เจาะลึก MSCI Thailand ล่าสุด: มีอะไรเปลี่ยน? กระทบพอร์ตคุณแค่ไหน?

ช่วงนี้ใครที่ติดตามข่าวสารตลาดหุ้นไทยน่าจะคุ้นหูคำว่า MSCI กันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมครับ? โดยเฉพาะเวลาที่มีการปรับดัชนี หุ้นตัวนั้นเข้า หุ้นตัวนี้ออก ราคาหุ้นก็ผันผวนขึ้นลงตามไปด้วย บางคนอาจจะงงว่า MSCI นี่มันคืออะไร แล้วมันสำคัญกับตลาดหุ้นไทยและพอร์ตลงทุนของเราแค่ไหน โดยเฉพาะ **MSCI Thailand ล่าสุด** นี้มีอะไรน่าจับตาบ้าง วันนี้ผมในฐานะคนคุ้นเคยกับเรื่องราวการเงิน จะขออาสาพาไปทำความเข้าใจเรื่องนี้แบบง่ายๆ สบายๆ เหมือนชวนเพื่อนคุยกันครับ

คุณผู้อ่านอาจจะลองนึกภาพตามง่ายๆ ว่าตลาดหุ้นไทยเราเนี่ย เหมือนห้องเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียน (บริษัทจดทะเบียน) อยู่เป็นร้อยๆ คน MSCI ก็เหมือนอาจารย์พิเศษชาวต่างชาติที่มาคอยประเมินผลการเรียน (ผลการดำเนินงาน) ของนักเรียนเก่งๆ (หุ้นขนาดใหญ่และกลาง) ในห้องนี้ แล้วทำรายงานส่งกลับไปให้นักลงทุนสถาบันทั่วโลกดูว่า นักเรียนไทยคนไหนเก่งจริง มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สากล เพื่อที่กองทุนต่างๆ ทั่วโลกที่เขาใช้รายงานนี้เป็นหลัก จะได้รู้ว่าจะลงทุนในหุ้นไทยตัวไหนดี

ทีนี้ไอ้รายงานที่ว่านั่นแหละครับที่เรียกว่า “ดัชนี MSCI” ซึ่งสำหรับบ้านเราก็คือ **MSCI Thailand** นั่นเองครับ ดัชนีนี้เขามีเกณฑ์การคัดเลือกที่ค่อนข้างเข้มงวดนะ ไม่ใช่ใครจะเข้ามาก็ได้ หลักๆ ก็ต้องดูเรื่องขนาดบริษัทที่ใหญ่พอ มีจำนวนหุ้นที่นักลงทุนทั่วไปซื้อขายได้จริงๆ (ที่เรียกว่า Free Float หรือสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยอิสระ) เยอะพอสมควร มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และต้องเปรียบเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันทั่วโลกด้วย เกณฑ์พวกนี้ก็เพื่อให้นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ๆ ที่ต้องซื้อขายหุ้นจำนวนมากๆ สามารถเข้าออกได้สะดวก ไม่ทำให้ราคาผันผวนมากเกินไป

แล้ว **MSCI Thailand** นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง? เอาข้อมูล ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มาดูกันครับ ดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้นไทยขนาดใหญ่และขนาดกลางรวม 25 หลักทรัพย์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมประมาณ 85% ของตลาดหุ้นไทยทั้งหมดเลยครับ เรียกได้ว่าถ้าดูดัชนีนี้ ก็เหมือนเห็นภาพรวมหุ้นตัวใหญ่ๆ ในบ้านเรานั่นแหละ

