
ลองนึกภาพว่าโลกของเราขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ทั้งมือถือที่เราใช้ทุกวัน คอมพิวเตอร์ที่เราทำงาน หรือแม้กระทั่งรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง บริษัทเหล่านี้อยู่เบื้องหลังความก้าวหน้าทั้งหมด และส่วนใหญ่ไปรวมตัวกันอยู่ที่ตลาดหุ้นแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อว่า แนสแด็ก (Nasdaq)
เวลาพูดถึง แนสแด็ก หลายคนจะนึกถึงแต่บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ระดับโลก ซึ่งก็ไม่ผิดซะทีเดียวครับ เพราะนี่คือจุดเด่นของเขาเลย แต่จริงๆ แล้ว ตลาดแนสแด็กมีอะไรมากกว่านั้น และยังมีดัชนีตัวสำคัญอย่าง ดัชนีแนสแด็ก 100 (Nasdaq 100) ที่เป็นเหมือนตัวแทนของบริษัทชั้นนำเหล่านี้ ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ แล้วมันคืออะไรกันแน่? น่าสนใจแค่ไหน? แล้วถ้าอยากลงทุนจะทำยังไง? วันนี้ผมในฐานะคนคุ้นเคยกับตัวเลขและการลงทุน จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกันครับ
**แนสแด็ก ไม่ใช่แค่ ‘ที่’ แต่คือ ‘ระบบ’ ที่รวมดาวเด่น**
ถ้าเปรียบตลาดหุ้นไทยเหมือนตลาดสดใหญ่ๆ ที่เราเดินเลือกซื้อของ แนสแด็ก จะเป็นเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ขนาดมหึมา ที่เน้นสินค้าไฮเทคหน่อยๆ เขาไม่ใช่ตลาดที่มีคนไปยืนตะโกนซื้อขายกัน แต่เป็นการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ล้วนๆ ถือเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของสหรัฐอเมริกาเลยนะ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1971 โน่นแล้วครับ ชื่อเต็มๆ เขาคือ National Association of Securities Dealers Automated Quotations ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเน้นระบบอัตโนมัติ
ความพิเศษของ แนสแด็ก คือเขาเป็นบ้านของบริษัทที่เน้นเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทำให้เราเจอชื่อบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดี อย่าง Apple, Microsoft, Amazon หรือจะเป็นยักษ์ใหญ่วงการชิปอย่าง Nvidia ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla บริษัทเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ แนสแด็ก คึกคักสุดๆ ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาด แนสแด็ก กว่า 3,000 แห่งเลยนะครับ (มูลค่ารวมๆ กว่า 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ข้อมูลเมื่อ ม.ค. 2023 ตามข้อมูลดิบที่ผมมี) ถือเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมากในสหรัฐฯ

สำหรับคนไทยที่สนใจลงทุน `หุ้น nasdaq` อาจจะต้องปรับนาฬิกากันนิดหน่อย เพราะเวลาซื้อขายก็ตามเวลาสหรัฐฯ เขตเวลาตะวันออกครับ ช่วงปกติ (Regular Market) จะเริ่ม 09.30 – 16.00 น. ของอเมริกา ซึ่งถ้าแปลงเป็นเวลาไทยแล้ว จะตกอยู่ในช่วงกลางคืนถึงเช้ามืดของเราครับ คือประมาณ 20.30 น. – 03.00 น. (ช่วง มี.ค. – พ.ย. หรือช่วง Day light saving) และ 21.30 น. – 04.00 น. (ช่วง พ.ย. – มี.ค.) ใครเป็นสายค่ำคืนคงชอบ แต่ถ้าใครนอนเร็วก็ต้องวางแผนดีๆ นะ
การจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด แนสแด็ก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ เขามีข้อกำหนดเข้มงวด ทั้งเรื่องการเงิน การกำกับดูแลกิจการ และสภาพคล่องของหุ้น รวมถึงต้องมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) คอยดูแลราคาอย่างน้อย 3 ราย และต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ หรือ ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) ด้วยครับ ตลาดเขายังแบ่งระดับบริษัทออกเป็น Global Market, Global Select Market (อันนี้คัดมาพิเศษเลย) และ Capital Market (สำหรับบริษัทขนาดเล็กหน่อย) ด้วย
