
เช้านี้จิบกาแฟพลางไถฟีดข่าว ก็เจอเรื่องน่าสนใจในวงการตลาดเงินตลาดทุนอีกแล้วครับ โลกการเงินมันเชื่อมโยงกันหมดจริงๆ นะครับ จะหุ้นอเมริกา ยุโรป หรือแม้แต่ “**ผลหุ้นอังกฤษ**” ที่ช่วงนี้ดูจะมีเรื่องให้เล่าอยู่บ้าง
หลายคนคงสงสัยว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นยังไงบ้าง ภาพรวมคือมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างหลากหลายครับ ถ้าไปดูที่สหรัฐอเมริกา ดัชนีหลักอย่าง ดาวโจนส์ (Dow Jones) และ เอสแอนด์พี 500 (S&P 500) ก็ยังพอขยับบวกเล็กน้อย (0.13% และ 0.27% ตามลำดับ) แต่ที่ดูคึกคักหน่อยก็ต้องยกให้กลุ่มเทคโนโลยี นำโดย แนสแด็ก (Nasdaq) ที่ปรับตัวขึ้นถึง 0.83% แสดงว่านักลงทุนยังให้ความเชื่อมั่นกับหุ้นกลุ่มนี้อยู่พอสมควรนะ แถม ดัชนี VIX (VIX Index) ซึ่งเป็นตัววัดความผันผวนของตลาดก็ปรับตัวลดลง (-1.77%) เหมือนจะบอกว่าความกังวลในตลาดหุ้นอเมริกาลดน้อยลงไปนิดนึงครับ
แต่พอมองข้ามฝั่งมาที่ยุโรป ภาพกลับไม่ค่อยสดใสนัก ตลาดหุ้นยุโรปโดยรวมปรับตัวลดลง นักลงทุนอยู่ในโหมดชะลอการลงทุนเพื่อรอดูข้อมูลสำคัญและสัญญาณจากทางการเรื่องนโยบายต่างๆ ซึ่งปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคนี้ก็ยังคงสร้างแรงกดดันอยู่พอสมควรครับ
ทีนี้มาโฟกัสที่อังกฤษบ้างครับ ที่เราพูดถึง “**ผลหุ้นอังกฤษ**” เนี่ย ส่วนใหญ่เค้าจะดูที่ ดัชนี FTSE 100 (อ่านว่า ฟุตซี่ ร้อย) เป็นดัชนีที่รวมเอาบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 100 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange) เข้าไว้ด้วยกัน ตอนนี้ราคาดัชนีอยู่ที่ประมาณ 8,559.33 GBP ครับ ถ้าดูแค่ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอาจจะเห็นว่าติดลบไปหน่อยประมาณ −0.63% แต่ถ้าเราถอยออกมามองภาพที่กว้างขึ้นล่ะ? ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีนี้ยังบวกอยู่ 0.95% ครับ ถ้ามองไกลไปถึงรอบเดือนที่แล้ว พุ่งขึ้นไปถึง 6.07% เลยทีเดียว และในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาก็ยังให้ “**ผลหุ้นอังกฤษ**” ที่เป็นบวกถึง 4.21% ครับ แสดงว่าถึงแม้จะมีความผันผวนในแต่ละวัน แต่ภาพรวมระยะกลางถึงยาวก็ยังดูดีอยู่นะครับ น่าสนใจว่าดัชนีนี้เคยทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 8,908.82 GBP (เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2025) และเคยลงไปต่ำสุดสุดๆ ตอนวิกฤตปี 1988 ที่ 1,717.70 GBP ข้อมูลในอดีตพวกนี้ก็ช่วยให้เราเห็นภาพการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาวเหมือนกันนะครับ

มีเรื่องนึงที่เกี่ยวกับ “**ผลหุ้นอังกฤษ**” ที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ด้วยนะครับ เหมือนจะเป็นการแซงกันไปแซงกันมาในเวทีโลก คือ สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เนี่ย กลับมาแซงหน้าอินเดีย ขึ้นมาเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดอันดับหกของโลกได้อีกครั้งครับ หลายคนอาจจะงงว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เหตุผลหลักๆ มีสองอย่างครับ อย่างแรกคือ ค่าเงินปอนด์ (Pound Sterling) ที่อ่อนค่าลงนี่แหละครับ ฟังดูแปลกๆ แต่มันช่วยให้บริษัทอังกฤษที่เน้นการส่งออก มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ซึ่งพอแปลงกลับมาเป็นเงินปอนด์ก็ได้เยอะขึ้น ทำให้ดูมีผลประกอบการดีขึ้น ช่วยหนุน “**ผลหุ้นอังกฤษ**” โดยรวมได้ ส่วนทางฝั่งอินเดียก็เจอแรงกดดันพอสมควรจากรายงานเชิงลบที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มบริษัท Adani Group (อะดานี กรุ๊ป) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทใหญ่มากในอินเดีย พอมีข่าวด้านลบออกมา ตลาดหุ้นอินเดียก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ครับ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า ขนาดของตลาดหุ้นในแต่ละประเทศมันไม่ได้คงที่นะครับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ เหตุการณ์สำคัญๆ รวมถึงค่าเงินด้วย
ทีนี้มาดูภาพใหญ่ขึ้นเรื่อง นโยบายการเงิน (Monetary Policy) และ ตัวเลขเศรษฐกิจ (Economic Data) ที่ส่งผลต่อตลาดทั่วโลกกันบ้างครับ ที่อเมริกา ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve หรือ Fed) เพิ่งมีรายงานการประชุมล่าสุดออกมา บอกว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) ต่อไป เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ (Inflation) ที่ยังอยู่ในระดับสูง บางส่วนถึงกับมองว่าควรจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าเดิมด้วยซ้ำ อย่าง 0.50% ในการประชุมครั้งเดียว เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะทิศทางดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินทั่วโลกเลยครับ
