S&P 500 มีอะไรบ้าง: ไขความลับดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่คนไทยควรรู้!

ถ้าพูดถึงโลกของการลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่างอเมริกา หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “S&P 500” ผ่านหูมาบ้างใช่ไหมครับ/คะ? แต่รู้ไหมว่า จริงๆ แล้วเจ้า S&P 500 มันคืออะไรกันแน่ แล้วที่บอกว่าเป็นดัชนีสำคัญ มันสำคัญยังไง? และถ้าเราคนไทยอยากจะไปร่วมวงลงทุนกับบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลกพวกนี้บ้าง ต้องทำยังไง?

วันนี้ ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ดัชนี S&P 500” ให้ละเอียดกันแบบถึงกึ๋น เหมือนชวนมานั่งคุยกันสบายๆ ไม่ต้องมีศัพท์เทคนิคซับซ้อนอะไรมากมายครับ/ค่ะ

**S&P 500 คืออะไร? ทำไมต้องรู้จัก?**

ลองนึกภาพตามนะครับ/คะว่า ตลาดหุ้นอเมริกาเนี่ย มันใหญ่มากๆ มีบริษัทจดทะเบียนเป็นพันๆ หมื่นๆ แห่ง การจะดูภาพรวมทั้งหมดทีเดียวคงปวดหัวน่าดู เลยมีคนคิดเครื่องมือขึ้นมาตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่เหมือน “แบบสำรวจ” หรือ “ตัวแทน” ที่ดีที่สุดของบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกา เครื่องมือนั้นแหละครับ/ค่ะ ที่ชื่อว่า **ดัชนี S&P 500**

ตามข้อมูลจาก Standard & Poor’s และ S&P Dow Jones Indices เจ้าดัชนีตัวนี้รวบรวมหุ้นของ 500 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลักของอเมริกา เช่น ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) และตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ไม่ใช่ไก่กาอาราเล่ แต่เป็นบริษัทเบอร์ต้นๆ ในแต่ละอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

ทำไมต้อง 500 บริษัทนี้? เพราะว่าเมื่อนำมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทเหล่านี้มารวมกัน จะคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดเลยทีเดียวครับ/ค่ะ นั่นหมายความว่า ถ้า S&P 500 ขยับขึ้นลง ส่วนใหญ่แล้วตลาดหุ้นอเมริกาก็ขยับตามไปด้วย และด้วยความที่เศรษฐกิจอเมริกามีอิทธิพลกับเศรษฐกิจโลก การเคลื่อนไหวของ S&P 500 เลยกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาดูอย่างใกล้ชิด ถือเป็นดัชนีที่ได้รับการยอมรับและมีคนติดตามมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าอยากรู้ว่าสุขภาพของบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกาเป็นยังไง กำลังคึกคักหรือซึมเซา ให้มาดูที่ **S&P 500** เป็นหลักได้เลยครับ/ค่ะ

**แล้วบริษัทแบบไหนถึงจะติดโผ S&P 500 ได้?**

ไม่ใช่ว่าบริษัทไหนอยากเข้าก็เข้าได้นะครับ/คะ มีเกณฑ์คัดเลือกที่ค่อนข้างเข้มงวดอยู่พอสมควร ตามหลักเกณฑ์ของ S&P Dow Jones Indices บริษัทที่จะถูกพิจารณาเข้าในดัชนี S&P 500 ต้องมีคุณสมบัติคร่าวๆ ดังนี้ครับ/ค่ะ

1. **ต้องเป็นบริษัทที่มีฐานดำเนินงานหลักในสหรัฐอเมริกา:** สัญชาติอเมริกันเป็นหลัก
2. **ต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่มาก:** ณ ปี 2024 กำหนดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ต้องสูงประมาณ 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป หรือคิดเป็นเงินไทยก็หลายแสนล้านบาท!
3. **ต้องมีหุ้นที่ซื้อขายคล่อง:** ซื้อขายง่าย ไม่ใช่หุ้นที่นานๆ ทีจะมีคนซื้อขาย (สภาพคล่องสูง)
4. **สัดส่วนหุ้นที่ประชาชนทั่วไปถือ (Public Float) ต้องเยอะพอสมควร:** อย่างน้อย 50% เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพรวมตลาดจริงๆ
5. **ต้องมีกำไรอย่างสม่ำเสมอ:** โดยเฉพาะต้องมีกำไรย้อนหลังอย่างน้อย 4 ไตรมาสล่าสุด