ในดัชนี **MSCI Thailand** 25 ตัวนี้ ถ้าดูว่าหุ้นตัวไหนมีน้ำหนักเยอะสุด หรือพูดง่ายๆ ว่ามีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากที่สุด 10 อันดับแรกก็จะเป็นหุ้นที่เราคุ้นชื่อกันดีเลยครับ นำทีมโดย ADVANC (หุ้นสื่อสารค่ายใหญ่) PTT (ปตท.) CPALL (เซเว่นฯ) BDMS (โรงพยาบาล) DELTA (อิเล็กทรอนิกส์) ตามมาด้วย PTTEP (ปตท.สผ.) AOT (สนามบิน) GULF (โรงไฟฟ้า) SCC (ปูนใหญ่) และ TRUE (ทรู คอร์ปอเรชั่น) สิบตัวนี้รวมกันน้ำหนักปาเข้าไปกว่า 66% เลยทีเดียวครับ แสดงให้เห็นว่าดัชนีค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในหุ้นใหญ่บางตัวเหมือนกัน ส่วนหมวดธุรกิจที่ดัชนี **MSCI Thailand** ให้น้ำหนักเยอะๆ ก็จะเป็นกลุ่มสื่อสาร พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น กลุ่มการเงิน และกลุ่มโรงพยาบาลครับ

ทีนี้มาดู “ผลงาน” ของ **MSCI Thailand** กันบ้างครับ ถ้ามองยาวๆ ตั้งแต่ช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2553 มาจนถึงมีนาคม 2568 ดัชนีนี้ก็เคยทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีตลาดเกิดใหม่โดยรวม (MSCI Emerging Markets) ในช่วงแรกๆ นะครับ แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนที่ค่อนข้างสูงเหมือนกัน

แต่ถ้าดูผลตอบแทนในช่วงสั้นๆ หรือปานกลางที่ผ่านมา เช่น 1 เดือน 3 เดือน 1 ปี 3 ปี หรือแม้กระทั่ง 10 ปี ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 เนี่ย ผลตอบแทนส่วนใหญ่ของ **MSCI Thailand** ยังติดลบอยู่เลยครับ มีแค่ช่วง 5 ปี และตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนีมาจริงๆ (29 ธ.ค. 2543) เท่านั้นที่ยังเป็นบวกอยู่ ซึ่งก็สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังๆ อาจจะยังเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายอย่างครับ เราเคยเจอช่วงที่ดัชนีลงหนักมากๆ ในอดีตก็มี อย่าง Maximum Drawdown (การปรับตัวลงสูงสุด) เนี่ยเคยสูงถึงกว่า 61% เลยนะครับ (ช่วงปี 2551) ส่วนอัตราส่วนทางการเงินอย่าง P/E (ราคาต่อกำไร) ก็อยู่ที่ประมาณ 15 เท่า P/BV (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี) 1.6 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ราวๆ 3.6% ครับ

มาถึงไฮไลท์ที่หลายคนจับตา นั่นก็คือการปรับดัชนี **MSCI Thailand ล่าสุด** ที่มีผลบังคับใช้ ณ สิ้นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ครับ การปรับรอบนี้มีทั้งการเปลี่ยนแปลงในดัชนีใหญ่ (MSCI Global Standard) และดัชนีหุ้นขนาดเล็ก (MSCI Global Small Cap)

สำหรับการเปลี่ยนแปลงในดัชนี **MSCI Global Standard** ซึ่งก็คือดัชนีที่ **MSCI Thailand** เป็นส่วนหนึ่งนี่แหละครับ รอบนี้ไม่มีหุ้นไทยตัวไหนถูกเพิ่มเข้าไปใหม่เลยครับ แต่มีหุ้นไทยที่ถูกถอดออกจากดัชนี Standard 2 ตัว คือ PTTGC (ปตท.โกลบอล เคมิคอล) และ TOP (ไทยออยล์) ซึ่งนักวิเคราะห์หลายค่ายมองว่าการถอดสองตัวนี้ออก อาจจะทำให้มีเม็ดเงินจากกองทุนต่างชาติที่อ้างอิงดัชนีนี้ไหลออกจากหุ้นสองตัวนี้รวมๆ กันราว 100-110 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,752 ล้านบาทไทยได้เลยครับ

