เจาะลึก “ดัชนีแนสแดค”: โอกาสทองหรือหลุมดำนักลงทุน?

เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า “ดัชนีแนสแดค” (NASDAQ Index) ไหมครับ/คะ? หรือเห็นข่าวว่า “แนสแดคพุ่งแรงแซงทางโค้ง” หรือ “แนสแดคร่วงหนักใจหาย” แล้วสงสัยว่าไอ้เจ้าตัวนี้มันคืออะไรกันแน่? บางทีเราได้ยินชื่อพร้อมกับหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง Apple, Microsoft หรือ Google (บริษัทแม่อย่าง Alphabet) เลยอดคิดไม่ได้ว่า เอ๊ะ นี่มันตัวเดียวกับที่เราใช้มือถือหรือใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า?

ใช่แล้วครับ/คะ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับตลาดหุ้นและดัชนีสำคัญระดับโลกตัวนี้กัน ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชีวิตเรามากกว่าที่คิดนะ เพราะบริษัทหลายๆ แห่งที่เราใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการอยู่ในทุกวันนี้ ก็ไปจดทะเบียนและซื้อขายกันอยู่ในตลาดแห่งนี้แหละครับ/คะ

ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (NASDAQ) ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ชื่อเต็มๆ เขามาจาก National Association of Securities Dealers Automated Quotations มันเป็นตลาดหุ้นอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของโลกเลยนะ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1971 โน่นแน่ะ ทุกวันนี้ แนสแด็กถือเป็นตลาดหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุดในสหรัฐฯ และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ด้วยมูลค่ารวมของบริษัทที่มาจดทะเบียน ถือว่าเป็นศูนย์กลางการซื้อขายหุ้นสำคัญระดับโลกเลยก็ว่าได้ มีบริษัทจดทะเบียนอยู่กว่า 3,500 แห่งเลยทีเดียว เวลาทำการซื้อขายก็เป็นไปตามเขตเวลาของฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ รวมถึงมีช่วงก่อนและหลังเวลาทำการปกติด้วย

ทีนี้ บนตลาดแนสแด็กนี้ ไม่ได้มีแค่หุ้นตัวเดียว แต่มี “ดัชนี” (Index) ที่เป็นเหมือน “มาตรวัด” แสดงภาพรวมของตลาด หรือกลุ่มหุ้นบางกลุ่มในตลาด เพื่อให้เราเห็นแนวโน้มได้ง่ายขึ้น ตัวแรกที่นิยมพูดถึงคือ “ดัชนีแนสแดคคอมโพสิต” (NASDAQ Composite) ตัวนี้จะรวบรวมหุ้นสามัญเกือบทั้งหมดที่จดทะเบียนบนตลาดแนสแด็กเลยครับ/คะ ประมาณ 3,000 กว่าตัว ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจากภาคเทคโนโลยี ดัชนีตัวนี้จะคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap-Weighted) คือบริษัทไหนใหญ่ มีมูลค่าตลาดเยอะ ก็จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากหน่อย ถือเป็นดัชนีที่ครอบคลุมหุ้นส่วนใหญ่ในแนสแด็กเลย

ส่วนอีกตัวที่ฮิตมากๆ จนบางทีคนพูดถึงแนสแด็กก็หมายถึงตัวนี้ไปเลยคือ “ดัชนีแนสแดค 100” (NASDAQ 100) ตัวนี้จะเจาะจงกว่าหน่อยครับ/คะ คือเลือกเอาเฉพาะ 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็กมาเป็นตัวแทน แต่มีข้อแม้คือ ต้องไม่ใช่บริษัทในกลุ่มสถาบันการเงินนะ กลุ่มที่อยู่ในดัชนีแนสแดค 100 ส่วนใหญ่เลยจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ๆ รวมถึงกลุ่มโทรคมนาคม เทคโนโลยีชีวภาพ สื่อ และบริการต่างๆ นี่แหละครับ/คะ ที่ทำให้คนมองว่า ดัชนีแนสแดค 100 เป็นเหมือนตัวแทนของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ดัชนีตัวนี้ก็คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนกัน แต่มีการปรับปรุง (Modified) เพื่อไม่ให้บริษัทที่ใหญ่ที่สุดไม่กี่ตัวมีอิทธิพลต่อดัชนีมากเกินไป

