แนสแด็ก 100 พุ่งแรง! แต่ระวัง… ก่อนลงทุนตามกระแส

เพื่อนผมชื่อสมชาย เพิ่งบ่นว่า “งงจริงๆ ข่าวบอกตลาดหุ้นอเมริกาดี๊ดี โดยเฉพาะ แนสแด็ก 100 นี่ทำสถิติใหม่ไม่หยุดเลย แต่ผมตามไม่ทันเลยว่ามันคืออะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับเราไหม?” คำถามนี้คงเป็นคำถามที่อยู่ในใจหลายคนเหมือนกันครับ ช่วงนี้เราได้ยินชื่อ “แนสแด็ก 100” บ่อยมากในข่าวการเงิน วันนี้ผมเลยอยากชวนมาทำความรู้จักเจ้าดัชนีตัวนี้กันแบบง่ายๆ สไตล์คนคุยกันหลังเลิกงาน พร้อมดูว่าอะไรที่กำลังขับเคลื่อนมัน และอะไรที่เราต้องระวัง ถ้าคิดจะกระโดดเข้าสนามนี้

ก่อนอื่นเลย แนสแด็ก 100 (NASDAQ 100 Index) ไม่ใช่ชื่อตลาดหุ้นทั้งหมดนะครับ แต่มันคือ “ดัชนี” ตัวหนึ่ง ซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนที่คัดบริษัทเด่นๆ มา 100 แห่ง ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มธนาคารหรือบริษัทการเงินครับ บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่เราคุ้นชื่อกันดี หรือเป็นบริษัทใหญ่ๆ ในกลุ่มอื่นๆ เช่น โทรคมนาคม เทคโนโลยีชีวภาพ สื่อสาร หรือบริการ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแด็ก (Nasdaq Stock Market) ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของโลก วิธีคำนวณดัชนีนี้ก็ดูจากขนาดมูลค่าบริษัทเป็นหลัก บริษัทไหนใหญ่มาก ก็มีน้ำหนักในดัชนีมากหน่อย เข้าใจง่ายๆ มันคือ “ตัวชี้วัด” สุขภาพของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมยักษ์ใหญ่ในอเมริกานั่นแหละครับ ดัชนีนี้เริ่มคำนวณมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 หรือ พ.ศ. 2528 โน่นเลย ถือว่าเป็นดัชนีที่มีประวัติยาวนานพอสมควร

ช่วงที่ผ่านมา หลายคนคงได้ยินข่าวว่า แนสแด็ก 100 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ใช่ครับ ข้อมูลล่าสุดก็ยืนยันแบบนั้น ถ้าดูผลตอบแทนในระยะยาว เช่น 1 ปี หรือ 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนี แนสแด็ก 100 ก็แสดงให้เห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาตลอด แสดงถึงพื้นฐานและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทกลุ่มนี้ครับ ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตรงนี้ หนีไม่พ้น “กระแส AI” หรือ ปัญญาประดิษฐ์ นั่นเอง บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่อยู่ใน แนสแด็ก 100 เป็นหัวหอกเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ผลิตชิป, พัฒนาซอฟต์แวร์ หรือให้บริการคลาวด์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับ AI ทั้งสิ้น ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้พุ่งขึ้นรับความคาดหวังในอนาคตอย่างมหาศาล เราจะเห็นว่าหุ้นบางตัวในกลุ่มนี้ราคาขึ้นไปหลายเท่าตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อีกเรื่องที่สำคัญและเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึง แนสแด็ก 100 คือสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) ครับ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่ออกมา ดูเหมือนจะสนับสนุน “ความหวัง” ว่า เฟด อาจจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต การลดดอกเบี้ยมักจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เพราะต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น และยังทำให้การลงทุนในหุ้นน่าสนใจกว่าการฝากเงินหรือถือพันธบัตรที่มีดอกเบี้ยต่ำลงไปด้วย เมื่อนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นก็มักจะตอบรับด้วยการปรับตัวสูงขึ้น นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดัชนีหลักๆ อย่าง แนสแด็ก 100 และ S&P 500 ทำสถิติใหม่ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะสวยหรูไปหมดนะครับ โลกการเงินมันมีหลายปัจจัยตีกันไปมา นอกจากเรื่อง AI และดอกเบี้ยแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเหตุการณ์ใกล้ๆ ตัวเราหน่อย อย่างผลการเลือกตั้งในฝรั่งเศส อันนี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับตลาดหุ้นยุโรป ทำให้ผันผวนพอสมควรเลยครับ แม้จะไม่ใช่ตลาดอเมริกาโดยตรง แต่ความเชื่อมโยงมันมีอยู่ทั่วโลก เหตุการณ์การเมืองในประเทศสำคัญๆ ย่อมส่งคลื่นไปถึงตลาดอื่นๆ ได้เสมอ