**ดัชนีแนสแด็ก 100 คือ ‘ดาวเด่น’ ในหมู่ดาว**
ในบรรดาบริษัทมากมายที่อยู่ใน แนสแด็ก ดัชนีตัวที่เป็นที่พูดถึงและใช้เป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ก็คือ ดัชนีแนสแด็ก 100 นี่แหละครับ มันคือการเอาบริษัทขนาดใหญ่ 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนใน แนสแด็ก มาคำนวณรวมกัน *โดยไม่รวมบริษัทในกลุ่มการเงิน* นะครับ เช่น ธนาคาร หรือบริษัทประกันภัย
ดัชนีนี้เป็นเหมือน “ตะกร้า” ที่รวมเอาสุดยอดบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลกไว้ด้วยกัน ลองดูชื่อบริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้สิครับ Apple (สินค้าไอที), Microsoft (ซอฟต์แวร์), Amazon (อีคอมเมิร์ซ/คลาวด์), Nvidia (ชิปประมวลผล), Tesla (รถยนต์ไฟฟ้า), Meta Platforms (Facebook/Instagram), Alphabet (Google) เป็นต้น ชื่อเหล่านี้บอกได้เลยว่านี่คือบริษัทที่กำหนดทิศทางโลกในหลายๆ ด้านเลยครับ
การคำนวณค่าดัชนี แนสแด็ก 100 เขาจะใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่ากิจการ (Market Cap) คือบริษัทไหนมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่า ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าครับ ดัชนีนี้เริ่มคำนวณมาตั้งแต่ปี 1985 โน่นแล้ว เป็นดัชนีที่สะท้อนให้เห็นถึงผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stocks) ได้เป็นอย่างดี และในระยะยาวก็มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ จากศักยภาพการเติบโตของบริษัทที่อยู่ในนั้น
**อะไรที่ทำให้ แนสแด็ก 100 น่าจับตา (ในอดีตและปัจจุบัน)?**
ทำไม ดัชนีแนสแด็ก 100 ถึงเป็นที่สนใจของนักลงทุน? มีหลายปัจจัยที่หนุนหลังมาตลอดครับ
1. **ศักยภาพการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี:** อันนี้ชัดเจนที่สุดครับ บริษัทใน ดัชนีแนสแด็ก 100 ส่วนใหญ่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรม พวกเขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล) อย่างตอนช่วงโควิด-19 ระบาด หลายธุรกิจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้บริษัทเหล่านี้เติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอดีตก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยหนุนตลาดด้วยครับ
2. **ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed):** อันนี้เป็นเรื่องของภาพใหญ่ระดับเศรษฐกิจครับ เวลาที่ Fed มีแนวโน้มจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือถึงขั้นจะพิจารณาลดดอกเบี้ยในอนาคต สิ่งนี้มักจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหุ้นกลุ่มเติบโตอย่างที่อยู่ใน ดัชนีแนสแด็ก 100 ครับ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ทำให้ต้นทุนการเงินของบริษัทถูกลง และยังทำให้นักลงทุนมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร

3. **ประโยชน์จากเทคโนโลยีในยุคถัดไป:** อนาคตกำลังมาครับ และมันถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เราเห็นจาก Chat GPT หรือ Bard AI, ชิปประมวลผลที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ อย่างของ Nvidia, โลกเสมือนจริง/โลกคู่ขนานอย่าง AR/VR (เช่น Oculus Quest) หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างที่ Tesla พัฒนา สิ่งเหล่านี้คือแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ที่อาจจะช่วยหนุนให้บริษัทใน ดัชนีแนสแด็ก 100 เติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต
ย้อนไปดูผลประกอบการ (Earnings) ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ช่วงไตรมาส 1 ปี 2023 ตามข้อมูลดิบที่ผมได้รับมา บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งประกาศผลประกอบการออกมา บางบริษัทอย่าง Tesla ก็ทำได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องราวดีๆ แบบนี้ก็ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ `หุ้น nasdaq` โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือยครับ
**อยากลงทุนใน แนสแด็ก 100 ต้องทำยังไง?**
สำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ การจะไปซื้อขาย `หุ้น nasdaq` ทีละตัวโดยตรงอาจจะยุ่งยากหน่อยครับ ช่องทางที่สะดวกและนิยมกันก็คือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” หรือ “กองทุน ETF” ที่มีนโยบายลงทุนตาม ดัชนีแนสแด็ก 100 ครับ
กองทุนเหล่านี้จะไปบริหารจัดการเงินของเรา โดยนำไปลงทุนในหุ้น 100 ตัวในสัดส่วนใกล้เคียงกับน้ำหนักในดัชนี ทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ล้อไปกับการขึ้นลงของ ดัชนีแนสแด็ก 100 โดยที่เราไม่ต้องไปเลือกหุ้นเองทีละตัว ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ โดยรวมครับ (ในข้อมูลดิบก็มีตัวอย่างกองทุนที่ลงทุนตามดัชนีนี้ เช่น BCAP-USND100, KKP NDQ) นอกจากนี้, บางแพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศ, อาจมีทางเลือกให้เทรด `หุ้น nasdaq` ในรูปแบบอื่น ๆ เช่นกัน, ซึ่งก็ต้องศึกษาเงื่อนไขและรูปแบบการลงทุนให้ดีครับ
**แต่จำไว้เสมอว่า: การลงทุนมีความเสี่ยง!**
แม้ `หุ้น nasdaq` และ ดัชนีแนสแด็ก 100 จะมีศักยภาพการเติบโตที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้คือ **การลงทุนในตราสารทางการเงินมีความเสี่ยงสูงครับ** คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ นี่ไม่ใช่ของที่จะซื้อแล้วรวยชัวร์ๆ และไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือหุ้นเติบโต มักจะมีราคาที่ผันผวนสูงครับ เวลาตลาดดีก็ขึ้นแรง แต่ถ้าตลาดแย่ก็อาจจะลงแรงกว่าหุ้นประเภทอื่นได้ด้วยครับ นอกจากนี้ ข้อมูลและราคาที่คุณเห็นตามแหล่งต่างๆ อาจไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือแม่นยำเสมอไปนะครับ (อ้างอิงจากข้อมูลดิบที่อ้าง Fusion Media) ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงราคาชี้นำเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับใช้อ้างอิงในการซื้อขายโดยตรงโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบ
**ข้อสรุปและคำแนะนำจากใจคนเล่า:**
ดัชนีแนสแด็ก 100 เป็นตัวแทนของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เป็นดัชนีที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสจากศักยภาพการเติบโตของเทคโนโลยีในอนาคตครับ แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนใน `หุ้น nasdaq` หรือกองทุนที่เกี่ยวข้อง **คุณควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ ให้ดีที่สุดก่อน**
* **ศึกษาให้ลึก:** ทำความเข้าใจว่าบริษัทใน ดัชนีแนสแด็ก 100 ทำธุรกิจอะไร มีอนาคตแค่ไหน
* **ประเมินตัวเอง:** เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร? รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน? มีประสบการณ์ในการลงทุนมาก่อนไหม? เงินที่เอามาลงทุนเป็นเงินเย็นจริงๆ ใช่ไหม?
* **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:** ถ้าไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาต เพื่อให้เขาช่วยประเมินสถานการณ์และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณ
การลงทุนเหมือนการเดินทางครับ ยิ่งเรารู้ข้อมูล รู้เส้นทาง และเตรียมตัวมาดีเท่าไหร่ โอกาสที่จะถึงเป้าหมายก็มีมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเจออุปสรรคระหว่างทาง (ซึ่งในการลงทุนคือความผันผวนหรือขาดทุน) เราก็จะรับมือกับมันได้ดีขึ้นครับ
⚠️ **คำเตือนสำคัญ:** การลงทุนใน `หุ้น nasdaq` หรือดัชนี แนสแด็ก 100 มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน และอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งจำนวนได้ ผู้จัดทำบทความนี้ให้ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