ในขณะเดียวกัน ในฝั่งของดัชนี **MSCI Global Small Cap** ซึ่งเป็นดัชนีสำหรับหุ้นขนาดเล็ก รอบนี้มีหุ้นไทยถูกเพิ่มเข้าไป 4 ตัวครับ คือ GPSC (โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่) PTTGC SCGP (เอสซีจี แพคเกจจิ้ง) และ TOP ใช่แล้วครับ! PTTGC กับ TOP ที่ถูกถอดออกจากดัชนีใหญ่ ก็มาเข้าดัชนี Small Cap แทนครับ นอกจากนี้ก็มีหุ้นไทยอีกหลายตัวที่ถูกถอดออกจากดัชนี Small Cap ในรอบนี้ด้วยครับ

แล้วเรื่อง **MSCI Thailand ล่าสุด** จากการปรับดัชนีรอบนี้มันมีผลยังไง? แน่นอนครับว่ากองทุนต่างชาติขนาดใหญ่ที่เขาลงทุนตามดัชนี **MSCI** เขาจะต้องปรับพอร์ตตามการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาใกล้ๆ วันที่มีผลของการปรับดัชนี เรามักจะเห็นราคาหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงเข้าออกดัชนีผันผวนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหุ้นที่ถูกถอดออกจากดัชนี Standard ก็อาจจะเจอแรงขายกดดันในระยะสั้น ส่วนหุ้นที่ถูกเพิ่มเข้า Small Cap (อย่าง GPSC, SCGP) ก็อาจจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาบ้างก่อนวันมีผลครับ นักวิเคราะห์อย่าง บล.กรุงศรี ก็ประเมินว่าน้ำหนักของ **MSCI Thailand** ในภาพรวม Global Standard ก็อาจจะลดลงเล็กน้อยหลังจากการปรับรอบนี้ครับ

การที่ MSCI มีการปรับดัชนีอยู่เรื่อยๆ (ซึ่งรอบถัดไปก็คือวันที่ 13 พฤษภาคม 2568) ก็เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความใหญ่เล็กของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกครับ นักลงทุนสถาบันจำนวนมากทั่วโลกใช้ดัชนี MSCI เป็น “Benchmark” หรือตัวเปรียบเทียบผลการลงทุนของตัวเอง อย่างในบ้านเราก็มีกองทุนรวมบางกองที่ใช้นโยบายลงทุนตามดัชนีนี้โดยตรง เช่น กองทุนเปิด BCAP MSCI THAILAND ETF ของ บลจ. บางกอกแคปปิตอล ที่เขาเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี **MSCI Thailand** โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรืออย่างกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ดัชนีหุ้นโลก (SCB World Equity Index) ของ บลจ. ไทยพาณิชย์ ที่ไปลงทุนตามดัชนี MSCI World ซึ่งครอบคลุมหุ้นใหญ่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว การเปลี่ยนแปลงในดัชนี MSCI จึงมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นของกองทุนเหล่านี้ครับ

มองออกไปข้างนอก ตลาดหุ้นไทยเราก็มีปัจจัยอื่นๆ อีกเยอะที่ส่งผลกระทบครับ เช่น เรื่องความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่นักวิเคราะห์บางค่ายอย่าง บล.โกลเบล็ก มองว่ายังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดบ้านเราอยู่ ในขณะที่ตลาดหุ้นในบางประเทศอย่างอินเดียกลับโดดเด่น มีเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง น้ำหนักในดัชนี MSCI ก็เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้จำนวนมาก ส่วนตลาดหุ้นจีนก็เผชิญความท้าทายหนัก MSCI ก็เคยถอดหุ้นจีนออกจากดัชนีหลายตัว ขณะที่เกาหลีใต้ก็ยังไม่ได้รับการยกสถานะเป็นตลาดพัฒนาแล้วจาก MSCI ส่วนหนึ่งเพราะยังมีเรื่องข้อจำกัดในการขายชอร์ตครับ นอกจากนี้ MSCI เขาก็มีการปรับเกณฑ์การประเมินฟรีโฟลตของบางบริษัท หรืออย่างสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างกรณีรัสเซีย MSCI ก็ได้ถอดตลาดหุ้นรัสเซียออกจากกลุ่มตลาดเกิดใหม่ไปอยู่ในกลุ่ม Standalone เลยครับ แสดงให้เห็นว่า MSCI ค่อนข้างอ่อนไหวกับปัจจัยภายนอกหลายๆ อย่างที่ส่งผลต่อความน่าลงทุน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเองก็ทำงานร่วมกับ MSCI ในการเผยแพร่ข้อมูลความยั่งยืน (ESG) ของบริษัทจดทะเบียนไทย เพื่อให้นักลงทุนทั่วโลกใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนมากขึ้นด้วยครับ

