ไขความลับ หุ้นs&p500: ลงทุนง่ายๆ สไตล์คนธรรมดา พร้อมรับผลตอบแทนปัง!

เพื่อนสนิทชื่อ ‘หนูนา’ เพิ่งมาปรึกษาเรื่องการลงทุนหุ้นอเมริกา เห็นเขาบอกว่าช่วงนี้ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) กำลังเป็นที่พูดถึงมาก อยากรู้ว่ามันคืออะไร สำคัญแค่ไหน แล้วเราคนธรรมดาๆ จะเข้าไปลงทุนในหุ้นs&p500 ได้ยังไงบ้าง วันนี้เลยอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “พี่ใหญ่” ของตลาดหุ้นอเมริกากันครับ

ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา หลายคนคงนึกถึงความยิ่งใหญ่ เพราะที่นี่คือตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่ารวมกันมหาศาลชนิดที่ว่าคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกเลยทีเดียว ด้วยความใหญ่และสภาพคล่องสูง ทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีอิทธิพลต่อตลาดการเงินทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนเป็น ‘พี่ใหญ่’ ที่ขยับตัวที ตลาดอื่นๆ ก็ต้องหันมองตาม และหนึ่งในดัชนีที่ถูกจับตามากที่สุด เป็นเหมือน ‘ดัชนีชี้วัดสุขภาพ’ ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกา ก็คือ ดัชนี S&P 500 นี่แหละครับ

หุ้นs&p500 ไม่ใช่ชื่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง แต่เป็นชื่อของ ‘ดัชนี’ ที่ใช้วัดผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำ 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทเหล่านี้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลักอย่างตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (NASDAQ) ความพิเศษของดัชนีนี้คือมันครอบคลุมบริษัทที่มีมูลค่าตลาดรวมกันกว่า 80% ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมด ทำให้หลายคนมองว่า S&P 500 เป็นตัวแทนภาพรวมของตลาดหุ้นอเมริกาได้ดีที่สุด เป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็น ‘เกณฑ์มาตรฐาน’ (Benchmark) ในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุนของตัวเอง หรือใช้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถ้าดัชนีนี้ขึ้น ก็มักจะเป็นสัญญาณที่ดี แต่ถ้าดิ่งลง ก็ต้องเฝ้าระวังกันหน่อย

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้ว S&P 500 เค้าคำนวณกันยังไง? ไม่ได้เอาราคาหุ้น 500 ตัวมาบวกกันแล้วหารเฉลี่ยแบบตรงๆ นะครับ วิธีคำนวณของหุ้นs&p500 จะใช้วิธีที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Capitalization Weighted) ฟังดูยากเนอะ เอาง่ายๆ คือ บริษัทไหนที่มีมูลค่าตลาดใหญ่มากๆ อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (Google) หรือ Nvidia ที่เป็นขวัญใจมหาชนช่วงนี้ หุ้นของบริษัทเหล่านี้ก็จะมี ‘น้ำหนัก’ หรือมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนี S&P 500 มากกว่าบริษัทขนาดที่เล็กลงมาหน่อยใน 500 อันดับนั้นนั่นเองครับ

ส่วนเกณฑ์การคัดเลือก 500 บริษัทที่จะเข้ามาอยู่ในดัชนี S&P 500 (ข้อมูล ณ ปี 2024) ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะเข้ามาก็ได้นะครับ ต้องมีคุณสมบัติเข้าตาหลายอย่างเลย เช่น ต้องเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าตลาดใหญ่พอสมควร (ตอนอัปเดตข้อมูลล่าสุดต้องมีมูลค่าอย่างน้อย 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หุ้นต้องมีการซื้อขายสภาพคล่องสูง มีกำไรเป็นบวกมาอย่างน้อย 4 ไตรมาสติดต่อกัน ที่สำคัญคือหุ้นอย่างน้อย 50% ต้องเปิดให้คนทั่วไปซื้อขายได้ (Free Float > 50%) และต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลัก ไม่ใช่ตลาดนอกกระดาน การคัดเลือกเหล่านี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทที่อยู่ในดัชนีเป็นบริษัทที่มีคุณภาพและสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจจริงๆ

มองเข้าไปในดัชนี S&P 500 เหมือนดูองค์ประกอบของเศรษฐกิจอเมริกาเลยครับ เค้าแบ่งบริษัทออกเป็น 11 ภาคส่วนเศรษฐกิจ เพื่อให้ครอบคลุมและหลากหลาย อย่างตอนอัปเดตข้อมูลล่าสุด (ณ 21 พ.ย. 2024) จะเห็นว่ากลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและมีน้ำหนักต่อดัชนีมากที่สุดคือ ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) กินสัดส่วนไปกว่า 33% ตามมาด้วยภาคการเงิน (Financials) การดูแลสุขภาพ (Healthcare) สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) และบริการสื่อสาร (Communication Services) สัดส่วนเหล่านี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมไหนกำลังมาแรงในเศรษฐกิจอเมริกา

