เพื่อนๆ หลายคนถามมาว่า ช่วงนี้เห็นข่าว “ดัชนี Nasdaq 100” ขึ้นเอาๆ มันคืออะไรกันแน่? แล้วทำไมหุ้นเทคโนโลยีถึงฮิตจัง ยิ่งเห็นตัวเลขผลตอบแทนแล้วบางทีก็ตาลุกวาว วันนี้เรามานั่งเม้าท์มอยเรื่องนี้กันแบบสบายๆ สไตล์คนรักการลงทุนแต่ไม่ชอบอะไรที่ซับซ้อนนะครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่า ถ้าจะจัดทีมรวมดาวของบริษัทเอกชนที่เจ๋งๆ ด้านนวัตกรรม ไม่เอาพวกธนาคารหรือบริษัทการเงินนะ เอาแต่ตัวท็อป 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ของอเมริกาเนี่ย ทีมนี้แหละคือ “ดัชนี Nasdaq 100” หรือที่นักลงทุนบางกลุ่มเรียกย่อๆ ว่า NDX นั่นเองครับ ดัชนีนี้เหมือนเป็นตัวแทนของบริษัทที่เน้นการเติบโต เน้นเทคโนโลยีล้ำๆ เป็นหลัก ใครที่พูดถึงหุ้นกลุ่ม Tech ส่วนใหญ่ก็หมายถึงบริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่ในดัชนีนี้แหละ

แล้วทำไมช่วงนี้ดัชนีตัวนี้ถึงฮอตปรอทแตกขนาดทำ “จุดสูงสุดใหม่” ได้ต่อเนื่องล่ะ? สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ช่วงนี้คึกคัก ก็มาจากข่าวดีเรื่อง “เงินเฟ้อ” ที่ดูเหมือนจะชะลอตัวลงนิดหน่อยในอเมริกา ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความหวังว่า “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ Fed อาจจะไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยโหดเท่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ หรืออาจจะมีโอกาส “ลดดอกเบี้ย” ในอนาคตอันใกล้ก็เป็นได้ ซึ่งการลดดอกเบี้ยเนี่ยเป็นข่าวดีมากๆ สำหรับหุ้นกลุ่มเติบโตอย่างพวก Tech เพราะต้นทุนทางการเงินจะถูกลง
นอกจากเรื่องเงินเฟ้อแล้ว อีกปัจจัยที่มาแรงแซงทางโค้งสุดๆ คือกระแส “AI” หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” ครับ โดยเฉพาะข่าวจาก Apple ที่ประกาศว่าจะใส่ความสามารถ AI เข้ามาใน iPhone และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ยิ่งทำให้ความตื่นเต้นในหุ้นกลุ่ม Tech พุ่งขึ้นไปอีก เหมือนทุกคนมองเห็นอนาคตว่า AI จะพลิกโฉมโลกและสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัทเหล่านี้

ลองดูผลตอบแทนล่าสุดของ ดัชนี Nasdaq 100 (^NDX) กันหน่อยนะครับ โหดจริงอะไรจริง!
* ใน 1 วัน: บวกไป +1.18%
* ใน 1 เดือน: บวกแรง +5.68%
* ตั้งแต่ต้นปี (YTD): บวกมาแล้ว +3.93%
* ใน 1 ปี: บวกไปถึง +23.20% เลยนะ!
