ไขข้อสงสัย Nasdaq คืออะไร? โอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนไทยต้องรู้!

ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหน ได้ยินคนคุยกันเรื่องหุ้นต่างประเทศเยอะขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ โดยเฉพาะชื่อของตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่อย่าง “แนสแด็ก” (Nasdaq) เพื่อนผมที่ชื่อสมชาย ซึ่งปกติลงทุนแต่หุ้นไทยนี่แหละ วันก่อนไลน์มาถามใหญ่เลยว่า “เฮ้ย! ไอ้ที่เค้าพูดกันว่า `nasdaq คือ` อะไรวะ เห็นราคาขึ้นเอาๆ น่าตามไปซื้อดีไหม?” ผมเลยคิดว่า งั้นมาเขียนอธิบายให้ฟังกันแบบเข้าใจง่ายๆ ฉบับคนกันเองดีกว่า จะได้หายข้องใจ แล้วก็เอาไปต่อยอดตัดสินใจลงทุนกันได้อย่างมีข้อมูล ไม่ใช่แค่ตามกระแสครับ

ถ้าจะทำความเข้าใจว่า `nasdaq คือ` อะไร เราต้องมองภาพใหญ่ของตลาดหุ้นอเมริกาก่อนครับ เหมือนเวลาเราจะไปเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ต้องรู้ว่ามีหลายโซน หลายย่าน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เหมือนกันครับ เป็นตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากๆ เลยนะ ที่นี่เค้ามีตลาดหลักๆ อยู่ 2 แห่งครับ แห่งแรกคือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) อันนี้ออกแนวรุ่นเก๋าหน่อย เป็นตลาดที่เก่าแก่มากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ตั้งรกรากมานานแล้ว เช่น บริษัทพลังงาน บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค หรือพวกกลุ่มการเงินใหญ่ๆ

ส่วนอีกแห่งหนึ่งที่สมชายถามถึง ก็คือ ตลาด Nasdaq ครับ ตลาดนี้มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจนะ เค้าเป็นตลาดอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของโลกเลยนะ ไม่ต้องมีคนไปยืนตะโกนซื้อขายกันในหลุม (สมัยก่อน NYSE มีแบบนั้น) ทุกอย่างทำผ่านระบบคอมพิวเตอร์หมดเลย ด้วยความที่เป็นระบบใหม่ตอนนั้น ทำให้ตลาดนี้ดึงดูดบริษัทรุ่นใหม่ๆ ที่เน้นการเติบโตสูง โดยเฉพาะบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งกลายมาเป็นจุดเด่นของตลาด Nasdaq ครับ ตอนนี้ Nasdaq ถือเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริกา มีบริษัทจดทะเบียนอยู่เพียบเลยนะ มากกว่า 3,000-4,000 แห่งเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ก็ที่เราคุ้นๆ หูแหละ ทั้งบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ บริษัทที่ทำนวัตกรรมใหม่ๆ

ทีนี้พอมีตลาดหุ้นหลายแห่ง มีบริษัทจดทะเบียนเยอะแยะไปหมด แล้วเราจะดูภาพรวมของตลาดทั้งหมด หรือภาพรวมของกลุ่มบริษัทบางกลุ่มได้ยังไงล่ะ? เค้าก็เลยสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ดัชนีตลาดหุ้น” (Stock Index) ขึ้นมาครับ ดัชนีพวกนี้ก็เหมือน “เครื่องวัดไข้” ของตลาด หรือเป็น “ตัวแทน” ที่สะท้อนให้เห็นว่า ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทที่เป็นสมาชิกของดัชนีนั้นๆ มีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน ถ้าดัชนีขึ้นก็แปลว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มนั้นๆ ขึ้น ถ้าดัชนีลงก็แปลว่าส่วนใหญ่ราคาลงนั่นแหละครับ

ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นักลงทุนทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนไทยเองก็ให้ความสนใจ มีอยู่หลายตัวเลยครับ ที่เด่นๆ เลยก็มี 3 ตัวหลักๆ ที่เรามักจะได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ ครับ

ตัวแรกคือ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) อันนี้เก่าแก่ที่สุดเลยครับ ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มากๆ 30 แห่ง เป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ข้อสังเกตคือ การคำนวณดัชนีตัวนี้จะใช้ราคาหุ้นมาถัวเฉลี่ย (price-weighted) ซึ่งต่างจากดัชนีสมัยใหม่ส่วนใหญ่

