เจาะลึก ดัชนี nasdaq วันนี้: โอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้!

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมข่าวหุ้นสหรัฐฯ ถึงชอบพูดถึงชื่อประหลาดๆ อย่าง “แนสแด็ก” อยู่บ่อยๆ ทั้งที่เราใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยแท้ๆ? มันเกี่ยวอะไรกับ iPhone ที่เราใช้, Google ที่เราเสิร์ช หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้าที่เราฝันอยากจะได้บ้างหรือเปล่า? ในฐานะคนที่คลุกคลีกับเรื่องการเงินมานาน วันนี้ผมจะชวนคุณมาทำความรู้จักกับ “ดัชนี nasdaq วันนี้” และอนาคตที่อาจจะซ่อนอยู่ใต้ชื่อนี้กันครับ

ถ้าจะเปรียบตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เหมือนแหล่งรวมบริษัทระดับโลกจริงๆ มีตลาดใหญ่ๆ สองแห่งคือ NYSE กับ Nasdaq ซึ่งสองตลาดนี้ก็มีดัชนีชี้วัดผลงานของตัวเองอยู่ ดัชนีที่เราคุ้นๆ หูก็มี Dow Jones ที่เน้นบริษัทอุตสาหกรรมเก่าแก่ S&P 500 ที่เป็นตัวแทน 500 บริษัทใหญ่ๆ ทั่วอุตสาหกรรม และแน่นอน… ดัชนี Nasdaq หรือชื่อเต็มๆ ว่า Nasdaq Composite Index (ดัชนีแนสแด็กคอมโพสิต) นี่แหละครับ ที่เน้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นพิเศษ

แต่พอพูดถึง Nasdaq ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองกันจริงๆ จังๆ เนี่ย ส่วนใหญ่จะหมายถึง “ดัชนี Nasdaq 100” ครับ ลองนึกภาพง่ายๆ มันคือทีมรวมดารา 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาด Nasdaq (ยกเว้นบริษัทที่ทำธุรกิจการเงินเพียวๆ นะ) องค์ประกอบของดัชนีนี้จะให้น้ำหนักกับบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่า มูลค่าตลาดเยอะกว่า ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่า ซึ่งบริษัทที่อยู่ในลิสต์นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ส่วนใหญ่คือยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีที่เราใช้บริการกันอยู่ทุกวันนี่แหละ ทั้ง Apple, Microsoft, Amazon, Meta (เจ้าของ Facebook/Instagram), Alphabet (บริษัทแม่ Google), Netflix, Tesla, และ Nvidia ที่กำลังมาแรงสุดๆ ในยุค AI

แล้ว “ดัชนี nasdaq วันนี้” มันขึ้นอยู่กับอะไรบ้างล่ะ? ถ้าให้เล่าแบบเข้าใจง่ายๆ ก็มีหลายปัจจัยที่มาผสมโรงกันครับ

อันดับแรกและสำคัญมากๆ คือ “ผลประกอบการ” ของบริษัทที่เป็นส่วนประกอบหลักในดัชนีนั่นแหละครับ เมื่อไหร่ที่บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้ประกาศงบออกมา ไม่ว่าจะเป็นกำไรหรือรายได้ ถ้าดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โอ้โห! ดัชนี Nasdaq ก็พร้อมจะพุ่งทะยานทันที เหมือนตอนที่ Nvidia หรือ Meta รายงานผลประกอบการดีกว่าคาด ดัชนีฟิวเจอร์สของ Nasdaq ก็เคยปรับตัวขึ้นแรงเลยทีเดียว แต่กลับกัน ถ้าออกมาแย่กว่าที่ตลาดหวังไว้ หรือมีการประกาศข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับบริษัท เช่น Apple หรือ Alphabet เคยมีช่วงที่รายงานผลประกอบการต่ำกว่าคาด หรือมีข่าวว่า Microsoft อาจจะชะลอการเช่าศูนย์ข้อมูล ความกังวลพวกนี้ก็ส่งผลให้ดัชนีร่วงลงได้เช่นกันครับ การเคลื่อนไหวของดัชนีฟิวเจอร์สพวกนี้ก็เหมือนเป็นราคาชี้นำ เป็นการคาดการณ์ของนักลงทุนว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อตลาดจริงเปิดนั่นแหละครับ

นอกจากเรื่องของบริษัทโดยตรงแล้ว ปัจจัยระดับมหภาคที่ใหญ่กว่านั้นก็มีผลอย่างมากครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed” ที่เปรียบเสมือนคนคุมระบบเศรษฐกิจของอเมริกา การที่ Fed ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เหมือนเป็นการดึงเบรกเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้ชะลอลงหน่อย ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยนี้มักจะไม่เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เน้นการเติบโต เพราะต้นทุนทางการเงินจะสูงขึ้น ทำให้การประเมินมูลค่าหุ้นที่อิงกับกระแสเงินสดในอนาคตดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร บลจ.ทิสโก้ ก็เคยให้มุมมองว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้น Nasdaq 100 ครับ

แต่ในทางกลับกัน ถ้าตลาดเริ่มมองว่า Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หรืออาจจะเริ่มเห็นสัญญาณการลดดอกเบี้ยในอนาคต (อย่างที่ตลาดเคยประเมินโอกาสไว้สูงสำหรับการประชุมครั้งถัดไป หรือในช่วงครึ่งปีหลัง) นั่นก็จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Growth ครับ

อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “สงครามการค้า” หรือนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศครับ ในอดีต ช่วงที่อเมริกาและจีนมีประเด็นขัดแย้งทางการค้ากันหนักๆ บรรยากาศการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวพันกับจีน หรือมีตลาดอยู่ในจีน ยิ่งถ้ามีมาตรการกีดกันทางการค้าออกมา หุ้นเหล่านี้ก็พร้อมจะถูกเทขายทำกำไรได้ทันทีครับ ส่วนนโยบายกำกับดูแลต่างๆ เช่น การที่ ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) มีความกังวลเรื่องการจดทะเบียนของบริษัทจีน/ฮ่องกงในตลาดอเมริกา หรือการที่สหภาพยุโรป (EC) สั่งปรับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ อย่าง Apple หรือ Meta เรื่องการแข่งขัน ก็ล้วนแต่สร้างความผันผวนให้กับ “ดัชนี nasdaq วันนี้” ได้ทั้งสิ้นครับ

แล้วถ้ามองในมุมของนักลงทุนล่ะ? ทำไมดัชนี Nasdaq 100 ถึงยังเป็นที่สนใจอยู่ตลอด แม้จะผันผวนสูง?

เหตุผลหลักเลยคือ “ศักยภาพในการเติบโต” ครับ อย่างที่บอกไป ดัชนีนี้เต็มไปด้วยบริษัทที่อยู่ในแถวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ขับเคลื่อนโลกอนาคต ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เราเห็นพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทั้ง Chat GPT, Bard AI หรือชิปประมวลผลสุดแรงอย่างของ Nvidia โลกเสมือนจริง (AR/VR) ที่ Meta กำลังลงทุนอย่างมหาศาล หรือเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Tesla บริษัทเหล่านี้คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงในยุคถัดไป และการลงทุนในดัชนีนี้ก็เหมือนการได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทเหล่านี้ไปด้วยกันครับ

บลจ.กรุงศรี เองก็มองเห็นโอกาสตรงนี้ จึงได้เปิดขายกองทุนที่เน้นลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 เพื่อให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการเติบโตในยุคเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ง่ายขึ้น ขณะที่ บลจ.ทิสโก้ ก็มองว่า แม้จะมีปัจจัยกดดันระยะสั้น แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในปี 2568 ที่คาดการณ์ว่าแรงกดดันต่างๆ อาจจะลดลงครับ

ที่สำคัญคือ “ผลตอบแทนในอดีต” ที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq 100 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นจริงๆ ครับ ข้อมูลสถิติย้อนหลังแสดงให้เห็นว่า ดัชนีนี้เคยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีถึง 21.5% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจมากๆ อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคตนะครับ อันนี้คือหลักการสำคัญของการลงทุนที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลย

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านครับ แม้จะมีเสน่ห์จากศักยภาพการเติบโตและผลตอบแทนที่ผ่านมา การลงทุนใน “ดัชนี nasdaq วันนี้” ก็มาพร้อมกับ “ความเสี่ยง” ที่ต้องตระหนักให้ดี

สิ่งแรกที่ต้องยอมรับคือ “ความผันผวนสูง” ครับ ด้วยความที่หุ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเป็นหุ้นเติบโต (Growth Stock) ราคาหุ้นมักจะมีความอ่อนไหวต่อข่าวสาร ปัจจัยเศรษฐกิจ และความคาดหวังในอนาคตมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ทำให้ราคาขึ้นแรงก็ลงแรงได้เช่นกัน เหมือนที่ ดัชนี Nasdaq 100 ฟิวเจอร์สเคยทรุดตัวลงแรงถึง 4% ในวันเดียวจากแรงขายหุ้นเทคโนโลยี หรือการสำรวจนักลงทุนรายย่อยในสหรัฐฯ ก็เคยพบว่ามากกว่าครึ่งไม่เชื่อมั่นในทิศทางตลาดใน 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งสะท้อนถึงบรรยากาศความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่

ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Fed ที่ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย หรือแม้แต่ข่าวสารเฉพาะบริษัทบางแห่ง ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดครับ และที่สำคัญที่สุด สำหรับใครที่ลงทุนในเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนกว่าหุ้นโดยตรง เช่น ฟิวเจอร์ส, CFD หรือการใช้มาร์จิ้น (การกู้ยืมเงินมาลงทุน) ต้องเข้าใจว่าเครื่องมือเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงมาก อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้เลย

สรุปแล้ว “ดัชนี nasdaq วันนี้” และในอนาคต ยังคงเป็นตัวแทนของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าจับตามอง มีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก และมีประวัติผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว ได้รับอานิสงส์จากกระแสเทคโนโลยีแห่งอนาคต และมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์หาก Fed ยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความผันผวนที่สูงกว่าตลาดโดยรวม และมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเศรษฐกิจ นโยบาย และข่าวสารเฉพาะบริษัทอย่างมาก

⚠️ หากคุณเป็นนักลงทุนที่สนใจ ดัชนี Nasdaq ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจว่าคุณกำลังลงทุนในอะไร บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจแบบไหน มีแนวโน้มอย่างไร ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบ รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน การกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์อื่นๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามครับ การลงทุนในโลกเทคโนโลยีมันน่าตื่นเต้นเสมอ แต่อย่าลืมว่าการทำการบ้านคือพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายการเงินได้อย่างมั่นคงครับ

Leave a Reply