พูดถึงตัวเลขแล้วหลายคนคงอยากรู้ว่า แล้วผลตอบแทนของหุ้นs&p500 เป็นยังไงบ้าง? จากข้อมูลที่ได้มา (ณ ช่วงเวลาข้อมูล) ดัชนีก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงตลอดเวลา อย่างช่วง 24 ชั่วโมงล่าสุดอาจจะบวกไป 0.58% แต่พอดูภาพกว้างขึ้น สัปดาห์ที่ผ่านมาอาจจะบวกถึง 6.78% ส่วนเดือนที่แล้วอาจจะติดลบไป −2.08% ก็เป็นไปได้หมดครับ ตลาดหุ้นมันก็มีขึ้นมีลงแบบนี้แหละ แต่ถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลังในระยะยาวก็จะเห็นภาพที่น่าสนใจ อย่างผลตอบแทนรวมตั้งแต่ต้นปี (YTD) ณ 26 ธ.ค. 2024 อยู่ที่ 28.35% (รวมผลตอบแทนจากราคาและเงินปันผลแล้ว) และที่น่าสนใจคือผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ณ 26 ธ.ค. 2024) ก็อยู่ที่ประมาณ 11.09% ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ

ลองดูตัวอย่างบริษัทที่ผลงานโดดเด่นในปี 2023 ที่ผ่านมาใน S&P 500 สิครับ อย่าง Nvidia ที่ราคาวิ่งทะลุไปกว่า +245%, Meta (Facebook) +199%, Royal Caribbean Cruises +164% หรือ Tesla +107% ก็ล้วนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของดัชนีในปีนั้นๆ แต่ก็มีบริษัทที่ราคาปรับตัวลงแรงเช่นกัน เช่น Enphase Energy ที่ลดลง -51% หรือ Pfizer ที่ลดลง -43% นี่คือภาพที่สะท้อนว่า แม้ดัชนีโดยรวมจะดี แต่หุ้นรายตัวก็มีปัจจัยเฉพาะของมันเองครับ สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนเสมอคือ ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคตนะครับ! ข้อมูลในอดีตเป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น

นอกจาก S&P 500 แล้ว ตลาดหุ้นอเมริกายังมีดัชนีหลักอื่นๆ ที่เรามักจะได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ อย่างดัชนีแนสแด็ก (NASDAQ) และดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA) ดัชนีเหล่านี้ก็เหมือนเป็นพี่น้องในบ้านเดียวกัน แต่มีคาแรคเตอร์ต่างกันไปครับ

* **ดัชนีแนสแด็ก (NASDAQ):** ดัชนีนี้จะเน้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี บริการสื่อสาร และบริการอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก มีจำนวนหุ้นที่มากกว่า S&P 500 เยอะ (ดัชนี NASDAQ Composite มีหุ้นกว่า 3,000 ตัว ส่วน NASDAQ-100 จะเป็น 100 บริษัทใหญ่สุดที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) วิธีคำนวณก็ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือน S&P 500 แต่ก็มีเพดานจำกัดน้ำหนักของหุ้นบางตัว ข้อดีคือเป็นตัวแทนที่ดีของภาคเทคโนโลยีและนวัตกรรม แต่ข้อจำกัดคือความผันผวนอาจจะสูงกว่า เพราะมีหุ้นเติบโต (Growth Stocks) เยอะ
* **ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJIA):** ดัชนีนี้เก่าแก่ที่สุด เป็นที่รู้จักกว้างขวาง ประกอบด้วยหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำเพียง 30 บริษัทเท่านั้น วิธีคำนวณแตกต่างจาก S&P 500 และ NASDAQ โดยใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักตามราคา” (Price-Weighted) นั่นคือ หุ้นตัวไหนมีราคาต่อหุ้นสูง ก็จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า ไม่ได้อิงตามมูลค่าตลาด ทำให้หลายครั้งดาวโจนส์อาจจะไม่สะท้อนภาพรวมของตลาดได้ดีเท่า S&P 500 เพราะจำนวนหุ้นน้อยเกินไปและวิธีคำนวณที่ต่างออกไป