ตัวที่สองคือ ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) อันนี้ถือเป็นตัวแทนภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าครอบคลุมและสะท้อนภาพได้ดีที่สุดครับ ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่ง จากทั้งตลาด NYSE และ Nasdaq เลยนะ การคัดเลือกก็ดูจากขนาดของบริษัท (มูลค่าตลาด) สภาพคล่องในการซื้อขาย และสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อยครับ ความเจ๋งของ S&P 500 คือมันมีความหลากหลายของอุตสาหกรรมสูงมากครับ ทั้งเทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค ครบวงจรเลย ดัชนีนี้คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (market-cap weighted) คือ บริษัทไหนใหญ่ มูลค่าตลาดเยอะ ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากกว่าครับ

และตัวที่สามที่สมชายอยากรู้ และเป็นพระเอกของเราวันนี้ ก็คือ ดัชนี Nasdaq 100 ครับ ถ้าถามว่า `nasdaq คือ` ตลาดหุ้น แล้ว `Nasdaq 100 คือ` อะไร? มันคือดัชนีที่สะท้อนภาพรวมของบริษัทขนาดใหญ่ 100 แห่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด Nasdaq ครับ แต่มีข้อแม้ว่า “ไม่รวม” บริษัทที่อยู่ในกลุ่มสถาบันการเงินครับ อย่างพวกธนาคารนี่จะไม่อยู่ใน Nasdaq 100 นะครับ ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ดัชนี Nasdaq 100 มีลักษณะเด่นมากๆ คือ มันจะไปกระจุกตัวอยู่ในบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี (Technology) การสื่อสาร (Communication Services) และบริการที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต (Internet Services) เป็นหลักครับ คิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากๆ

ลองนึกภาพดูนะครับ เหมือน S&P 500 เป็นตะกร้าผลไม้รวม ที่มีทั้งแอปเปิ้ล กล้วย ส้ม แตงโม สับปะรด คละกันไป แต่ Nasdaq 100 เหมือนตะกร้าผลไม้ที่เน้นหนักไปที่ “แอปเปิ้ล” กับ “กล้วย” (สมมติว่าเป็นตัวแทนหุ้นเทคฯ) ในปริมาณที่เยอะมากๆ จนเกือบเต็มตะกร้าครับ หุ้นหลักๆ 5-10 อันดับแรกที่อยู่ใน Nasdaq 100 นี่คือบริษัทที่เราคุ้นชื่อระดับโลกทั้งนั้นครับ เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Nvidia, Meta (เจ้าของ Facebook, Instagram), Tesla, Alphabet (เจ้าของ Google) เป็นต้นครับ บริษัทเหล่านี้เป็นทั้งหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ และเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมากๆ ในอนาคต

การคำนวณดัชนี Nasdaq 100 ก็ใช้แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือน S&P 500 ครับ แต่เค้าจะมีระบบการกำหนดเพดานน้ำหนักสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวไว้ด้วย เพื่อไม่ให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีอิทธิพลต่อดัชนีมากเกินไป และดัชนีนี้จะมีการปรับปรุงรายชื่อและน้ำหนักของหุ้นสมาชิกทุกๆ ไตรมาสและทุกๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงสะท้อนภาพของบริษัทขนาดใหญ่ 100 แห่งใน Nasdaq ได้อย่างเหมาะสมที่สุด

ทีนี้ คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วถ้า `nasdaq คือ` ตัวแทนหุ้นเทคฯ เป็นหลัก มันมีปัจจัยอะไรที่ขับเคลื่อนดัชนีตัวนี้บ้างล่ะ? ปัจจัยสำคัญมีทั้งระดับมหภาค และระดับอุตสาหกรรมเลยครับ

ปัจจัยแรกที่สำคัญมากๆ และเป็นข่าวใหญ่ช่วงนี้คือ “นโยบายทางการเงิน” โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “เฟด” (Fed) ครับ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่า การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อเนี่ย มีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stocks) อย่างพวกบริษัทเทคโนโลยีใน Nasdaq 100 ค่อนข้างสูงเลยครับ