อีกประเด็นที่หลายฝ่ายจับตาคือเรื่องนโยบาย “ภาษีนำเข้า” ที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ถ้าทีมงานของอดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง Bitcoin ปรับตัวลดลงไปแล้วบางส่วน เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ต้นทุนบริษัทสูงขึ้น และกระทบผลกำไร นักวิเคราะห์บางคนถึงกับเตือนว่า “ตลาดยังมีโอกาสปรับลงได้อีกมาก” ถ้าเรื่องนี้เป็นจริงขึ้นมา นี่เป็นตัวอย่างชัดๆ ว่า แค่ประเด็นทางการเมืองในประเทศมหาอำนาจ ก็สร้างความหวั่นไหวให้กับการลงทุนของเราได้ไม่น้อยเลย

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินระดับโลกอย่าง คุณ Mohamed El-Erian ที่มองว่า แม้ เฟด จะลดดอกเบี้ยได้จริงตามที่ตลาดคาดหวัง แต่อาจนำไปสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ซึ่งเป็นอีกความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องไม่มองข้าม เพราะการลดดอกเบี้ยแบบเร่งรีบเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหนึ่ง อาจไปสร้างปัญหาใหม่อีกปัญหาหนึ่งได้

ปิดท้ายเรื่องความเสี่ยงในตลาดอเมริกาเองนะครับ มีข้อมูลน่าสนใจว่า กลุ่มนักลงทุนที่ตามแนวโน้ม (Trend Followers หรือ CTAs) ตอนนี้ถือสถานะ “ซื้อ” (Long Position) ในหุ้นสหรัฐฯ ไว้ในระดับที่ “สูงมาก” ซึ่งในอดีต สถานการณ์แบบนี้บางครั้งเป็นสัญญาณที่ต้องระวัง เพราะถ้าแนวโน้มเปลี่ยน นักลงทุนกลุ่มนี้อาจพร้อมใจกันขายออกมา การขายอาจเกิดขึ้นเร็วและแรง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงได้อย่างรวดเร็ว เราจึงเห็นว่า แม้ตลาดจะขึ้นต่อเนื่อง แต่ก็มีความกังวลแฝงอยู่เสมอ

ดังนั้น แม้ว่า แนสแด็ก 100 จะดูสดใส มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่าง AI และมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ย แต่ภาพใหญ่ของการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศแบบนี้ “มีความเสี่ยงสูงมาก” คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด หรือมากกว่านั้นได้หากใช้เครื่องมือที่มีเลเวอเรจสูง เช่น สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการเทรดดัชนีต่างๆ รวมถึง แนสแด็ก 100 นี้ด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลราคาหรือตัวเลขที่คุณเห็นบนเว็บไซต์ต่างๆ อาจไม่ใช่ราคาแบบเรียลไทม์เป๊ะๆ และไม่ได้มาจากตลาดหลักทรัพย์โดยตรงเสมอไป ซึ่งอาจทำให้การตัดสินใจซื้อขายผิดพลาดได้

สรุปแล้ว ดัชนี แนสแด็ก 100 เป็นตัวแทนของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าจับตา มีแนวโน้มเติบโตที่ดีในระยะยาว และได้รับแรงหนุนจากกระแส AI และความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ย แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งจากภายนอกประเทศ เช่น การเมืองยุโรป หรือนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากโครงสร้างตลาดเอง ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

สำหรับใครที่สนใจอยากลงทุนตามกระแส แนสแด็ก 100 นี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้” ศึกษาให้ดีว่าดัชนีคืออะไร ประกอบด้วยหุ้นอะไรบ้าง มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินอะไรบ้างที่ใช้อ้างอิงดัชนีนี้ เช่น กองทุน ETF ที่ลงทุนตามดัชนี หรือเครื่องมืออื่นๆ ทำความเข้าใจเครื่องมือที่คุณจะใช้ลงทุน ว่ามีค่าธรรมเนียม ความเสี่ยง หรือความซับซ้อนอย่างไรบ้าง ประเมินความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และตั้งเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน อย่าลงทุนตามกระแสเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากการศึกษา

⚠️ จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงินธรรมดามาก และคุณมีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ อย่าลงทุนในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจดีพอ และอย่าใช้เงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมาลงทุน ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงภาพรวมเพื่อทำความเข้าใจ ไม่ใช่คำแนะนำในการซื้อขายใดๆ โปรดศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยตนเองก่อนตัดสินใจลงทุน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากจำเป็นครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติและปลอดภัยครับ.

Leave a Reply