พอคัดบริษัทเข้ามาได้ครบ 500 บริษัทแล้ว วิธีการคำนวณค่าดัชนี S&P 500 ก็ใช้วิธีที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Capitalization Weighted) อธิบายง่ายๆ คือ บริษัทไหนที่มีมูลค่าตลาดใหญ่มากๆ เช่น Apple, Microsoft, Amazon หุ้นของบริษัทเหล่านั้นก็จะส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าบริษัทขนาดรองลงมาในดัชนีเดียวกันครับ/ค่ะ ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี เพราะบริษัทที่ใหญ่กว่าย่อมสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจได้มากกว่า

และที่สำคัญคือ รายชื่อบริษัทในดัชนี **S&P 500 มีอะไรบ้าง** ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่นะครับ/คะ จะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนรายชื่อทุกๆ ไตรมาสในเดือน มีนาคม มิถุนายน กันยายน และ ธันวาคม เพื่อให้แน่ใจว่าดัชนียังคงเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของตลาดและเศรษฐกิจในปัจจุบัน

**ผลงานในอดีตของ S&P 500 เป็นยังไง?**

ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในระยะยาวเลยครับ/ค่ะ แม้จะเคยผ่านมรสุมมาหลายลูก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตฟองสบู่อินเทอร์เน็ตในปี 2000 ที่หุ้นเทคโนโลยีร่วงกราว หรือวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ที่ระบบสถาบันการเงินสั่นคลอน ไปจนถึงช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักๆ ทั่วโลกในปี 2020

แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ หลังผ่านวิกฤตเหล่านั้นมา **ดัชนี S&P 500** ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาและทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่

จากข้อมูลในอดีต (ซึ่งขอย้ำว่าเป็นผลงานในอดีต ไม่ได้การันตีอนาคตนะครับ/คะ) ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ S&P 500 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 11.09% และถ้าเรานำเงินปันผลที่บริษัทต่างๆ จ่ายให้ผู้ถือหุ้นมารวมด้วย ผลตอบแทนเฉลี่ยจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก (บางช่วงเกิน 15% ต่อปีด้วยซ้ำ)

ปี 2023 ที่ผ่านมาก็เป็นปีที่ S&P 500 ทำผลงานได้น่าประทับใจ ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีหุ้นเด่นๆ หลายตัวที่ราคาพุ่งกระฉูด เช่น Nvidia ที่ราคาบวกไปกว่า 245%, Meta (Facebook) บวกไปเกือบ 200%, Royal Caribbean Cruises ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวบวกไปกว่า 164%, Builders FirstSource บวก 161% หรือ Uber ที่บวกไป 148% เป็นต้น

แน่นอนว่ามีหุ้นที่ราคาปรับลดลงแรงๆ เช่นกันในปีก่อนหน้า เช่น Enphase Energy, FMC Corporation, Dollar General หรือบริษัทยาสู้อย่าง Pfizer และ Moderna ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของตลาดที่มีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในแต่ละช่วงเวลาครับ/ค่ะ

**เจาะลึกข้างใน S&P 500 มีอะไรบ้าง?**

ทีนี้มาดูกันว่า ไอ้เจ้า 500 บริษัทนี้ มันประกอบไปด้วยบริษัทจากภาคส่วนไหนบ้าง? ข้อมูล ณ ช่วงปลายปี 2024 ชี้ให้เห็นสัดส่วนคร่าวๆ ที่น่าสนใจครับ/ค่ะ

* **เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology):** คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดเลย ประมาณ 33.01% พวกบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายก็อยู่ในกลุ่มนี้
* **การเงิน (Financials):** 12.90% พวกธนาคาร บริษัทประกัน สถาบันการเงินต่างๆ
* **การดูแลสุขภาพ (Health Care):** 11.17% พวกบริษัทยา โรงพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์
* **สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary):** 10.21% พวกบริษัทรถยนต์ เสื้อผ้า ร้านค้าปลีกที่ขายของไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันมากนัก
* **บริการสื่อสาร (Communication Services):** 9.91% พวกบริษัทโทรคมนาคม สื่อ บันเทิง โซเชียลมีเดีย
* **อุตสาหกรรม (Industrials):** 7.55% พวกบริษัทผลิตสินค้าอุตสาหกรรม การบิน ก่อสร้าง

จะเห็นได้ว่า ภาคส่วนเทคโนโลยีมีน้ำหนักในดัชนี S&P 500 สูงที่สุด ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุคปัจจุบัน และแน่นอนว่าหุ้นที่มีน้ำหนักหรือมีผลต่อดัชนีมากที่สุด ก็หนีไม่พ้นบริษัทที่เราคุ้นชื่อกันดีอยู่แล้ว เช่น Apple, Microsoft และ Amazon ครับ/ค่ะ