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ลองนึกภาพตามนะครับ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง โดยเฉพาะที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มักจะต้องลงทุนเยอะมากในช่วงแรก ซึ่งอาจจะต้องกู้ยืมเงินมาลงทุน หรือรายได้ในอนาคตคาดว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ถ้าดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมก็สูงขึ้น ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยมากขึ้น ซึ่งอาจจะไปกดดันผลกำไรได้ นอกจากนี้ การประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มเติบโตมักจะอ้างอิงกับกำไรหรือกระแสเงินสดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลโพ้นครับ ซึ่งถ้าอัตราดอกเบี้ย (หรือที่เรียกกันว่า Discount Rate ในทางการเงิน) สูงขึ้น มูลค่าของกำไรในอนาคตที่คิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันก็จะลดลง ทำให้ราคาหุ้นดูแพงขึ้นเมื่อเทียบกับศักยภาพในอนาคตครับ

ในทางกลับกัน ถ้าเฟดมีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ คนจับตามองอยู่ตอนนี้ นี่จะเป็นข่าวดีสำหรับหุ้นกลุ่มเติบโตและเทคโนโลยีครับ เพราะต้นทุนทางการเงินลดลง การประเมินมูลค่าในอนาคตก็ดูน่าดึงดูดมากขึ้น และยังกระตุ้นให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทที่พึ่งพารายได้จากผู้บริโภคอย่างพวกบริษัทอีคอมเมิร์ซ หรือบริษัทที่ให้บริการแบบ Subscription ต่างๆ ครับ

นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ขับเคลื่อนดัชนี Nasdaq 100 ในระยะยาวก็คือ “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” ครับ บริษัทที่เป็นสมาชิกในดัชนีนี้ส่วนใหญ่คือผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีโลกเสมือนและโลกเสมือนเสริม (AR/VR) รถยนต์ไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (EV and Autonomous Driving) คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) หรือเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ครับ การพัฒนาและความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเหล่านี้โดยบริษัทสมาชิก เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ดัชนี Nasdaq 100 มีโอกาสเติบโตในระยะยาวครับ ถ้าบริษัทเหล่านี้คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้สำเร็จ ก็มีโอกาสที่ผลประกอบการและราคาหุ้นจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากครับ

ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ใน Nasdaq 100 ประกาศผลประกอบการดีกว่าที่คาดมากๆ หรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดได้ นี่ก็เป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อดัชนีโดยตรงเลยครับ

แล้วในฐานะนักลงทุนไทยอย่างเราๆ ล่ะ ถ้าสนใจอยากลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 บ้าง ทำได้ไหม? ทำได้แน่นอนครับ ช่องทางที่สะดวกและเป็นที่นิยมที่สุดสำหรับนักลงทุนไทยก็คือ การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่บริหารจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในประเทศไทยนี่แหละครับ

กองทุนรวมพวกนี้ เค้าไม่ได้ไปซื้อหุ้น Apple, Microsoft, Nvidia ทีละตัวโดยตรงนะครับ แต่ส่วนใหญ่แล้ว กองทุนรวมในไทยจะไปลงทุนต่อใน “กองทุน ETF” (Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งกองทุน ETF เหล่านี้แหละครับ ที่เค้าไปลงทุนในหุ้น 100 ตัวที่เป็นสมาชิกของดัชนี Nasdaq 100 โดยตรง การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เหมือนกับการที่เราให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพไปบริหารเงินให้ตามนโยบายที่เค้ากำหนด ซึ่งในกรณีนี้ก็นโยบายลงทุนตามดัชนี Nasdaq 100 ครับ

ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนรวมในไทยคือ มันสะดวกครับ เราซื้อขายเป็นเงินบาท ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องการแลกเงิน หรือเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในต่างประเทศโดยตรง ซึ่งอาจจะซับซ้อนกว่า นอกจากนี้ กองทุนรวมยังช่วยกระจายความเสี่ยงให้เราในระดับหนึ่ง เพราะเค้าลงทุนในหุ้น 100 ตัวตามดัชนี ไม่ใช่หุ้นแค่ตัวเดียวครับ

ปัจจุบันมีกองทุนรวมในประเทศไทยหลายกองทุนเลยครับที่มีนโยบายลงทุนในดัชนี Nasdaq 100 เช่น กองทุนของ บลจ. กสิกรไทย (K-USXNDQ), บลจ. เกียรตินาคินภัทร (KKP NDQ100), บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBNDQ), บลจ. บางกอกแคปปิตอล (BCAP-USND100), บลจ. ทิสโก้ (TLUSNDQ) เป็นต้นครับ ชื่อกองทุนอาจจะมีตัวอักษรต่อท้ายต่างกัน เช่น A, D, SSF, RMF, H ซึ่งอาจจะหมายถึงชนิดของหน่วยลงทุน หรือมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ ก็ต้องไปดูรายละเอียดในหนังสือชี้ชวนของแต่ละกองทุนอีกทีครับ