ในยุโรปเอง ปัญหาเงินเฟ้อก็ยังคงอยู่ให้เห็นชัด อย่างที่เยอรมนี (Germany) ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ก็ยังน่าเป็นห่วง พุ่งขึ้นถึง 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน (สูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 8.6%) ส่วน ดัชนีราคาผู้บริโภคแบบ Harmonized (Harmonized CPI) ในเดือน ม.ค. ก็ขึ้นไปถึง 9.2% จากปีก่อน ซึ่งตัวเลขพวกนี้เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจยูโรโซนยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาอย่างหนัก
อีกเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ก็คือเรื่อง หนี้ภาคครัวเรือนครับ มีข้อมูลออกมาว่า หนี้บัตรเครดิตในสหรัฐ (US Credit Card Debt) พุ่งสูงทำสถิติใหม่ไปแล้ว แถมอัตราการผิดนัดชำระหนี้ (Default Rate) ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย นี่เป็นสัญญาณว่าคนอเมริกันจำนวนมากเริ่มตึงๆ เรื่องเงินทองแล้วครับ กำลังซื้ออาจจะลดลงในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้เหมือนกัน

นอกจากภาพรวมเศรษฐกิจแล้ว ก็มีข่าวรายบริษัทที่น่าสนใจด้วยนะครับ อย่างบริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่อย่าง แองโกล อเมริกัน (Anglo American) ที่มีโครงการในอังกฤษด้วย ก็ต้องบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ (Asset Impairment) ไปถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโครงการเหมืองปุ๋ยในอังกฤษ เพราะต้นทุนและระยะเวลาสร้างสูงกว่าที่คาดไว้มาก นี่ก็เป็นตัวอย่างความท้าทายในการบริหารโครงการใหญ่ๆ ครับ หรืออย่างค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่าง บีวายดี (BYD) ก็รายงานยอดขายที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน ตอกย้ำกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังแรงไม่ตก ส่วน เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) บริษัทซอฟต์แวร์ใหญ่ ผู้ถือหุ้น (Shareholders) ก็ลงมติไม่เห็นด้วยกับแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้บริหารระดับสูง แสดงให้เห็นว่าผู้ถือหุ้นมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบบริษัทนะครับ และสุดท้าย หุ้นซิ่งในตำนานอย่าง เกมสต็อป (GameStop) ก็เป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อ ไรอัน โคเฮน (Ryan Cohen) ซีอีโอของบริษัท ออกมาโพสต์ข้อความบน X (หรือ Twitter เดิม) เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ในช่วงที่บริษัทกำลังมองหาคนมาพัฒนาแอปพลิเคชัน การสื่อสารจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่อยู่ในความสนใจมากๆ แบบนี้ มักจะเป็นที่จับตาของนักลงทุนและสื่ออยู่เสมอครับ
สำหรับใครที่ดู สัญญาณทางเทคนิค (Technical Signals) ของ ดัชนี FTSE 100 ก็เห็นว่าสัญญาณมันผสมๆ นะครับ ไม่ได้ชี้ชัดไปทางใดทางหนึ่ง ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง ทองคำ (Gold) และ น้ำมัน (Oil) ช่วงนี้ก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยครับ (0.10% และ 0.26%)
สรุปภาพรวมก็คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเคลื่อนไหวตามปัจจัยเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และข่าวสารรายบริษัทที่ออกมาเป็นระยะ สหรัฐยังดูดีในภาพรวม โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี แต่ยุโรปมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ. ส่วน “**ผลหุ้นอังกฤษ**” แม้ล่าสุด ดัชนี FTSE 100 จะย่อตัวลงบ้างในระยะสั้น แต่ถ้ามองในระยะยาวหลายเดือนหลายปี ก็ยังแสดงการเติบโตที่น่าสนใจนะครับ แถมยังมีปัจจัยเรื่องค่าเงินปอนด์ที่อาจหนุนบริษัทส่งออกได้ด้วยครับ
สำหรับนักลงทุน สิ่งสำคัญคืออย่าเพิ่งตกใจกับการปรับฐานระยะสั้นๆ ครับ ให้มองหาโอกาสในระยะยาว และทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาด หุ้นในอังกฤษโดยเฉพาะกลุ่มที่แข็งแกร่งและได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าศึกษาครับ **⚠️ ข้อควรระวัง:** การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีความซับซ้อน มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงอื่นๆ ที่แตกต่างจากการลงทุนในประเทศ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะของ ดัชนี FTSE 100 และบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในนั้น รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ การกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน (Investment Portfolio) ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