ถ้าเทียบ ดัชนีแนสแดค สองตัวนี้กับดัชนีหลักอื่นๆ ในสหรัฐฯ อย่าง “ดัชนีดาวโจนส์” (Dow Jones Industrial Average) หรือ “ดัชนี S&P 500” จะเห็นความแตกต่างชัดเจนครับ/คะ ดาวโจนส์จะตามแค่ 30 บริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพื้นฐาน แล้วถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น ซึ่งการถ่วงน้ำหนักแบบนี้มีข้อเสียคือหุ้นตัวไหนราคาแพงกว่า ก็จะมีผลต่อดัชนีมากกว่า ทั้งๆ ที่มูลค่าบริษัทอาจจะเล็กกว่าก็ได้ ส่วน S&P 500 อันนี้จะตาม 500 บริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรมกว่า ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนแนสแด็ก ดัชนีแนสแดค และ S&P 500 จะมีหุ้นจำนวนมากกว่าดาวโจนส์ และสะท้อนภาพตลาดที่แตกต่างกัน ดัชนีแนสแดคเน้นเทคโนโลยีเป็นหลัก ดาวโจนส์เน้นธุรกิจใหญ่แบบดั้งเดิม ส่วน S&P 500 จะสะท้อนสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่หลากหลายอุตสาหกรรมกว่า

แล้วอะไรบ้างล่ะ ที่ทำให้ ดัชนีแนสแดค ขยับขึ้นลงได้? ปัจจัยแรกและสำคัญมากๆ เลยคือ “ผลประกอบการของบริษัท” โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่สายเทคฯ ที่อยู่ในดัชนีแนสแดค 100 เนี่ยแหละครับ/คะ เวลาที่บริษัทพี่ใหญ่อย่าง Nvidia, Alphabet หรือ Microsoft ประกาศผลประกอบการ ถ้าออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ตลาดก็มักจะคึกคัก ดัชนีแนสแดคก็ดีใจตามไปด้วย แต่ถ้าผลประกอบการต่ำกว่าที่คาด หรือมีข่าวลบ แม้แต่บริษัทแม่อย่าง Alphabet หรือพี่ใหญ่อย่าง Apple เอง หรือแม้แต่ Meta ที่กำไรโดยรวมดี แต่ธุรกิจ Reality Labs ที่ขาดทุนหนักก็ยังส่งผลกระทบให้ตลาดกังวลได้เหมือนกัน การประกาศผลประกอบการจึงเป็นช่วงที่ต้องจับตาดูให้ดีเลยล่ะครับ/คะ

นอกจากเรื่องของบริษัทเองแล้ว “แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค” ก็มีผลอย่างมากต่อ ดัชนีแนสแดค 100 เพราะอย่างที่บอกว่ากลุ่มนี้เน้นบริษัทที่เติบโตสูง (Growth Stock) ซึ่งอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากๆ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญๆ เช่น อัตราการเติบโตของ GDP หรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ก็ส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มนี้ได้ การที่เศรษฐกิจโดยรวมดี คนจับจ่ายใช้สอย มีความเชื่อมั่น ก็จะหนุนให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้ดี ราคาหุ้นก็มีแนวโน้มปรับขึ้น

อีกเรื่องที่กระทบโดยตรงคือ “นโยบายการเงิน” ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ครับ/คะ เวลาที่ Fed ตัดสินใจ “ขึ้นอัตราดอกเบี้ย” เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หรือเพราะมองว่าเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป การขึ้นดอกเบี้ยเนี่ย จะไปเพิ่มต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ และยังทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อย่างหุ้น ดูน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่ม ดัชนีแนสแดค 100 ซึ่งเป็นกลุ่ม Growth Stock ที่มักจะมีราคาแพงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ อยู่แล้ว ปรับตัวลดลงได้