สรุปแล้วเรื่อง **MSCI Thailand ล่าสุด** และภาพรวมต่างๆ ของดัชนี MSCI นี้ เป็นเรื่องที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจไว้ครับ เพราะมันสะท้อนมุมมองของนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่มีต่อตลาดหุ้นไทย และมีผลต่อการไหลเข้าออกของเงินทุน แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าเพิ่งตกใจหรือดีใจตามข่าวการปรับดัชนีทั้งหมดครับ

**คำแนะนำส่งท้ายแบบบ้านๆ ครับ:**

1. **ทำความเข้าใจ:** รู้ไว้ใช่ว่า! การที่หุ้นตัวไหนเข้าออกดัชนี **MSCI Thailand** มันบอกใบ้ถึงคุณสมบัติของบริษัทนั้นๆ ในสายตาของเกณฑ์สากล (เช่น ขนาดใหญ่ขึ้น มีฟรีโฟลตมากขึ้น) แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเข้า MSCI แล้วจะดีเสมอไป หรือออกแล้วจะแย่ทันที
2. **กลับมาดูพื้นฐาน:** การเปลี่ยนแปลงในดัชนี MSCI มีผลต่อราคาในระยะสั้นได้ แต่ในระยะยาว ราคาหุ้นก็ยังขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ปัจจัยพื้นฐาน และแนวโน้มธุรกิจของบริษัทนั้นๆ เป็นหลักครับ ศึกษาหุ้นรายตัวที่เราสนใจให้ดี
3. **กระจายความเสี่ยง:** ตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลก การกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดต่างประเทศบ้าง ผ่านกองทุนรวม หรือ ETF ต่างประเทศ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ (เหมือนกองทุน SCB World Equity Index ที่ยกตัวอย่างไปนั่นแหละครับ)
4. **ประเมินตัวเอง:** ก่อนลงทุนในหุ้นไทยหรือกองทุนที่อ้างอิง **MSCI Thailand** หรืออะไรก็ตาม กลับมาถามตัวเองก่อนว่า เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน เงินก้อนนี้เราจำเป็นต้องใช้เมื่อไหร่ มีประสบการณ์การลงทุนมากน้อยแค่ไหน

⚠️ **คำเตือนสำคัญมากๆ ครับ:** การลงทุนในตราสารทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน หรือแม้แต่เงินดิจิทัล มีความเสี่ยงสูงมากครับ อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนได้เลย ราคาหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ การซื้อขายด้วยมาร์จินยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทวีคูณ ข้อมูลที่ผมนำเสนอในบทความนี้อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และใช้เพื่อการศึกษา ทำความเข้าใจเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำให้ซื้อขายลงทุนนะครับ ผู้ให้ข้อมูลอย่าง Fusion Media หรือผู้ดูแลสภาพคล่องต่างๆ เขาไม่ได้ประกันความถูกต้องหรือความเรียลไทม์ของข้อมูล และเขาไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการตัดสินใจลงทุนของเราด้วยครับ

ดังนั้น นักลงทุนทุกท่าน โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบถี่ถ้วน ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน พิจารณาจากวัตถุประสงค์การลงทุน ประสบการณ์ และระดับการยอมรับความเสี่ยงของตัวเอง และถ้าไม่มั่นใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ ลงทุนอย่างมีความรู้และความเข้าใจ จะช่วยให้เราอยู่รอดในตลาดทุนได้ยั่งยืนกว่าครับ

Leave a Reply