
โอ้โห! ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวหรือไถโซเชียล ก็เห็นแต่คำว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” โผล่มาบ่อยๆ ใช่ไหมครับ? บางทีก็ S&P 500 บางทีก็ Dow Jones แต่ที่ฮิตติดลมบน ดูจะหนีไม่พ้นคำว่า “Nasdaq” นี่แหละ
เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งชื่อ “น้องก้อย” เพิ่งไลน์มาถามเมื่อเช้าเลยว่า “พี่คะ หนูเห็นคนพูดถึง ‘หุ้น nasdaq คือ’ อะไรคะ? มันต่างจากหุ้นไทยยังไง แล้วเราคนธรรมดาอย่างหนูจะไปซื้อได้เหรอ?”
คำถามของน้องก้อยน่าสนใจมากครับ เพราะสะท้อนความสงสัยของนักลงทุนไทยหลายๆ คนที่เริ่มหันมามองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้ฟังง่ายๆ (และพอจะรู้เรื่อง Google เขาอยากให้เขียนแบบไหนบ้าง 😉) เรามาไขข้อข้องใจเรื่อง “หุ้น nasdaq คือ” อะไรกันให้กระจ่างแบบถึงกึ๋ง พร้อมไกด์ไลน์สำหรับนักลงทุนไทยอย่างเราๆ ครับ
ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าตลาดหุ้นไทยบ้านเราเหมือน “ร้านสะดวกซื้อใหญ่ประจำหมู่บ้าน” ที่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ ทั้งของกินของใช้ เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งบริการต่างๆ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นี่เปรียบเสมือน “ห้างสรรพสินค้าขนาดมหึมาใจกลางมหานคร” เลยครับ! ไม่ใช่แค่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังมีสินค้า (หรือก็คือหุ้นบริษัทต่างๆ) จากหลากหลายอุตสาหกรรมให้เลือกละลานตา แถมยังมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกมากๆ ด้วย
ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ มีโซนหลักๆ อยู่สองโซนที่คนนิยมเดินกันครับ โซนแรกคือ “ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก” (New York Stock Exchange หรือ NYSE) อันนี้เหมือนโซนคลาสสิกครับ เป็นตลาดที่เก่าแก่มากๆ เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนม หรือบริษัทรุ่นเก๋าที่มีชื่อเสียงยาวนาน ส่วนอีกโซนที่ทันสมัยหน่อย และนี่คือที่มาของคำว่า “หุ้น nasdaq คือ” ที่เราสงสัยกัน นั่นก็คือ “ตลาดแนสแด็ก” (Nasdaq) ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดแรกของโลกที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการซื้อขายหุ้นตั้งแต่แรกเริ่มเลยนะครับ ไม่ต้องตะโกนซื้อขายกันในหลุมเหมือนสมัยก่อน ทำให้ Nasdaq กลายเป็นศูนย์รวมของบริษัทที่เน้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ใครที่สนใจหุ้นสายนี้ ต้องมาโซนนี้เลยครับ
ทีนี้ พอห้างมันใหญ่มากๆ การจะบอกว่า “วันนี้ภาพรวมห้างเป็นยังไงบ้าง?” คงต้องมีตัวชี้วัดใช่ไหมครับ ในโลกหุ้น ตัวชี้วัดเหล่านี้ก็คือ “ดัชนีหุ้น” นั่นแหละครับ ดัชนีหุ้นก็เหมือน “มาตรวัด” ที่ช่วยบอกเราว่าภาพรวมของตลาด หรือภาพรวมของกลุ่มหุ้นกลุ่มหนึ่ง เป็นอย่างไรบ้าง ขึ้นหรือลงไปเท่าไหร่

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่คนนิยมดูกันมากๆ มีอยู่ 3 ตัวหลักๆ ครับ
1. **ดัชนี S&P 500:** ตัวนี้ถือเป็นตัวแทนภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่คนยอมรับกันมากที่สุดเลยครับ เหมือนเป็นมาตรวัดสุขภาพของห้างโดยรวม ประกอบไปด้วยหุ้นของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ซึ่งคัดเลือกมาแล้วว่ามีมูลค่าตลาดสูง สภาพคล่องดี ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เรียกว่าดูตัวนี้ตัวเดียวก็พอจะเห็นภาพใหญ่ได้ราวๆ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในสหรัฐฯ เลยทีเดียวครับ การคำนวณของ S&P 500 จะใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Cap Weighted) หมายความว่า บริษัทไหนมีมูลค่าตลาดใหญ่ หุ้นตัวนั้นก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเล็กกว่าครับ