**การปรับเปลี่ยนรายชื่อ หรือ “Rebalance” มีผลยังไง?**

อย่างที่บอกไปว่า ทุกๆ ไตรมาส จะมีการทบทวนว่า **S&P 500 มีอะไรบ้าง** ที่ควรจะยังอยู่ในลิสต์ หรือมีบริษัทไหนที่ใหญ่ขึ้น มีคุณสมบัติครบถ้วนแล้วควรถูกเพิ่มเข้ามา หรือบริษัทไหนที่เล็กไป ไม่เข้าเกณฑ์แล้ว ควรจะเอาออก การปรับเปลี่ยนรายชื่อนี้เรียกว่าการ “Rebalance”

เมื่อ S&P Dow Jones Indices ประกาศรายชื่อบริษัทที่จะเข้าหรือออกล่วงหน้า มักจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นเหล่านั้นทันทีเลยครับ/ค่ะ โดยเฉพาะหุ้นที่ถูกเพิ่มเข้ามา ส่วนใหญ่มักจะมีราคาพุ่งขึ้น เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะว่ากองทุนรวม กองทุน ETF หรือนักลงทุนรายใหญ่จำนวนมาก ที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนี S&P 500 พอเห็นรายชื่อใหม่ ก็ต้องรีบเข้าไป “ซื้อ” หุ้นบริษัทที่ถูกเพิ่มเข้ามา เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของตัวเองมันล้อไปกับดัชนีให้ได้มากที่สุด ในทางกลับกัน หุ้นที่ถูกถอดออก ราคาก็มักจะปรับลดลง เพราะกองทุนเหล่านั้นต้อง “ขาย” ออกไปนั่นเอง

ยกตัวอย่างการปรับรายชื่อล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 บริษัทที่ถูกเพิ่มเข้าดัชนีได้แก่ Crowdstrike Holdings, KKR & Co., และ GoDaddy ส่วนบริษัทที่ถูกถอดออกคือ Robert Half, Comerica, และ Illumina การเปลี่ยนแปลงนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงภาพของบริษัทที่กำลังเติบโตและมีความสำคัญมากขึ้นในตลาดอเมริกาครับ/ค่ะ

**อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ S&P 500 ขยับ?**

การเคลื่อนไหวของ S&P 500 เนี่ย เหมือนเป็นกระจกสะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจอเมริกาและเศรษฐกิจโลกเลยครับ/ค่ะ ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงก็มีหลายอย่าง เช่น

* **ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ:** ไม่ว่าจะเป็น GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ที่บอกว่าเศรษฐกิจโตแค่ไหน, อัตราการว่างงาน, ตัวเลขเงินเฟ้อ, ยอดค้าปลีก ฯลฯ ถ้าตัวเลขออกมาดี ตลาดหุ้นก็มักจะคึกคัก แต่ถ้าแย่ ตลาดก็อาจจะซึมลง
* **นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed):** การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของ Fed มีอิทธิพลมหาศาลต่อตลาดหุ้น ถ้า Fed ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ย ตลาดมักจะไม่ชอบ แต่ถ้าจะลดดอกเบี้ย หรือมีมาตรการผ่อนคลาย ตลาดก็มักจะดีใจ
* **ข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทขนาดใหญ่และภาคส่วนหลัก:** โดยเฉพาะพวกกลุ่มเทคโนโลยีที่มีน้ำหนักเยอะ ถ้า Apple, Microsoft หรือ Amazon มีข่าวดี ข่าวร้าย ประกาศผลประกอบการดีเกินคาด หรือแย่กว่าคาด ก็มีผลต่อดัชนีโดยรวมอย่างมาก
* **สถานการณ์โลก:** วิกฤตการณ์ต่างๆ ทั่วโลก เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง สงคราม การระบาดของโรค ก็ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้

**S&P 500 ต่างจาก NASDAQ หรือ Dow Jones ยังไง?**

นอกจาก **S&P 500** แล้ว ตลาดหุ้นอเมริกาก็ยังมีดัชนีสำคัญอื่นๆ ที่เราได้ยินบ่อยๆ อย่าง NASDAQ และ Dow Jones แล้วพวกมันต่างกันยังไงล่ะ?