* ถ้ามองยาวๆ 5 ปี: บวกไปกว่า +129.17%
จะเห็นว่าในระยะสั้นๆ ดัชนีตัวนี้ปรับขึ้นได้ดี และระยะยาวก็ให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจมากๆ ครับ ราคาล่าสุดก็วนเวียนอยู่แถวๆ 21,000 จุด ปริมาณการซื้อขายก็มหาศาล แสดงถึงความสนใจของนักลงทุนทั่วโลก
เบื้องหลังความแข็งแกร่งของดัชนีนี้ ก็คือบริษัท “ยักษ์ใหญ่” ทั้งหลายนี่แหละครับ ดัชนี Nasdaq 100 เนี่ยจะมีการ “ถ่วงน้ำหนัก” ตามมูลค่าตลาด พูดง่ายๆ คือบริษัทไหนใหญ่ มูลค่าตลาดสูง ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากเป็นพิเศษ ลองดูรายชื่อ “ตัวท็อป” ในกองทุนอย่าง Invesco QQQ Trust (QQQ) ที่อ้างอิงดัชนีนี้ดูสิ ส่วนใหญ่คือชื่อที่เราคุ้นเคยกันดี:
* Microsoft (ไมโครซอฟท์)
* Apple (แอปเปิล)
* NVIDIA (เอ็นวิเดีย)
* Broadcom (บรอดคอม)
* Amazon.com (อเมซอนดอทคอม)
* Meta Platforms (เมตา แพลตฟอร์มส์ – บริษัทแม่ Facebook)
* Tesla (เทสลา)
* Alphabet (อัลฟาเบท – บริษัทแม่ Google)
เห็นชื่อพวกนี้แล้วคงเข้าใจนะครับว่าทำไมดัชนีถึงได้รับผลกระทบอย่างมากจากข่าวสารของบริษัทเหล่านี้ เช่น ข่าวเรื่อง AI ก็ส่งผลตรงๆ กับหุ้นอย่าง NVIDIA ที่เป็นผู้นำด้านชิป AI หรือข่าวล่าสุดที่ Wedbush บริษัทวิเคราะห์ชื่อดัง มองว่าหุ้น Tesla อาจจะพุ่งขึ้น 90% ได้เลยนะ หลังประเด็นเรื่องค่าตอบแทนของ Elon Musk ซีอีโอคนดังคลี่คลายลง จะเห็นว่าแค่ข่าวบริษัทใหญ่ๆ ในกลุ่มนี้ก็สามารถทำให้ดัชนีทั้งกระดานเคลื่อนไหวได้เลยครับ
คุณอาจจะถามว่า “แล้วถ้าอยากลงทุนใน ‘ทีมรวมดาว’ Nasdaq 100 บ้างล่ะ ต้องทำยังไง? ต้องไปซื้อหุ้นทีละ 100 ตัวเลยเหรอ?” คำตอบคือไม่ต้องครับ วิธีที่ง่ายและสะดวกมากๆ คือลงทุนผ่าน “กองทุน ETF” หรือ “กองทุนรวมดัชนี” ที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีนี้โดยตรง
กองทุน ETF ที่อ้างอิง ดัชนี Nasdaq 100 ที่ดังและใหญ่ที่สุดก็คือ Invesco QQQ Trust (QQQ) ซึ่งซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกาเนี่ยแหละครับ ข้อดีคือมี “ค่าธรรมเนียมการจัดการ” (Management Fee) ต่ำมากๆ อยู่ที่แค่ประมาณ 0.20% ต่อปีเอง ถือเป็นการลงทุนในดัชนีนี้ที่สะดวกสุดๆ
นอกจาก QQQ ที่อเมริกาแล้ว สำหรับนักลงทุนในบางประเทศอย่างออสเตรเลีย ก็มีกองทุนที่อ้างอิง ดัชนี Nasdaq 100 เหมือนกัน ที่รู้จักกันดีคือ Betashares Nasdaq 100 ETF ซึ่งมีสัญลักษณ์ว่า NDQ (บางทีอาจจะเห็นนักลงทุนไทยพูดถึง “ndq 100” ก็อาจจะหมายถึงกองทุนนี้ก็ได้) กองทุน NDQ ตัวนี้ลิสต์อยู่ในตลาดหุ้นออสเตรเลีย (ASX) ค่าธรรมเนียมจะสูงกว่า QQQ นิดหน่อย อยู่ที่ประมาณ 0.48% ต่อปี แต่ก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ลงทุนในดัชนีนี้ได้ง่ายขึ้นครับ การลงทุนผ่านกองทุน ETF พวกนี้ก็เหมือนเราได้กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นทั้ง 100 ตัวของดัชนีไปในตัว สะดวกดีครับ
ทีนี้มามองภาพใหญ่ขึ้นนิดหน่อยนะครับ ดัชนี Nasdaq 100 ไม่ได้ขึ้นอยู่ตัวเดียว แต่ตลาดหุ้นอเมริกาอื่นๆ อย่าง S&P 500 หรือ Dow Jones ก็ปรับขึ้นเหมือนกัน สะท้อนว่าภาพรวมของตลาดหุ้นอเมริกาช่วงนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง ได้แรงหนุนจากปัจจัยบวกอย่างที่เล่าไป
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่น 10 ปี หรือ 5 ปี ซึ่งเป็นเหมือนตัววัด “ต้นทุนเงิน” หรือความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยในอนาคต ก็ดูเหมือนจะปรับลงเล็กน้อยในช่วงนี้ บางทีตลาดอาจจะแอบคาดหวังว่า “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” (Fed) อาจจะลดดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้หรือเปล่านะ?