สุดท้าย ปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดฝันก็สำคัญไม่แพ้กันครับ/คะ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น (อย่างช่วงสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ) วิกฤตการณ์ทางการเงิน (เราเห็นผลกระทบที่รุนแรงต่อ ดัชนีแนสแดค 100 มาแล้วจากวิกฤตฟองสบู่ดอตคอมปี 2000 และวิกฤตซับไพรม์ปี 2008) หรือแม้แต่การระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน ดัชนีแนสแดคก็สะเทือนไปหมด แต่ในหลายๆ ครั้ง ตลาดก็สามารถฟื้นตัวและกลับมาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้ ล่าสุดก็มีความกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่แข่งขันกันดุเดือด การพัฒนาโมเดล AI ใหม่ๆ จากบริษัทจีนอย่าง DeepSeek ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดได้เช่นกัน จะเห็นว่า ดัชนีแนสแดค ไม่ได้เคลื่อนไหวจากปัจจัยในประเทศสหรัฐฯ อย่างเดียว แต่ปัจจัยระดับโลกก็มีผลอย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าฟังดูแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ อยากลอง “ลงทุน” ใน ดัชนีแนสแดค หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องบ้างล่ะ ทำยังไงได้บ้าง? ต้องบอกก่อนว่า การลงทุนใน “ตัวดัชนี” เลยเนี่ย เราไม่สามารถไป “ซื้อ” ตัวดัชนีได้โดยตรงนะ เพราะมันเป็นแค่ค่าที่คำนวณขึ้นมา แต่เราสามารถลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่อ้างอิง ดัชนีแนสแดค ได้ครับ/คะ เช่น “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” (Futures) ของ ดัชนีแนสแดค 100 หรือที่นิยมและเข้าถึงง่ายในไทยคือ การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของ ดัชนีแนสแดค 100 โดยตรง อย่างที่เห็นในตลาดไทยก็มีกองทุนอย่าง KFNDQ ของ บลจ.กรุงศรี หรือกองทุนอื่นๆ ที่อาจมีโครงสร้างซับซ้อนหน่อยเพื่อบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ ถ้ามีความรู้และเงินทุนมากพอ ก็สามารถเลือก “ซื้อหุ้นรายตัว” ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญๆ ใน ดัชนีแนสแดค โดยตรงก็ได้

แต่ก่อนจะกระโดดเข้าไป ต้องบอกเลยว่าการลงทุนในตลาดแนสแด็ก หรือตราสารที่อ้างอิงดัชนีนี้ มี “ความเสี่ยงสูงมากกกก” นะครับ/คะ มันมีความผันผวนสูงกว่าดัชนีที่กระจายตัวหลากหลายกว่า เพราะเน้นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งราคาขึ้นลงไวตามข่าวสาร แนวโน้ม และความคาดหวังในอนาคต ทำให้มีโอกาสที่จะ “สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วน” ได้เลยครับ/คะ การลงทุนในตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิทอลมีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคนเลยนะ ราคาแปรปรวนอย่างมากจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ ถ้าใช้การซื้อขายแบบมีอัตราทด หรือที่เรียกว่า “มาร์จิน” (Margin) หรือ “เลเวอเรจ” (Leverage) ความเสี่ยงทางการเงินยิ่งพุ่งกระฉูดทวีคูณ

อีกเรื่องที่ต้องระวังคือ ข้อมูลและราคาที่เราเห็นในแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์บางแห่ง อาจไม่ใช่ราคาเรียลไทม์เป๊ะๆ หรืออาจไม่เที่ยงตรงเท่ากับราคาจริงในตลาด เป็นเพียงราคาชี้นำเท่านั้นครับ/คะ ดังนั้น อย่าใช้ข้อมูลจากแหล่งเดียวในการตัดสินใจซื้อขายทันทีทันใดโดยไม่ตรวจสอบให้ดีนะครับ/คะ

สรุปคือ การลงทุนใน ดัชนีแนสแดค (หรือสิ่งที่อ้างอิง) เนี่ย ไม่ได้เหมาะกับทุกคนนะครับ/คะ โดยเฉพาะคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เพราะอย่างที่เห็นว่ามันผันผวนสูงและมีปัจจัยกระทบเยอะแยะไปหมด ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน พิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ “ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดมากๆ” และ “ควรแสวงหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน” เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเราเข้าใจสิ่งที่กำลังจะลงทุนจริงๆ

โดยรวมแล้ว ดัชนีแนสแดค เป็นเหมือนกระจกสะท้อนภาพอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมของสหรัฐฯ ที่เติบโตเร็ว เป็นแหล่งรวมบริษัทสุดเจ๋งที่เราคุ้นเคย แต่ก็มาพร้อมความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงที่หลากหลาย การลงทุนในดัชนีแนสแดค หรือสิ่งที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นโอกาสในการเข้าถึงบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีศักยภาพ แต่ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่า “ความเสี่ยงสูงกว่าดัชนีที่หลากหลายกว่า” ดังนั้น หากคิดจะร่วมวงในตลาดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การศึกษาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วน ทำความเข้าใจธรรมชาติของดัชนีและปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ และไม่ควรนำเงินทั้งหมดที่มีมาลงกับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเพียงอย่างเดียวครับ/คะ

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน และควรพิจารณาความเหมาะสมของตัวเองกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

Leave a Reply