นออนไลน์ หรือสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้นวัตกรรมนำ

ลองนึกภาพบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Tesla, Nvidia, Meta Platforms (Facebook), Alphabet (Google), Netflix บริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี ndx คือ ทั้งนั้นเลยค่ะ ชื่อเหล่านี้ฟังแล้วก็รู้เลยว่า แต่ละแห่งคือตัวพ่อตัวแม่ในวงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมโลก ทำให้ดัชนี ndx คือ ตัวแทนของบริษัทที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ นั่นเอง

เกณฑ์การคัดเลือกบริษัทเข้าสู่ดัชนี ndx คือ ก็ค่อนข้างชัดเจนนะคะ นอกจากจะเป็น 1 ใน 100 บริษัทใหญ่สุดใน Nasdaq และไม่ใช่บริษัทการเงินแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ด้วย เช่น มีปริมาณการซื้อขายสม่ำเสมอ มีการรายงานข้อมูลตามมาตรฐาน และไม่อยู่ในกระบวนการล้มละลาย มีการปรับปรุงรายชื่อและสัดส่วนน้ำหนักของแต่ละบริษัทในดัชนีเป็นประจำทุกไตรมาสและทุกปี เพื่อให้แน่ใจว่าดัชนียังคงสะท้อนภาพของบริษัทชั้นนำจริงๆ ค่ะ การคำนวณก็ใช้แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือน S&P 500 ค่ะ

ทีนี้ ถ้าเอาดัชนี S&P 500 มาเทียบกับ Nasdaq 100 (ndx คือ) ล่ะ มันเหมือนหรือต่างกันยังไง? อย่างที่บอกไปว่า S&P 500 มันคือภาพรวมที่หลากหลายกว่า เหมือนรวมทุกอุตสาหกรรมเข้าไว้ด้วยกัน แต่ Nasdaq 100 (ndx คือ) จะเน้นหนักไปที่กลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่งจะอยู่ในทั้งสองดัชนี แต่สัดส่วนของหุ้นเทคโนโลยีใน Nasdaq 100 (ndx คือ) จะสูงกว่า S&P 500 มากๆ ค่ะ แถม Nasdaq 100 ยังไม่รวมหุ้นกลุ่มการเงินเลย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนพอสมควรใน S&P 500

ความต่างนี้มีความหมายต่อนักลงทุนมากๆ เลยนะคะ ถ้าคุณลงทุนใน S&P 500 คุณก็เหมือนกระจายความเสี่ยงไปในหลายๆ อุตสาหกรรม แต่ถ้าคุณลงทุนใน Nasdaq 100 (ndx คือ) คุณกำลังเน้นลงทุนในกลุ่มที่เชื่อว่ามีการเติบโตสูงจากเทคโนโลยี ซึ่งมันก็มาพร้อมกับความผันผวนที่อาจจะมากกว่าด้วยค่ะ เพราะหุ้นกลุ่มนี้มักจะมีราคาที่อ่อนไหวต่อข่าวสารและปัจจัยเฉพาะอุตสาหกรรมมากกว่า

แล้วอะไรล่ะที่เป็นปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ดัชนีเหล่านี้ โดยเฉพาะ Nasdaq 100 (ndx คือ) ขยับขึ้นลง?

ปัจจัยแรกที่สำคัญมากๆ และเป็นที่จับตามองสุดๆ ก็คือ **นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed)** และ **อัตราเงินเฟ้อ** ค่ะ ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะคะ เวลาที่เงินเฟ้อสูงขึ้นมากๆ สินค้าแพงขึ้น คนก็จับจ่ายใช้สอยน้อยลง เฟดก็จะพยายามควบคุมเงินเฟ้อด้วยการ “ขึ้นอัตราดอกเบี้ย” การขึ้นดอกเบี้ยเนี่ย เหมือนการเพิ่มต้นทุนในการกู้เงินค่ะ บริษัทต่างๆ ถ้าจะกู้เงินมาลงทุนขยายกิจการก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น ส่วนคนทั่วไปถ้าจะกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ ก็จ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น กำลังซื้อก็ลดลง

ทีนี้ หุ้นในกลุ่ม Nasdaq 100 (ndx คือ) ส่วนใหญ่มักจะเป็น “หุ้นเติบโต” (Growth Stocks) คือเป็นบริษัทที่เน้นลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคตมากกว่าการจ่ายปันผลหนักๆ ในวันนี้ มูลค่าของหุ้นเหล่านี้มักจะคำนวณจากความคาดหวังผลกำไรในอนาคตที่ไกลออกไป พออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น มูลค่าในอนาคตที่คิดย้อนกลับมาเป็นมูลค่าในปัจจุบันก็จะลดลง (Discount Rate สูงขึ้น) แถมต้นทุนการกู้ยืมก็สูงขึ้น ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดค่อนข้างแรงค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่อาจจะเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ที่เน้นความมั่นคงและปันผล

