เคยสงสัยไหมว่าเวลาดูข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ ทำไมชื่อ “ดัชนีดาวโจนส์” (Dow Jones Industrial Average, DJIA) มักจะปรากฏอยู่เสมอ แล้วมันสำคัญกับเราที่เป็นนักลงทุนไทยอย่างไร? พูดง่ายๆ คือ ดัชนีนี้เปรียบเสมือน “พระเอก” ตัวหนึ่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลก รวมถึงบ้านเราต้องจับตามอง เพราะมันสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลกเลยครับ

หลายคนอาจจะคุ้นชื่อ ดัชนีดาวโจนส์ หรือ ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ว่าเป็นดัชนีหุ้นเก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งของสหรัฐฯ แต่เดิมทีเดียว สมัยก่อตั้งในปี ค.ศ. 1896 นั้น ดัชนีนี้มีเพียง 12 บริษัท ส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมจริงๆ เช่น การรถไฟ เหล็กกล้า แต่วันเวลาผ่านไป เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ปรับเปลี่ยนไปมาก จากอุตสาหกรรมหนักก็เริ่มมีธุรกิจบริการ เทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้รายชื่อ 30 บริษัทที่อยู่ใน ดัชนีดาวโจนส์ ก็มีการปรับเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้สะท้อนภาพเศรษฐกิจปัจจุบันได้ดีที่สุด บริษัทที่เราคุ้นเคยอย่าง Apple, Microsoft, Amazon หรือ Johnson & Johnson ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีนี้ครับ ซึ่งการที่บริษัทไหนจะได้เข้ามาอยู่ในดัชนีนี้นั้น ไม่ได้ดูแค่ขนาดอย่างเดียว แต่ต้องดูว่าเป็นบริษัทชั้นนำ มีอิทธิพลกว้างขวางในอุตสาหกรรมด้วย
ล่าสุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจทีเดียวครับ อย่างเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 ดัชนีดาวโจนส์ พุ่งขึ้นไปถึง 1,160 จุด หรือคิดเป็น 2.81% ไปปิดที่ 42,410 จุด ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะเห็นการปรับขึ้นแรงขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข่าวดีที่รัฐบาลสหรัฐฯ และจีนเห็นชอบร่วมกันชั่วคราวในการลดอัตราภาษีต่างตอบแทนลง ซึ่งนี่ถือเป็นสัญญาณบวกที่ช่วยลดความตึงเครียดทางการค้าลงได้ แม้จะแค่ 90 วันก็ตาม แต่นักลงทุนก็ตอบรับในเชิงบวกสุดๆ ขณะที่ดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500 และแนสแด็ก (Nasdaq) ก็ปรับขึ้นแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะแนสแด็กที่ขยับขึ้นกว่า 4.35% ในวันนั้น
ย้อนไปช่วงต้นเดือนพฤษภาคม วันที่ 1 พฤษภาคม 2025 ดัชนีดาวโจนส์ ก็ปิดบวกไป 83 จุด อยู่ที่ 40,752 จุด นับเป็นการปิดบวกติดต่อกันถึง 8 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่บวกนานที่สุดในรอบ 9 เดือนเลยครับ ส่วน S&P 500 ก็บวกติดต่อกัน 7 วันยาวนานที่สุดในรอบ 5 เดือน อะไรที่ทำให้ตลาดคึกคักขนาดนั้นน่ะหรือครับ? ส่วนหนึ่งมาจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอลง อย่างเช่น เศรษฐกิจไตรมาส 1 ที่หดตัวเล็กน้อย นี่กลับกลายเป็นเรื่องดีในสายตาของนักลงทุน เพราะมันเพิ่มความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Federal Reserve, Fed) อาจจะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งการลดดอกเบี้ยมักจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นครับ

