
เคยสงสัยไหมว่า เวลาข่าวพูดถึง ‘ตลาดหุ้นอเมริกา’ หรือ ‘ดัชนีหุ้นสหรัฐ’ เนี่ย เขาหมายถึงอะไรกันแน่? ชื่อหนึ่งที่เราได้ยินบ่อยที่สุด แถมมีอิทธิพลกับการลงทุนทั่วโลกอย่างมหาศาล ก็คือ S&P 500 ครับ
ถ้าเปรียบง่ายๆ S&P 500 (ชื่อเต็มๆ คือ Standard & Poor’s 500 หรือเรียกสั้นๆ ว่า SPX) ก็เหมือนเกจวัดสุขภาพของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว เพราะดัชนีนี้รวบรวมหุ้นของบริษัทใหญ่ที่สุด 500 แห่ง (จริงๆ ตอนนี้นับเป็น 503 หุ้นนะ เพราะบางบริษัทมีหุ้นหลายประเภท) ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลักๆ ของอเมริกาอย่าง NYSE (ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก) และ NASDAQ (แนสแด็ก) แค่ 500 บริษัทนี้ก็ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมของหุ้นอเมริกาทั้งหมดกว่า 80% แล้ว ลองคิดดูว่าบริษัทเหล่านี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน! ข้อมูลดิบบอกว่ามีมูลค่าตลาดรวมกันถึง 54.46 ล้านล้านดอลลาร์ และมีรายได้รวมต่อปี 16.97 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว คนดูแลดัชนีนี้ก็คือ S&P Dow Jones Indices (เอสแอนด์พี ดาวโจนส์ อินดิเซส) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global (เอสแอนด์พี โกลบอล)
แล้วบริษัทไหนบ้างล่ะที่จะได้เข้าไปอยู่ในลิสต์ของ S&P 500? ไม่ใช่ว่าใครอยากเข้าก็เข้าได้ง่ายๆ นะครับ เขามีเกณฑ์คัดเลือกที่ค่อนข้างเข้มงวดเลย เช่น ต้องเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกา จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลัก มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และที่สำคัญคือต้องมีมูลค่าตลาดใหญ่มากๆ อย่างน้อยๆ ก็ราวๆ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ขึ้นไป แถมต้องมีประวัติทำกำไรย้อนหลัง 4 ไตรมาสติดกัน รวมถึงไตรมาสล่าสุดด้วย การคัดเลือกหรือปรับเปลี่ยน รายชื่อหุ้น s&p 500 ก็ไม่ได้ทำกันบ่อยๆ นะครับ จะมีการทบทวนและปรับรายชื่อกันทุกไตรมาส คือในเดือนมีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม ส่วนวิธีการคำนวณดัชนีเขาก็ใช้แบบที่เรียกว่า “ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Free-float capitalization-weighted) ซึ่งหมายความว่า หุ้นของบริษัทที่ใหญ่มากๆ มีมูลค่าตลาดสูงๆ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นของบริษัทที่เล็กกว่าในดัชนีเดียวกัน
ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเดินทางของ S&P 500 กันหน่อย ดัชนีนี้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ 4 มีนาคม ปี 1957 แล้วนะครับ กว่าจะมาถึงวันนี้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ผ่านช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นรุ่งเรืองสุดๆ และช่วงวิกฤตที่ทำเอาใจหายใจคว่ำกันไปหลายรอบ เช่น วิกฤตดอทคอมในปี 2000 ที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพากันร่วงระเนระนาด หรือวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่ในปี 2008 ที่ระบบการเงินเกือบล่มสลาย และล่าสุดก็คือวิกฤตโควิด-19 ในปี 2020 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักไปชั่วขณะ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งและเป็นจุดเด่นของ S&P 500 เลยก็คือ ไม่ว่าวิกฤตจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ดัชนีนี้ก็มักจะฟื้นตัวกลับมาได้เสมอ แถมยังทำจุดสูงสุดใหม่ได้เหนือกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤตอีกด้วยครับ

ถ้าถามถึงผลตอบแทนในอดีต S&P 500 ถือว่าทำได้ดีสม่ำเสมอในระยะยาวเลยทีเดียวครับ ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนต่อปีนับตั้งแต่เริ่มใช้ดัชนีมาอยู่ที่ประมาณ 12% (ตัวเลขนี้ยังไม่รวมเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้ผู้ถือหุ้นนะ) แต่ถ้ารวมเงินปันผลเข้าไปด้วย ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะสูงกว่า 15% เลยทีเดียว นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากมองว่า S&P 500 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวครับ
ปัจจัยอะไรบ้างล่ะที่มีผลต่อการขึ้นลงของดัชนี S&P 500? แน่นอนว่าอันดับแรกเลยคือแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง ทั้งอัตราการเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน หรือตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของเศรษฐกิจ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกโดยรวมด้วย นอกจากนี้ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะมีผลโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทและความน่าดึงดูดของการลงทุนในหุ้น เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็มีผลมาก โดยเฉพาะพัฒนาการในภาคอุตสาหกรรมสำคัญๆ อย่างเทคโนโลยี สุขภาพ พลังงาน หรือการเงิน เพราะหุ้นในกลุ่มเหล่านี้มีน้ำหนักค่อนข้างมากในดัชนี สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ข่าวสาร ผลประกอบการ และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ใน รายชื่อหุ้น s&p 500 โดยตรง ก็มีผลต่อราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ และส่งผลต่อเนื่องถึงการเคลื่อนไหวของดัชนีโดยรวมครับ
มาดูกันชัดๆ เลยว่าใน รายชื่อหุ้น s&p 500 เนี่ย มีตัวไหนที่เป็น “พี่ใหญ่” น้ำหนักเยอะๆ บ้าง (อันนี้เป็นข้อมูลโดยประมาณจากข้อมูลดิบนะ) ตัวท็อปๆ เลยที่นักลงทุนต้องจับตาคือ
* Apple Inc. (AAPL) หรือ แอปเปิล เจ้าพ่อเทคโนโลยี มีมูลค่าตลาดประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
* NVIDIA Corporation (NVDA) หรือ เอ็นวิเดีย ผู้นำด้านชิป AI มาแรงแซงทางโค้ง มีมูลค่าตลาดประมาณ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์
* Microsoft Corporation (MSFT) หรือ ไมโครซอฟท์ ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์และคลาวด์ มีมูลค่าตลาดประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์
* Amazon.com, Inc. (AMZN) หรือ แอมะซอน เจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซและคลาวด์อีกราย มีมูลค่าตลาดประมาณ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์
* Alphabet Inc. (GOOG/GOOGL) หรือ อัลฟาเบท บริษัทแม่ของ Google มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2.2-2.3 ล้านล้านดอลลาร์
เห็นมูลค่าตลาดของแต่ละบริษัทแล้วตาโตเลยใช่ไหมครับ? ด้วยความที่หุ้นเหล่านี้มีน้ำหนักต่อดัชนี S&P 500 สูงมากๆ แปลว่าถ้าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นหรือลงแรงๆ ก็จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมของดัชนี S&P 500 เลยทีเดียว
แล้วผลตอบแทนรายตัวของหุ้นใน S&P 500 เป็นยังไงบ้างในช่วงที่ผ่านมา? ลองดูข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่รวบรวมมานะครับ
* หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดใน S&P 500 ปี 2023 (ข้อมูลโดยประมาณ):
* Nvidia พุ่งไปกว่า +245%
* Meta (Facebook) ก็แรงไม่แพ้กัน +199%
* Royal Caribbean Cruises +164%
* Builders FirstSource +161%
* Uber +148%
* หุ้นที่ราคาลดลงสูงสุดใน S&P 500 ปี 2023 (ข้อมูลโดยประมาณ):
* Enphase Energy ร่วง -51%
* FMC Corporation -49%
* Dollar General Corporation -45%
* Pfizer -43%
* Moderna -43%
เห็นไหมครับว่าแม้ดัชนีโดยรวมจะปรับตัวขึ้น แต่ก็มีหุ้นบางตัวที่เจอแรงกดดันและราคาปรับลงค่อนข้างมากเช่นกัน นี่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของผลตอบแทนใน รายชื่อหุ้น s&p 500 แต่ละตัวครับ

มาดูผลตอบแทนปี 2024 กันบ้าง (ข้อมูล YTD หรือตั้งแต่ต้นปีจนถึง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2567 จาก KSecurities)
* Vistra Corp (VST) มาแรงสุดๆ +231.42%
* NVIDIA Corp (NVDA) ก็ยังคงร้อนแรงต่อ +185.29%
* Palantir Technologies Inc (PLTR) +161.68%
* Constellation Energy Corp (CEG) +127.94%
* Targa Resources Corp (TRGP) +92.63%
จะเห็นได้ว่า Nvidia ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้โดดเด่นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ แต่ก็มีหุ้นตัวอื่นๆ ที่โผล่ขึ้นมาทำผลตอบแทนได้สูงกว่า Nvidia ในช่วงเวลาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกานั้นมีความเคลื่อนไหวและมีโอกาสอยู่ในหลายๆ อุตสาหกรรม ถึงแม้ภาคเทคโนโลยีจะมีน้ำหนักสูง แต่ S&P 500 ก็ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วนจริงๆ ทั้งการดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงาน การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีประวัติเพิ่มเงินปันผลต่อเนื่องในทุกๆ ปี ใน รายชื่อหุ้น s&p 500 ก็มีกลุ่มพิเศษที่เรียกว่า “Dividend Aristocrats” หรือ “กลุ่มขุนนางเงินปันผล” อยู่ครับ กลุ่มนี้คือหุ้นใน S&P 500 ที่มีประวัติการเพิ่มเงินปันผลติดต่อกันมาแล้วอย่างน้อย 25 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงของธุรกิจและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ดีเยี่ยม ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มนี้ที่เราอาจคุ้นเคยกันดีก็มีหลายบริษัทเลยครับ เช่น
* AT&T (T) หรือ เอทีแอนด์ที ค่ายโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่
* Walgreens Boots Alliance (WBA) ผู้ผลิตและจำหน่ายยา
* Realty Income (O) กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
* Chevron (CVX) หรือ เชฟรอน บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่
* AbbVie (ABBV) หรือ แอบบ์วี บริษัทเวชภัณฑ์
* IBM (IBM) หรือ ไอบีเอ็ม ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
* Johnson & Johnson (JNJ) หรือ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน บริษัทด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ
* Coca-Cola (KO) หรือ โคคา-โคล่า และ PepsiCo (PEP) หรือ เป๊ปซี่โค สองเจ้าพ่อเครื่องดื่มและขนม
ถ้าสนใจลงทุนในกลุ่ม Dividend Aristocrats โดยเฉพาะ ก็มีกองทุน ETF (อีทีเอฟ) ที่ลงทุนล้อตามดัชนีนี้อยู่ด้วยนะครับ อย่างเช่น ProShares S&P 500 Dividend Aristocrats ETF (NOBL) หรือ SPDR S&P Dividend ETF (SDY) เป็นต้น
แล้วในฐานะนักลงทุนชาวไทย เราจะได้ประโยชน์อะไรจาก S&P 500 ล่ะ? ทำไมเราถึงควรทำความรู้จักดัชนีนี้? อย่างที่บอกไปครับ S&P 500 เป็นดัชนีอ้างอิงสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ประเมินภาวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย แม้เราจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นอเมริกาโดยตรง การติดตามความเคลื่อนไหวของ S&P 500 ก็ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มตลาดหุ้นได้ดีขึ้นครับ
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใน S&P 500 จริงๆ ก็มีหลายช่องทางครับ
* สำหรับนักลงทุนระยะสั้น (เทรดเดอร์รายวัน): ดัชนี S&P 500 มีระดับความผันผวนที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขายระยะสั้น มีเครื่องมือทางการเงินหลากหลายประเภทที่อิงกับดัชนีนี้ให้เลือกลงทุน
* สำหรับนักลงทุนระยะยาว: S&P 500 เหมาะมากๆ สำหรับการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในบริษัทชั้นนำระดับโลก การลงทุนผ่านกองทุนดัชนี (Index Fund) หรือ ETF (อีทีเอฟ) ที่ติดตาม S&P 500 ถือเป็นวิธีที่สะดวกและเข้าถึงง่าย เหมือนได้เป็นเจ้าของหุ้น 500 ตัวพร้อมๆ กันในคราวเดียว
นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนใน S&P 500 ได้หลายแบบ เช่น การซื้อกองทุนรวมของไทยที่มีนโยบายไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยมี S&P 500 เป็นดัชนีอ้างอิง หรือการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรงผ่านโบรกเกอร์บางแห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แพลตฟอร์มซื้อขายระดับโลกบางแห่ง อย่าง Moneta Markets (โมเนตา มาร์เก็ตส์) ก็มีเครื่องมือที่ให้เทรดหรือลงทุนในตราสารที่อิงกับ S&P 500 ได้เช่นกัน ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ
⚠️ แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง!
ถึงแม้ S&P 500 จะมีประวัติผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และประกอบด้วยบริษัทชั้นนำ แต่การลงทุนในตราสารทางการเงินทุกชนิดมีความเสี่ยงสูง รวมถึงการสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ราคาของดัชนี S&P 500 หรือหุ้นรายตัวที่อยู่ใน รายชื่อหุ้น s&p 500 อาจมีความผันผวนรุนแรงได้จากปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ นโยบายของรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่คาดฝัน การซื้อขายด้วยมาร์จิน (เงินกู้ยืมจากโบรกเกอร์) ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินให้สูงขึ้นไปอีก
สรุปแล้ว S&P 500 ก็เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของตลาดหุ้นอเมริกา เป็นดัชนีที่เราควรทำความรู้จักและติดตามความเคลื่อนไหว ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นที่ชอบเทรด หรือนักลงทุนระยะยาวที่มองหาโอกาสเติบโต การเข้าใจ S&P 500 จะช่วยให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นต่อตลาดโลก
ก่อนตัดสินใจลงทุนใน S&P 500 หรือตราสารใดๆ ที่อิงกับดัชนีนี้ อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจธรรมชาติของ S&P 500 และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองนะครับ การลงทุนที่รอบคอบคือการลงทุนที่เริ่มต้นด้วยความเข้าใจเสมอ ⚠️ โดยเฉพาะถ้าคุณมีเงินลงทุนที่ไม่สูงมาก หรือต้องการสภาพคล่องสูง ควรประเมินให้ดีก่อนเลือกลงทุนในตราสารที่ล็อกเงินนานๆ หรือมีความเสี่ยงสูงเกินตัวครับ