⚠️ **แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ มีเรื่องสำคัญที่ต้องตระหนักไว้เสมอ นั่นคือ “ความเสี่ยง” ครับ** แม้ว่า Nasdaq 100 จะมีประวัติศาสตร์การเติบโตที่ดีเยี่ยมในช่วงที่ผ่านมา แต่การลงทุนในดัชนีนี้ก็มีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงเช่นกันครับ

อย่างแรกเลยคือ “ความผันผวน” ครับ เนื่องจากดัชนีนี้เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเติบโตสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ นโยบายดอกเบี้ย และข่าวสารต่างๆ ค่อนข้างมาก ทำให้ราคาหุ้นและตัวดัชนีเองมีโอกาสปรับขึ้นหรือลงแรงๆ ได้ภายในเวลาอันสั้นครับ ช่วงไหนที่ตลาดกังวลเรื่องดอกเบี้ยขึ้น หรือเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้นเทคฯ มักจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่โดนแรงเทขายครับ

อย่างที่สองคือ “ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว” ครับ แม้จะเป็นดัชนี 100 ตัว แต่หุ้นตัวใหญ่ๆ อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Nvidia, Meta, Tesla, Alphabet มีน้ำหนักในดัชนีรวมกันค่อนข้างสูงมากครับ ทำให้ผลการดำเนินงานของดัชนีผูกติดอยู่กับผลประกอบการและราคาของหุ้นยักษ์ใหญ่เหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญ หากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวในกลุ่มนี้มีปัญหา ก็จะส่งผลกระทบต่อดัชนีโดยรวมค่อนข้างมากครับ

อย่างที่สามคือ “ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน” ครับ แม้จะลงทุนผ่านกองทุนรวมในไทย แต่เงินลงทุนสุดท้ายไปอยู่ที่หุ้นในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การขึ้นลงของค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ฯ ก็มีผลต่อผลตอบแทนในรูปเงินบาทของเราด้วยครับ บางกองทุนอาจจะมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged) แต่ก็ไม่ได้ป้องกันได้ 100% และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ

และที่สำคัญที่สุดคือ “ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต” ครับ ดัชนี Nasdaq 100 เคยให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจในอดีต โดยเฉพาะช่วงที่หุ้นเทคฯ เฟื่องฟู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำผลตอบแทนแบบนั้นได้ตลอดไปนะครับ ตลาดทุนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัจจัยต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังจะมา ล้วนมีผลต่ออนาคตทั้งสิ้นครับ

สรุปแล้ว ถ้าถามว่า `nasdaq คือ` อะไรแบบง่ายๆ สำหรับนักลงทุนไทยที่อยากเข้าใจตลาดหุ้นอเมริกา ก็ต้องบอกว่า `nasdaq คือ` หนึ่งในตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ที่เน้นบริษัทเทคโนโลยีและการเติบโตสูง และเมื่อพูดถึงการลงทุนที่อิงกับตลาดนี้ ดัชนี Nasdaq 100 คือตัวชี้วัดที่สำคัญและเป็นช่องทางหลักให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในบริษัทเทคฯ ชั้นนำของโลกได้ ผ่านกองทุนรวมในประเทศครับ

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากลงทุนใน Nasdaq 100 หรือสินทรัพย์ต่างประเทศอื่นๆ นะครับ คำแนะนำของผมในฐานะคนที่เขียนคอลัมน์การเงินมานาน คือ
1. **ศึกษาข้อมูลให้ละเอียด:** เข้าใจก่อนว่าสิ่งที่เรากำลังจะลงทุนคืออะไร มีลักษณะเด่นยังไง ข้อดีข้อเสียคืออะไร
2. **ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้:** เราสบายใจแค่ไหนกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น เงินลงทุนก้อนนี้เราจำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่
3. **พิจารณาเป้าหมายการลงทุน:** การลงทุนใน Nasdaq 100 อาจเหมาะสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง และมองหาโอกาสเติบโตในระยะยาว
4. **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ด้วย

การลงทุนใน Nasdaq 100 เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าถึงบริษัทระดับโลกที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีครับ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนมืออาชีพ เพื่อให้เค้าช่วยวิเคราะห์และวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของคุณนะครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความรู้และมีสติครับ!

Leave a Reply