สรุปแล้ว ดัชนี S&P 500 จึงเป็นเหมือน ‘ตัวกลาง’ ที่ให้ภาพรวมที่ค่อนข้างครอบคลุมและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มากกว่าดาวโจนส์ที่หุ้นน้อยเกินไป และหลากหลายกว่า NASDAQ ที่เน้นไปทางเทคโนโลยีเป็นพิเศษ

คราวนี้กลับมาที่คำถามของคุณหนูนา แล้วเราคนธรรมดาๆ จะเข้าไปลงทุนในหุ้นs&p500 ได้ยังไง? อย่างที่บอกไปตอนต้น เราไม่สามารถ ‘ซื้อ’ ดัชนี S&P 500 ได้โดยตรง เพราะมันเป็นแค่ตัวชี้วัด แต่เราสามารถลงทุนในหุ้นs&p500 ได้ทางอ้อมครับ

วิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมมากๆ ก็คือ การลงทุนผ่าน **กองทุนรวม หรือ ETF (กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์)** ที่ไปลงทุนล้อตามดัชนี S&P 500 นี่แหละครับ กองทุนเหล่านี้จะพยายามสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับที่ดัชนี S&P 500 ทำได้ ซึ่งก็มีหลายกองทุนในไทยที่ไปลงทุนในดัชนีนี้ เช่น ASP-S&P500, SCBS&P500, TMBUS500, K-US500X-A(A) หรือกองทุนอื่นๆ ที่ชื่อมีคำว่า US500 หรือ S&P500 อยู่ในชื่อ (อันนี้ยกตัวอย่างจากข้อมูล ไม่ได้แนะนำเฉพาะเจาะจงกองไหนนะครับ ควรไปศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนเพิ่มเติม) การลงทุนผ่านกองทุนแบบนี้ทำให้เรากระจายความเสี่ยงไปใน 500 บริษัทใหญ่ของอเมริกาได้ง่ายๆ ด้วยเงินที่ไม่ต้องมากนัก

อีกวิธีคือการลงทุนใน **S&P 500 Futures** อันนี้จะซับซ้อนขึ้นมาหน่อย เป็นการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า และเหมาะสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจเรื่องสัญญาฟิวเจอร์สและรับความเสี่ยงได้สูง

และวิธีสุดท้ายคือการ **ซื้อหุ้นรายตัวที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีโดยตรง** ซึ่งวิธีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องมานั่งเลือกหุ้น 500 ตัวเอง ต้องใช้เงินเยอะมาก และต้องติดตามข่าวสารของแต่ละบริษัทอย่างใกล้ชิด ไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปครับ

สมมติว่าคุณหนูนาอยากลงทุนในหุ้นs&p500 ผ่านกองทุนรวม ก็ต้องไปเปิดบัญชีกองทุนกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือธนาคารต่างๆ ที่มีกองทุนเหล่านี้เสนอขาย แล้วเลือกลงทุนในกองทุนที่ไปลงทุนล้อตาม S&P 500 บางคนอาจจะเทรดผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งก็มีหลายเจ้าให้เลือก ที่มีเครื่องมือและเงื่อนไขหลากหลาย แต่ก็ต้องศึกษาเรื่องการเปิดบัญชี การโอนเงิน และภาษีให้ดีด้วยนะครับ

ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นs&p500 หรือสินทรัพย์อะไรก็ตาม อย่าลืมประเมินความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของตัวเองก่อนเสมอ เพราะแม้ S&P 500 จะเป็นดัชนีที่แข็งแกร่งและมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ก็มีความเสี่ยงในตัวมันเองครับ

⚠️ **ข้อควรระวังที่สำคัญมากๆ:** การซื้อขายตราสารทางการเงิน รวมถึงหุ้น และเงินดิจิทัล มีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ และอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทุกคน ราคาอาจผันผวนอย่างรุนแรงจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่เราควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะการซื้อขายด้วยมาร์จิ้น (Margin Trading) ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีกหลายเท่าตัว ถ้าตลาดไปในทิศทางตรงข้ามกับที่เราคาด อาจถูกบังคับขาย (Margin Call) และขาดทุนหนักได้

สรุปแล้ว ดัชนี S&P 500 คือหัวใจสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกา และมีบทบาทต่อตลาดการเงินโลก การทำความเข้าใจดัชนีนี้จึงเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับนักลงทุนที่สนใจตลาดต่างประเทศครับ การลงทุนในหุ้นs&p500 ทางอ้อมผ่านกองทุนรวมหรือ ETF เป็นวิธีที่เข้าถึงง่ายสำหรับคนทั่วไป แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจความเสี่ยง และลงทุนอย่างมีสติครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุขและรอบคอบนะครับ!

Leave a Reply