* **ดัชนี NASDAQ:** ดัชนีนี้จะเน้นไปที่หุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหลักครับ/ค่ะ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ เอง ถึงแม้จะใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดคล้ายๆ S&P 500 แต่ NASDAQ มีการกำหนดเพดานน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวเพื่อไม่ให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีอิทธิพลมากเกินไป ดัชนีนี้เลยมักจะมีความผันผวนสูงกว่า S&P 500 ตามลักษณะของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
* **ดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA):** หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Dow Jones เป็นดัชนีที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งของอเมริกา ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่เพียง 30 บริษัทเท่านั้น วิธีการคำนวณก็ต่างจาก S&P 500 ตรงที่ Dow Jones ใช้การ “ถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น” (Price-Weighted) หมายความว่า หุ้นตัวไหนมีราคาแพงกว่า จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่า แม้ว่ามูลค่าตลาดรวมจะน้อยกว่าก็ตาม ด้วยจำนวนบริษัทที่น้อยกว่า ทำให้ Dow Jones อาจจะไม่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กว้างขวางเท่า S&P 500 ครับ/ค่ะ

ดังนั้น ถ้าจะดูภาพรวมของบริษัทขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม **S&P 500** ถือเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วโลกครับ/ค่ะ

**คนไทยอยากลงทุนใน S&P 500 ทำยังไงได้บ้าง?**

สำหรับนักลงทุนในประเทศไทยที่สนใจอยากจะมีส่วนร่วมกับการเติบโตของบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ผ่านดัชนี S&P 500 ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้วครับ/ค่ะ วิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็คือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” หรือ “กองทุน ETF” (Exchange Traded Fund) ที่มีนโยบายลงทุนโดยตรง หรือลงทุนล้อไปกับดัชนี S&P 500

ปัจจุบันมีกองทุนรวมในประเทศไทยหลายแห่งที่เสนอขายกองทุนประเภทนี้ครับ/ค่ะ กองทุนเหล่านี้จะไปรวบรวมเงินจากนักลงทุนรายย่อย แล้วนำไปลงทุนในหุ้น 500 ตัวตามสัดส่วนของดัชนี S&P 500 ให้โดยอัตโนมัติ ทำให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในต่างประเทศเองให้ยุ่งยาก

ตัวอย่างรายชื่อกองทุนไทยที่ลงทุนล้อตามดัชนี S&P 500 ที่มีให้เลือกลงทุนในปัจจุบันก็มีอยู่หลายกองทุนเลยครับ/ค่ะ เช่น ASP-S&P500, KFUSINDX-A, K-US500X-A(A), SCBS&P500, TMBUS500, TISCOUS-A, TUSEQ-UH, KKP EWUS500-UH หรือ B-USPASSIVE เป็นต้น (รายชื่อนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง ผู้ลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดอีกครั้ง)

การลงทุนผ่านกองทุนเหล่านี้ถือเป็นวิธีที่สะดวกและกระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะเราไม่ได้ลงทุนในหุ้นแค่ตัวใดตัวหนึ่ง แต่ได้ลงทุนใน 500 บริษัทชั้นนำพร้อมๆ กันครับ/ค่ะ

**ข้อควรรู้และคำเตือนก่อนตัดสินใจลงทุน**

มาถึงตรงนี้ ทุกคนคงพอจะเห็นภาพแล้วว่า **s&p 500 มีอะไรบ้าง** สำคัญแค่ไหน และมีวิธีการลงทุนสำหรับคนไทยอย่างไรบ้าง แต่อย่าลืมนะครับ/คะว่า การลงทุนในตลาดทุนมีความเสี่ยงเสมอ

⚠️ **สำคัญมากๆ:** ผลการดำเนินงานในอดีตของ S&P 500 ไม่สามารถเป็นเครื่องยืนยันหรือการันตีผลการดำเนินงานในอนาคตได้ ตลาดหุ้นมีความผันผวนขึ้นลงได้ตามปัจจัยต่างๆ ที่เราคุยกันไป ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ หรือข่าวสารต่างๆ

ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนที่อิงกับ S&P 500 หรือสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงให้ดีเสียก่อน ควรประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง และลงทุนด้วยเงินที่พร้อมจะนำมาลงทุนระยะยาว ไม่ใช่เงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันในอนาคตอันใกล้ครับ/ค่ะ

การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และปรึกษาผู้แนะนำทางการเงินที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของเรามากที่สุดครับ/ค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนรู้จักและเข้าใจ “ดัชนี S&P 500” มากขึ้นนะครับ/คะ ครั้งหน้าถ้าได้ยินชื่อนี้อีก จะได้รู้ว่าเรากำลังพูดถึงอะไร และมันมีความสำคัญต่อโลกการลงทุนยังไงบ้างครับ/ค่ะ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ/ค่ะ!

Leave a Reply