2. **ดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA):** อันนี้เป็นดัชนีที่เก่าแก่มากๆ ครับ แต่จะประกอบด้วยหุ้นเพียง 30 บริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ การคำนวณก็ต่างจากชาวบ้านหน่อย ตรงที่ใช้ “ถ่วงน้ำหนักตามราคา” (Price Weighted) คือหุ้นตัวไหนมีราคาสูง ก็จะมีผลต่อดัชนีมากกว่า ถึงแม้จะเป็นบริษัทใหญ่ แต่ด้วยจำนวนหุ้นที่น้อยกว่า S&P 500 และวิธีการคำนวณที่ไม่เหมือนใคร ทำให้หลายคนมองว่าอาจจะไม่ใช่ตัวแทนภาพรวมตลาดที่ดีเท่า S&P 500 แต่ก็ยังเป็นดัชนีประวัติศาสตร์ที่คนจับตาดูอยู่ครับ
3. **ดัชนี Nasdaq 100:** มาถึงพระเอกของเราสำหรับวันนี้ครับ! เมื่อพูดถึง “หุ้น nasdaq คือ” หลายครั้งก็มักจะหมายถึงดัชนี Nasdaq 100 นี่แหละครับ เพราะเป็นดัชนีที่เป็นตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่ 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดแนสแด็ก (ย้ำอีกทีว่า *ไม่รวม* สถาบันการเงินนะครับ เช่น ธนาคาร หรือบริษัทประกัน) ดังนั้น คุณสมบัติเด่นของดัชนีนี้เลยคือ “เน้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม” ครับ ถ้าใครชอบหุ้นบริษัทที่เน้นการเติบโตสูงๆ มีเทคโนโลยีล้ำๆ ต้องมาดูดัชนีตัวนี้เลย
สรุปง่ายๆ เปรียบเทียบ 3 ดัชนีหลักนี้ก็ประมาณนี้ครับ:
* **จำนวนหุ้น:** S&P 500 (500 ตัว) > Nasdaq 100 (100 ตัว) > Dow Jones (30 ตัว)
* **วิธีคำนวณ:** S&P 500 & Nasdaq 100 (ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด) VS Dow Jones (ถ่วงน้ำหนักตามราคา)
* **ความครอบคลุม:** S&P 500 (กว้าง หลากหลาย เป็นตัวแทนภาพรวมดีสุด) > Nasdaq 100 (เน้นเทคฯ นวัตกรรม เติบโตสูง) > Dow Jones (บริษัทใหญ่ ผู้นำอุตสาหกรรม แต่จำนวนน้อย)
แล้วถ้าเจาะลึกไปที่ “หุ้น nasdaq คือ” กลุ่มไหน ประกอบด้วยอะไรบ้างล่ะ? อย่างที่บอกไปครับว่าเป็น 100 บริษัทใหญ่ที่สุดในตลาดแนสแด็กที่ไม่ใช่สายการเงิน ส่วนใหญ่เลยอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี (แน่นอน!) ตามมาด้วยกลุ่มบริการผู้บริโภค (ที่ไม่ใช่ค้าปลีกแบบมีหน้าร้านเยอะๆ แต่มักเป็นแพลตฟอร์มหรือบริการออนไลน์) กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มอุตสาหกรรมบางส่วน
บริษัทที่เราคุ้นหูคุ้นตามากๆ และอยู่ในดัชนี Nasdaq 100 เพียบเลยครับ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ Google), Nvidia, Tesla, Meta Platforms (Facebook เดิม), Netflix, Starbucks, Moderna โอโห! ฟังแล้วก็รู้สึกว่าบริษัทพวกนี้วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันเราทั้งนั้นเลยใช่ไหมครับ

การคัดเลือกบริษัทเข้ามาอยู่ในดัชนี Nasdaq 100 เขาก็มีเกณฑ์ชัดเจนนะครับ ไม่ใช่ว่าใครอยากเข้าก็เข้าได้ ต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก มีสภาพคล่องสูง ไม่ใช่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และ *ไม่ใช่* สถาบันการเงินอย่างที่เน้นไปตอนแรกครับ ส่วนเรื่องการคำนวณ ดัชนี Nasdaq 100 ก็ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือน S&P 500 ครับ แต่ที่น่าสนใจคือเขามีกลไก “ถ่วงดุล” หรือปรับน้ำหนักหุ้นเป็นประจำทุกไตรมาสและทุกปี เพื่อไม่ให้บริษัทที่ใหญ่มากๆ เพียงไม่กี่บริษัทมีอิทธิพลต่อดัชนีมากเกินไป ทำให้ดัชนียังคงสะท้อนภาพรวมของ 100 บริษัทชั้นนำได้อย่างเหมาะสม
ทีนี้ สิ่งที่ทำให้น้องก้อยและนักลงทุนหลายๆ คนกังวล คือ “แล้วอะไรบ้างที่ทำให้หุ้น Nasdaq 100 ขึ้นๆ ลงๆ ล่ะ?” นอกจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างผลประกอบการที่ดีหรือไม่ดีแล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกที่กระทบหนักๆ เลยครับ
ปัจจัยแรกและสำคัญมากคือ อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยครับ อันนี้มีความสัมพันธ์แบบผกผันกับหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตสูงใน Nasdaq 100 อย่างชัดเจน ลองนึกภาพง่ายๆ เวลาอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ ก็สูงขึ้น แถมคนก็อาจจะชะลอการจับจ่ายใช้สอย เพราะดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตรมันน่าสนใจกว่า หุ้นกลุ่มเทคฯ ซึ่งหลายตัวยังเน้นลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคตมากๆ อาจจะโดนกดดันเป็นพิเศษครับ เพราะมูลค่าของบริษัทเหล่านี้ถูกประเมินจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตที่ไกลออกไป พออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่วนลดที่ใช้นำค่าในอนาคตกลับมาเป็นค่าปัจจุบัน (Discount Rate) ก็สูงขึ้น ทำให้มูลค่าปัจจุบันมันลดลงนั่นเองครับ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็เลยมีผลโดยตรงมากๆ ครับ ทุกครั้งที่ประธานเฟดออกมาพูด หรือมีการประชุมเรื่องอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะ Nasdaq 100 ก็มักจะมีความเคลื่อนไหวตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ
อีกปัจจัยที่เป็นหัวใจของ “หุ้น nasdaq คือ” และเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในระยะยาว คือ **เทคโนโลยีและนวัตกรรม** ครับ บริษัทในดัชนีนี้หลายแห่งเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เทคโนโลยีโลกเสมือน (Metaverse), รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ, หรือเทคโนโลยีชีวภาพใหม่ๆ ความสำเร็จหรือความก้าวหน้าในด้านเหล่านี้สามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้กับบริษัทและส่งผลบวกต่อดัชนีได้มากๆ ครับ
แน่นอนว่า **ผลประกอบการของบริษัท** ก็เป็นปัจจัยสำคัญสุดๆ ครับ ลองย้อนไปดูช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา การที่บริษัทเทคฯ ใหญ่ๆ ในดัชนี Nasdaq 100 อย่าง Tesla, Amazon, Meta หรือ Alphabet ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 และไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ดีกว่าคาด หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนกลัว นี่ก็มีส่วนช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีได้ดีทีเดียวครับ แม้บางบริษัทจะส่งสัญญาณว่ารายได้ไตรมาสถัดไปอาจจะชะลอลงบ้าง แต่ตัวเลขที่ออกมาจริงก็ยังเป็นปัจจัยบวกในระยะสั้น
ฟังมาถึงตรงนี้ น้องก้อยอาจจะเริ่มสงสัยว่า “แล้วเราคนไทยตัวเล็กๆ จะไปลงทุนในห้างสรรพสินค้าอเมริกานี่ได้ยังไงคะ?” ไม่ต้องกังวลครับ! สมัยนี้การลงทุนในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ มีช่องทางที่สะดวกมากๆ สำหรับนักลงทุนไทย ดังนี้ครับ
1. **กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ:** อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายและนิยมที่สุดเลยครับ เราสามารถไปซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในไทยได้เลย มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งกองทุนที่อิงตามดัชนีหลักๆ เช่น S&P 500 หรือ **Nasdaq** 100 หรือจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนตามธีมที่น่าสนใจ เช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี กองทุนหุ้นที่เน้นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ข้อดีคือ เราไม่ต้องยุ่งยากเรื่องการไปเปิดบัญชีที่ต่างประเทศ การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือเรื่องภาษีที่ซับซ้อน เพราะ บลจ. จะจัดการให้เราหมดครับ ยกตัวอย่างกองทุนที่อิงดัชนี Nasdaq 100 ในไทย ก็มีหลาย บลจ. ที่นำเสนอ เช่น KKP NDQ100-H หรือ BCAP-USND100 เป็นต้น
2. **ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR):** อันนี้ก็สะดวกมากๆ ครับ เราสามารถซื้อขาย DR ได้เหมือนซื้อหุ้นรายตัวในตลาดหุ้นไทย (SET) เลยครับ โดยใช้แอปพลิเคชันซื้อขายหุ้นที่เราใช้อยู่แล้ว DR จะอ้างอิงราคาหุ้นหรือดัชนีต่างประเทศ เช่น มี DR ที่อ้างอิงหุ้น Apple หรือ DR ที่อ้างอิงดัชนี **Nasdaq** 100 ข้อดีคือ ซื้อขายตามเวลาตลาดหุ้นไทย สะดวก ไม่ยุ่งยากเรื่องเงินบาทหรือภาษีครับ เหมือนยกหุ้นต่างประเทศมาให้ซื้อขายในบ้านเราเลย