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะสวยหรูเสมอไปนะครับ แม้ภาพรวมจะมีช่วงบวกสวยๆ แต่ก็มีปัจจัยที่ต้องจับตาและอาจสร้างความกังวลได้เช่นกัน อย่างเช่น การคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จากการสำรวจพบว่า นักลงทุนยังมองว่าเงินเฟ้อในอีก 5 ปีข้างหน้าอาจจะยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจกดดันให้ เฟด ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้เร็วอย่างที่ตลาดหวัง หรือประเด็นความตึงเครียดทางการค้า หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เทรดวอร์” (Trade War) ก็ยังเป็นเรื่องที่อาจกลับมากดดันตลาดได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อนโยบายการค้าและการแทรกแซงการทำงานของ เฟด แม้แต่การเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวที่มีน้ำหนักมากในดัชนี อย่างเช่นหุ้น UnitedHealth หรือหุ้น Nvidia ที่บางช่วงปรับตัวลงแรง ก็สามารถฉุดให้ ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวลงได้เช่นกันครับ
สำหรับนักลงทุนไทย ทำไมเราต้องมานั่งสนใจเรื่อง ดัชนีดาวโจนส์ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยล่ะ? ก็เพราะโลกการลงทุนสมัยนี้เชื่อมโยงกันหมดครับ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลสูงมาก การเคลื่อนไหวของ ดัชนีดาวโจนส์ หรือ S&P 500 ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขบนหน้าจอ แต่สะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนโดยรวมของโลกเลยทีเดียว ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดี ก็มักจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก การค้าขายระหว่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน และกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่จะไหลเข้าหรือออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยเราด้วยครับ ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศมหาอำนาจ ปัญหาในสถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือแม้แต่สงครามการค้า ล้วนเป็นเรื่องที่เรามองข้ามไม่ได้เลย
ทีนี้ ถ้าเราเห็นความสำคัญของ ดัชนีดาวโจนส์ แล้วอยากจะลองลงทุนดูบ้าง จะทำอย่างไรได้บ้าง? สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจก่อนคือ ดัชนีดาวโจนส์ ไม่ใช่หุ้นที่เราซื้อขายได้โดยตรงนะครับ แต่เป็นแค่ตัวเลขที่คำนวณจากราคาหุ้น 30 ตัว ดังนั้น การลงทุนใน ดัชนีดาวโจนส์ หมายถึงการลงทุนในสินทรัพย์ที่ “อ้างอิง” กับดัชนีนี้ ซึ่งมีอยู่หลายวิธีครับ
วิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนมือใหม่คือ การลงทุนผ่าน กองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่มีนโยบายติดตามผลตอบแทนของ ดัชนีดาวโจนส์ โดยตรง กองทุนเหล่านี้จะซื้อขายเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ข้อดีคือเราได้ลงทุนกระจายความเสี่ยงไปใน 30 บริษัทชั้นนำพร้อมๆ กัน โดยไม่ต้องเลือกหุ้นเอง กองทุนอีทีเอฟที่อ้างอิง ดัชนีดาวโจนส์ ชื่อดังตัวหนึ่งก็คือกองทุน DIA ครับ

อีกทางเลือกคือ การลงทุนผ่าน กองทุนรวมต่างประเทศ ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในประเทศไทย บางกองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่อ้างอิงดัชนีหลักๆ เช่น ดัชนีดาวโจนส์ วิธีนี้ก็สะดวกสบายดีครับ เพราะผู้จัดการกองทุนจะดูแลบริหารพอร์ตให้เรา
หรือถ้าเป็นนักลงทุนที่ชอบวิเคราะห์และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และอยากจะเลือกลงทุนเฉพาะบริษัทที่สนใจ ก็สามารถ ซื้อหุ้นรายตัว ที่เป็นส่วนประกอบของ ดัชนีดาวโจนส์ ได้โดยตรง เช่น ซื้อหุ้น Apple, Microsoft หรือ Boeing การลงทุนแบบนี้ต้องอาศัยความเข้าใจและความพร้อมในการติดตามข่าวสารของบริษัทนั้นๆ เป็นพิเศษครับ
ส่วนเรื่องการเปิดบัญชีลงทุนสำหรับนักลงทุนไทย ก็สามารถทำได้ทั้งการเปิดบัญชีกับ โบรกเกอร์ในประเทศไทย ที่มีบริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือจะเปิดบัญชีกับ โบรกเกอร์ต่างประเทศ โดยตรงก็ได้ครับ ซึ่งแต่ละที่ก็มีข้อดีข้อเสียและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป
การลงทุนใน ดัชนีดาวโจนส์ ถือเป็นการลงทุนในบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความมั่นคงและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แถมยังช่วยกระจายความเสี่ยงเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นรายตัวแค่ไม่กี่ตัว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอคือ การลงทุนมีความเสี่ยง ครับ
⚠️ คำเตือนความเสี่ยง: การลงทุนในตราสารทางการเงิน รวมถึงหุ้นต่างประเทศ หรือแม้แต่เงินดิจิตอล มีความเสี่ยงสูงและอาจทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ การซื้อขายด้วยมาร์จิ้นยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีก ราคาอาจมีความผันผวนอย่างมากจากหลายปัจจัย ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ที่คุณสนใจให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ประเมินวัตถุประสงค์การลงทุน ประสบการณ์ และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของคุณเองเสมอ ข้อมูลราคาหรือการวิเคราะห์ใดๆ ที่พบเห็นอาจไม่ใช่แบบเรียลไทม์และเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ควรนำไปใช้อ้างอิงเพื่อตัดสินใจซื้อขายทันทีโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน หรืออย่างน้อยที่สุดคือต้องศึกษาและทำความเข้าใจด้วยตัวเองให้ดีที่สุดครับ
ท้ายที่สุดแล้ว การติดตามความเคลื่อนไหวของ ดัชนีดาวโจนส์ และปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของนักลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เป็นส่วนสำคัญของการทำความเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจและการเงินโลก ซึ่งมีความเชื่อมโยงและส่งผลโดยตรงมาถึงตลาดหุ้นไทยของเรา การมีความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ จะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนได้อย่างรอบคอบและรับมือกับความไม่แน่นอนในตลาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ อย่าลืมนะครับ ศึกษาให้พร้อม วางแผนให้ดี และบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสมกับการลงทุนของคุณเสมอ.