S&P 500 คืออะไร? ลงทุนง่ายๆ สไตล์คนไทย ทำกำไรทะยานฟ้า!

เพื่อนผมคนนึงทักมาถามเมื่อไม่นานมานี้ว่า “เฮ้ย ช่วงนี้เห็นคนพูดถึงหุ้นสหรัฐฯ กันเยอะมาก โดยเฉพาะไอ้ตัวที่เรียกว่า S&P 500 เนี่ย มันคืออะไรเหรอ? แล้วเราคนไทยจะไปลงทุนกับเขาได้ไหม?” เออ… คำถามนี้ฟังดูง่าย แต่จริงๆ มันซับซ้อนกว่าที่คิดนะ

ต้องบอกก่อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนี่ย ถือเป็น “สนามเด็กเล่น” ของโลกเลยก็ว่าได้ เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่ารวมกันมหาศาลกว่า 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกเลยนะ ที่นี่มีตลาดหลักอยู่สองแห่ง คือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ มีบริษัทใหญ่ๆ ที่เรารู้จักกันดีเยอะแยะไปหมด กับ ตลาดหุ้นแนสแด็ก (Nasdaq) ที่เป็นตลาดแรกๆ ที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ซื้อขายกัน และเป็นแหล่งรวมตัวของบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทที่มีการเติบโตสูงๆ อย่าง Apple, Microsoft, Amazon อะไรพวกนี้แหละ

เวลาพูดถึงตลาดหุ้น เรามักจะได้ยินคำว่า “ดัชนี” บ่อยๆ ใช่ไหมครับ ดัชนีตลาดหุ้นเนี่ย มันก็เหมือน “เทอร์โมมิเตอร์” หรือเครื่องมือวัดอุณหภูมิของตลาดหุ้นนั่นแหละ มันช่วยบอกว่าภาพรวมของตลาด หรือกลุ่มหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน ขึ้นหรือลงแค่ไหน ดัชนีที่คนนิยมดูกันในสหรัฐฯ ก็มีหลายตัว แต่ที่ฮิตๆ เลยก็คือ S&P 500, Nasdaq 100 แล้วก็ Dow Jones Industrial Average หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า Dow Jones

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญ แล้ว `s&p 500 คือ` อะไรกันแน่? ชื่อเต็มของมันคือ Standard & Poor’s 500 จัดทำโดยบริษัท S&P Global เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 หรือ พ.ศ. 2500 โน่นแน่ะ S&P 500 เป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยเลือกมาจากทั้งตลาด NYSE และ Nasdaq การคัดเลือกหุ้นเข้าดัชนีนี้ไม่ได้สุ่มๆ นะครับ เขามีเกณฑ์ชัดเจน ทั้งเรื่องมูลค่าตลาดของบริษัท (ต้องใหญ่พอตัว), สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น, สัดส่วนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด (Free Float), บริษัทต้องมีรายได้ส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ (>50%) และที่สำคัญคือต้องมีกำไรย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุดด้วยนะ

ความพิเศษของ `s&p 500 คือ` การที่มันเป็นตัวแทนภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ดีมากๆ เพราะ 500 บริษัทในดัชนีนี้ ครอบคลุมมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไปกว่า 80% เลยทีเดียว แถมยังกระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ได้กระจุกแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทำให้เวลาเราดู `s&p 500 คือ` การได้เห็นภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปด้วยเลย วิธีคำนวณดัชนีของ S&P 500 ก็ใช้แบบ “ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด” (Market Cap Weighting) หมายความว่า บริษัทไหนที่มูลค่าตลาดใหญ่ หุ้นของบริษัทนั้นก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากหน่อย เหมือนพี่ใหญ่สุดในกลุ่มเสียงดังสุดนั่นแหละครับ หุ้นเด่นๆ ที่อยู่ในดัชนีนี้ก็อย่างที่เราคุ้นชื่อกันดี เช่น Apple (แอปเปิล), Microsoft (ไมโครซอฟท์), Amazon (อเมซอน), Alphabet (อัลฟาเบท บริษัทแม่ Google), Nvidia (เอ็นวิเดีย), Tesla (เทสลา) และอีกมากมายหลายบริษัท

ถ้าจะเปรียบเทียบกับดัชนีอื่นๆ Nasdaq 100 จะเน้นไปที่บริษัทเทคโนโลยีและบริษัทที่มีการเติบโตสูงๆ เป็นหลัก ประกอบด้วย 100 บริษัทใหญ่ในตลาด Nasdaq (ยกเว้นสถาบันการเงิน) ดัชนีนี้ก็คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดเหมือนกัน แต่มีเพดานน้ำหนักจำกัดไม่ให้หุ้นตัวไหนตัวหนึ่งมีอิทธิพลมากเกินไป Nasdaq 100 มักจะมีความผันผวนสูงกว่า S&P 500 เพราะไปกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีเยอะ ส่วน Dow Jones ที่เก่าแก่ที่สุดในสามตัวนี้ มีหุ้นแค่ 30 บริษัทชั้นนำเท่านั้น และคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น ซึ่งวิธีนี้อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้ดีเท่าแบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด ทำให้ S&P 500 ได้รับการยอมรับว่าเป็นดัชนีที่สะท้อนภาพรวมตลาดสหรัฐฯ ได้ดีที่สุดในกลุ่มดัชนีหลักครับ

ลองมาย้อนดูผลตอบแทนในอดีตของ `s&p 500 คือ` น่าสนใจทีเดียวครับ ข้อมูล ณ สิ้นปี 2024 ที่ผ่านมา ดัชนีนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาประมาณ 11.09% และผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงช่วงปลายปี 2024 ก็พุ่งไปถึง 28.35% เลยทีเดียว สถิติจาก S&P Dow Jones Indices (SPIVA Report) ยังบอกอีกว่า ในระยะยาวแล้ว ดัชนี S&P 500 สามารถเอาชนะกองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ แบบ Active Fund ส่วนใหญ่ได้ถึง 87% ในช่วง 5 ปี และ 91% ในช่วง 10 ปี (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2022) ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากหันมาสนใจการลงทุนที่อิงกับดัชนีนี้

แล้วถ้าเราอยากเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่เหล่านี้ โดยอิงกับ `s&p 500 คือ` ทำยังไงได้บ้างล่ะ? สำหรับนักลงทุนไทย มีหลายวิธีเลยครับ

วิธีแรกคือ การซื้อหุ้นรายตัวโดยตรงในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะซับซ้อน มีค่าธรรมเนียม และต้องติดตามข่าวสารแต่ละบริษัทเยอะหน่อย ไม่เหมาะกับมือใหม่เท่าไหร่

วิธีที่สองและเป็นที่นิยมมาก คือ การลงทุนผ่าน “กองทุนรวมดัชนี” หรือที่เรียกกันว่า ETF (Exchange Traded Fund) ETF ที่อิงกับ S&P 500 เนี่ย มันก็เหมือนตะกร้าที่รวมหุ้นทั้ง 500 ตัวไว้ในหน่วยเดียว เราซื้อ ETF 1 หน่วย ก็เหมือนได้เป็นเจ้าของหุ้น 500 ตัวนั้นไปเลยในสัดส่วนที่คำนวณไว้แล้ว ตัวอย่าง ETF ที่อิง S&P 500 ที่ดังๆ ก็เช่น SPDR S&P 500 ETF Trust (ชื่อย่อ SPY) หรือ Vanguard S&P 500 ETF (ชื่อย่อ VOO) ซึ่ง ETF พวกนี้เราสามารถซื้อขายได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ หรือผ่านแอปพลิเคชันลงทุนบางตัว ข้อดีคือสะดวก ค่าธรรมเนียมการจัดการมักจะต่ำ แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนะ ถ้าเราลงทุนใน ETF ที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้

วิธีที่สามคือ การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในประเทศไทย บางกองทุนจะไปลงทุนใน ETF ที่อิง S&P 500 อีกที อย่างเช่น กองทุน KKP US500-UH-E ของ บลจ. เกียรตินาคินภัทร ที่ไปลงทุนใน iShares Core S&P 500 ETF ข้อดีของกองทุนรวมคือ มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลให้ และบางกองทุนอาจมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนให้ด้วย แต่ก็ต้องดูค่าธรรมเนียมและนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนให้ดี

วิธีที่สี่คือ การลงทุนผ่าน “ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” หรือ DW (Derivative Warrant) ที่อ้างอิงกับดัชนีสหรัฐฯ เช่น DJI, NDX (ดัชนีอ้างอิง Nasdaq 100), หรือ SPX (ดัชนีอ้างอิง S&P 500) การลงทุนผ่าน DW มีข้อดีคือสามารถซื้อขายได้ในเวลาทำการของตลาดหุ้นไทย ซึ่งอาจจะสะดวกกว่าสำหรับบางคน และใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง แต่ DW ก็มีความซับซ้อนและมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องทำความเข้าใจ เช่น ค่าเสื่อมเวลา อัตราทด และมีโอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้

สรุปแล้ว `s&p 500 คือ` ดัชนีที่เปรียบเสมือนตัวชี้วัดสุขภาพของบริษัทขนาดใหญ่และภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ ด้วยประวัติผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาวและการเป็นตัวแทนตลาดที่ครอบคลุม ทำให้การลงทุนที่อิงกับดัชนีนี้เป็นทางเลือกที่น่าศึกษาสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ ตลาดหุ้นขึ้นได้ก็ลงได้ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต และสำหรับนักลงทุนไทยที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ต้องไม่ลืมเรื่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยนะครับ

⚠️ หากเงินลงทุนของคุณเป็นเงินที่อาจต้องใช้ในระยะสั้น หรือคุณยังไม่มีความเข้าใจในสินทรัพย์เหล่านี้มากพอ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างละเอียด และพิจารณาถึงความเสี่ยงที่รับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน `s&p 500 คือ` หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทุกครั้งนะครับ

Leave a Reply