3. **ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศแบบย่อย (DRx):** ตัวนี้จะก้าวไปอีกขั้นครับ DRx เปิดโอกาสให้เราซื้อขายตามเวลาตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เลย เช่น ถ้าซื้อ DRx หุ้นสหรัฐฯ ก็ซื้อขายได้ตามเวลาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครับ แถมยังซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาท หรือจำนวนหน่วยย่อยๆ ได้ด้วย ทำให้การลงทุนยืดหยุ่นมากขึ้น ซื้อขายผ่านแอปฯ ของโบรกเกอร์ที่ให้บริการได้เลย สะดวกมากๆ ครับ
ช่องทางเหล่านี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทยที่สนใจ “หุ้น nasdaq คือ” อะไร หรือสนใจตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม สามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้นมากครับ ไม่ต้องไปเปิดบัญชีตรงที่อเมริกาให้วุ่นวาย แถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีกำไรจากการขายหุ้นในตลาดต่างประเทศโดยตรง ซึ่งอาจมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่า
นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่อาจจะอยากซื้อขายหุ้นรายตัวในสหรัฐฯ โดยตรง ก็มีช่องทางผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ให้บริการนักลงทุนไทยได้ครับ ซึ่งบางแห่ง เช่น Moneta Markets ก็มีเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่หลากหลายให้เลือก โดยเราต้องจัดการเรื่องการแลกเงินและการยื่นภาษีด้วยตัวเองครับ
สรุปแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนีอย่าง S&P 500 และ **Nasdaq** 100 ที่เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นสนามลงทุนที่น่าจับตามองมากๆ ครับ การทำความเข้าใจว่า “หุ้น nasdaq คือ” อะไร มีองค์ประกอบและปัจจัยอะไรบ้างที่มีผล ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับใครที่สนใจอยากกระจายความเสี่ยง หรือมองหาโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในระดับโลก
แต่จำไว้นะครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าจะลงทุนในประเทศไหน ตลาดไหน เครื่องมืออะไร ยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีใน Nasdaq 100 เนี่ย ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนอยู่แล้วครับ เพราะราคาหุ้นมักจะสะท้อนความคาดหวังการเติบโตในอนาคตที่สูงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ทำให้เวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว หรือมีปัจจัยลบมากระทบ หุ้นกลุ่มนี้ก็มักจะปรับตัวลงแรงกว่าตลาดโดยรวมได้
ดังนั้น ถ้าสนใจอยากลองลงทุนใน “หุ้น nasdaq คือ” หรือดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อื่นๆ:
1. **ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม:** ทำความเข้าใจลักษณะความเสี่ยงของดัชนีหรือหุ้นที่เราสนใจให้ดี
2. **ประเมินความเสี่ยงที่รับได้:** เราพร้อมจะรับความผันผวนของตลาดต่างประเทศได้แค่ไหน
3. **เลือกช่องทางที่เหมาะสม:** พิจารณาจากความสะดวกในการลงทุน และความรู้ความเข้าใจของเรา ว่ากองทุนรวม DR หรือ DRx แบบไหนเหมาะกับเราที่สุด
4. **เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนที่เราไม่เดือดร้อน:** อาจจะเริ่มจากจำนวนน้อยๆ ก่อนเพื่อเรียนรู้
⚠️ **ข้อควรระวัง:** การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยนะครับ แม้ช่องทางอย่างกองทุนรวม, DR, DRx จะช่วยลดความยุ่งยากเรื่องการแลกเงินและภาษี แต่ผลตอบแทนที่เราได้รับ สุดท้ายแล้วก็ต้องแปลงกลับมาเป็นเงินบาท ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับเงินสกุลต่างประเทศที่ลงทุนครับ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้น้องก้อยและทุกท่านที่กำลังสงสัยว่า “หุ้น nasdaq คือ” อะไร ได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นนะครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จกับการลงทุนครับ!