มีข้อมูลบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เงินเฟ้อกับผลตอบแทนของดัชนี Nasdaq 100 (ndx คือ) มักจะมีความสัมพันธ์แบบผกผันกัน คือถ้าเงินเฟ้อสูง ผลตอบแทนของดัชนีนี้มีแนวโน้มจะลดลง หรืออย่างน้อยก็ซบเซาค่ะ แต่ในทางกลับกัน ถ้าแนวโน้มของเฟดเริ่มส่งสัญญาณว่าจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจจะลดดอกเบี้ยในอนาคตเมื่อเงินเฟ้อเริ่มควบคุมได้ นั่นก็จะกลายเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตอย่างใน Nasdaq 100 (ndx คือ) เลยค่ะ

ปัจจัยที่สองที่สำคัญมากๆ สำหรับดัชนี ndx คือ ก็คือ **การพัฒนาและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม** ค่ะ นี่คือหัวใจของดัชนีนี้เลย เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีเสมือนจริง/ความเป็นจริงเสริม (AR/VR), รถยนต์ไฟฟ้า (EV), เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง หรือแม้แต่ความก้าวหน้าในการแพทย์ ยาใหม่ๆ (ซึ่งบริษัทด้านสุขภาพบางแห่งก็อยู่ใน Nasdaq 100 ด้วย) การพัฒนาเหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้บริษัทในดัชนี ndx คือ เติบโตต่อไปได้ในระยะยาว ถ้ามีนวัตกรรม (ทะลุทะลวง, ก้าวล้ำ) หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลกเกิดขึ้น บริษัทที่เป็นผู้นำด้านนี้ก็มีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนได้สูงมากๆ ค่ะ

แน่นอนว่า **ผลประกอบการของบริษัท** แต่ละแห่งในดัชนีก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ เวลาที่บริษัทใหญ่อย่าง Apple, Microsoft, Amazon ประกาศผลกำไรออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้น และเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าตลาดใหญ่มาก การที่ราคาหุ้นของเขาเปลี่ยนแปลงไปก็มีผลกระทบต่อน้ำหนักและค่าของดัชนี Nasdaq 100 (ndx คือ) โดยรวมค่อนข้างมากเลยค่ะ

คำถามต่อมาที่นักลงทุนไทยอย่างเราๆ คงอยากรู้คือ แล้วเราจะไปลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 (ndx คือ) หรือ S&P 500 ได้ยังไงล่ะ?

ช่องทางที่ง่ายและเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนรายย่อยในไทยก็คือ การลงทุนผ่าน **กองทุนรวม** ค่ะ ปัจจุบันมีหลายบลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ในไทยที่ออกกองทุนรวมที่ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยมีนโยบายอ้างอิงหรือลงทุนตามดัชนีเหล่านี้โดยตรงค่ะ เช่น กองทุนที่ลงทุนใน Nasdaq 100 (ndx คือ) ก็มีให้เลือกหลายกอง เช่น กองทุน BCAP-USND100 หรือ KKP NDQ เป็นต้น การลงทุนผ่านกองทุนรวมเนี่ย เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการมานั่งเลือกหุ้นเอง ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ กองทุนจะจัดการให้เราทั้งหมดค่ะ

อีกช่องทางหนึ่งคือการลงทุนผ่าน **ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ DW (Derivative Warrants)** ที่อ้างอิงดัชนีเหล่านี้ค่ะ ปัจจุบันก็มี DW ที่ผู้ออกในไทย (เช่น DW41 ของ J.P. Morgan) ที่อ้างอิงกับดัชนีหลักๆ ของอเมริกาอย่าง DJI (Dow Jones), NDX (Nasdaq 100) และ SPX (S&P 500) ให้เราเลือกลงทุนได้ แต่ต้องบอกก่อนว่า DW เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในกองทุนรวมมากๆ ค่ะ มันมีเรื่องของอัตราทด (Gearing) เวลา (Time Decay) และปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก่อนลงทุนใน DW ควรศึกษาให้ละเอียดมากๆ ค่ะ

นอกจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมและ DW แล้ว บางคนอาจจะสนใจเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรงกับโบรกเกอร์ต่างประเทศ หรือกับโบรกเกอร์ไทยที่มีบริการเทรดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งค่ะ หรือบางแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกอย่าง Moneta Markets ก็อาจจะมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับดัชนีเหล่านี้ให้เลือกซื้อขายได้เช่นกัน แต่อันนี้ก็ต้องพิจารณาเงื่อนไขและความเหมาะสมให้ดีค่ะ

ไม่ว่าจะเลือกช่องทางไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนักลงทุนต้อง **ศึกษาข้อมูล** ให้เข้าใจก่อนลงทุนเสมอค่ะ ทำความเข้าใจว่าดัชนีที่เราจะลงทุนนั้นคืออะไร ประกอบด้วยหุ้นอะไรบ้าง ปัจจัยอะไรที่มีผลกระทบต่อมัน และที่สำคัญคือ **ทำความเข้าใจความเสี่ยง** ด้วยค่ะ การลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นต่างประเทศ มีความเสี่ยงจากหลายปัจจัย ทั้งความผันผวนของราคาหุ้นเอง ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ) และความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาคต่างๆ ทั่วโลก

ยกตัวอย่างสถานการณ์สมมติ สมมติว่าคุณเห็นข่าวว่าหุ้นเทคโนโลยีในอเมริกากำลังมาแรงมากๆ เพราะกระแส AI กำลังบูม คุณก็เลยสนใจลงทุนใน Nasdaq 100 (ndx คือ) เพราะอยากได้ส่วนแบ่งจากความเติบโตนี้ แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่า ถ้าเกิดมีข่าวร้ายเกี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เพียงไม่กี่แห่ง หรือเฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดไว้ ดัชนีนี้ก็อาจปรับตัวลงแรงได้เช่นกันค่ะ เพราะอย่างที่เราคุยกันไปว่าหุ้นใน Nasdaq 100 (ndx คือ) มีความกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างสูง ความเสี่ยงเฉพาะกลุ่มจึงมีน้ำหนักมาก

ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต อย่างช่วงปี 2000 ที่เกิดฟองสบู่ดอทคอมแตก หรือช่วงที่ผ่านมาในปี 2022 ที่เฟดเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและดัชนี Nasdaq 100 (ndx คือ) ก็เป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงแรงกว่าตลาดรวมอย่าง S&P 500 พอสมควรเลยค่ะ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การเน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวมากๆ ก็มีความเสี่ยงที่ต้องตระหนัก

ดังนั้น การลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 (ndx คือ) หรือดัชนีอื่นๆ ของอเมริกาเนี่ย ไม่ใช่แค่เห็นตัวเลขแล้วกระโดดเข้าไปลงทุนตามกระแสค่ะ เราต้องศึกษา ทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของเราไหม เรายอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้แค่ไหน ควรติดตามข่าวสารเศรษฐกิจโลก นโยบายของเฟด และความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิดด้วยค่ะ

เวลาทำการซื้อขายในตลาดหุ้นอเมริกาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไทยต้องทราบค่ะ โดยปกติแล้ว ตลาดหุ้นอเมริกา (NYSE และ Nasdaq) จะเปิดทำการซื้อขายตามเวลาไทยคือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 20:30 น. ไปจนถึง 03:00 น. ของวันถัดไป (อาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามการปรับเวลาออมแสง) ก็ดึกพอสมควรเลยค่ะ ใครที่จะเทรดเองก็ต้องบริหารเวลาให้ดี

สุดท้ายนี้ อยากจะย้ำเตือนเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนอีกครั้งค่ะ

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนในตราสารทางการเงินและการซื้อขายเงินดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้อง พิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุน ประสบการณ์ และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตนเองก่อนตัดสินใจลงทุน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกคน ราคาของตราสารทางการเงินมีความผันผวนสูง การซื้อขายด้วยมาร์จิน (Margin Trading) เพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียเงินลงทุน โปรดศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อมูลและราคาบนเว็บไซต์การเงินต่างๆ ที่ท่านเห็น อาจไม่ใช่ราคาแบบเรียลไทม์เสมอไป และอาจจะมาจากผู้ดูแลสภาพคล่องและเป็นเพียงราคาชี้นำ ไม่เหมาะสมสำหรับการตัดสินใจซื้อขายจริง ผู้ให้ข้อมูลจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการพึ่งพาข้อมูลนี้

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับดัชนีตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq 100 หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ndx คือ อะไร มีความสำคัญยังไง และเราในฐานะนักลงทุนไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้ได้อย่างไร พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการลงทุนด้วยนะคะ การลงทุนที่ดี เริ่มต้นจากการศึกษาและทำความเข้าใจค่ะ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนค่ะ!

Leave a Reply