แต่เรื่องการลงทุนมันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ นะครับ มุมมองที่เป็นข้อควรระวังก็มีเหมือนกัน อย่างนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง คุณ Mohamed El-Erian ก็เพิ่งเตือนว่า การที่ Fed รีบตัดสินใจลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป โดยที่เศรษฐกิจยังไม่พร้อมจริงๆ อาจจะจุดชนวนให้เกิด “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” (Recession) ได้เหมือนกันนะ เขามองว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็มีถึง 35% เลยทีเดียว ซึ่งถ้าเกิดเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมาจริงๆ ตลาดหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มที่ราคาขึ้นมาสูงๆ อย่าง Tech ก็อาจจะได้รับผลกระทบได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นหลักอื่นๆ ทั่วโลกก็ไม่ได้ขึ้นเหมือนกันหมดนะครับ บางตลาดอย่าง FTSE 100 ของอังกฤษ หรือ Nikkei 225 ของญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะปรับลงเล็กน้อย ในขณะที่ตลาดหุ้นเยอรมนี (DAX) หรือ ฮ่องกง (Hang Seng Index) ก็ปรับขึ้นได้ดีพอสมควร แสดงว่าแต่ละภูมิภาคก็มีปัจจัยเฉพาะตัวที่ส่งผลต่อตลาดของตัวเองครับ
มาถึงตรงนี้ สรุปว่า “ทีมรวมดาว” Nasdaq 100 หรือที่บางคนอาจจะคุ้นเคยผ่านกองทุน “ndq 100” ที่ลิสต์ในออสเตรเลีย กำลังอยู่ในช่วงที่น่าจับตา ได้แรงหนุนจากกระแส AI ที่มาแรงสุดๆ และความหวังเรื่องเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ทำให้ดัชนีและหุ้นกลุ่ม Tech ปรับขึ้นทำสถิติใหม่ๆ ได้ต่อเนื่อง
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี บริษัทใหญ่ๆ ที่เน้นนวัตกรรม หรือต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน การพิจารณา ดัชนี Nasdaq 100 ผ่านกองทุน ETF อย่าง QQQ หรือ NDQ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ
แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือหุ้นเติบโต ก็เหมือนการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา มีขึ้นมีลง หวือหวาได้เสมอ! ราคาหุ้นกลุ่มนี้อาจจะขึ้นมาสูงแล้ว บางตัวก็มี “มูลค่าตลาด” (Market Capitalization) ใหญ่มากๆ ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนได้ง่ายเมื่อมีข่าวสารต่างๆ เข้ามา นอกจากนี้ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคอย่าง เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย หรือความเสี่ยงที่จะเกิด ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดครับ
⚠️ ย้ำอีกครั้งว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และหากเงินที่ใช้ลงทุนไม่ใช่ “เงินเย็น” ที่ไม่รีบใช้ แนะนำให้ประเมินสภาพคล่องของตัวเองดีๆ ก่อนนะครับ จะได้ไม่เดือดร้อนหากตลาดเกิดการปรับฐานขึ้นมา หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาของเพื่อนๆ นะครับ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าครับ!