MSCI Index: ไขความลับสู่โลกการลงทุนที่กว้างใหญ่และยั่งยืน

เคยได้ยินคำว่า MSCI ไหมครับ/คะ? ถ้าเป็นนักลงทุน หรือแค่พอติดตามข่าวสารการเงินบ้าง อาจจะคุ้นหูอยู่บ้างใช่ไหมครับ หลายคนอาจจะคิดว่ามันคือ “ดัชนี” หรือ “ตัวเลข” ที่ใช้ชี้วัดตลาดหุ้นเฉยๆ แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้น มีเรื่องราวและบทบาทที่สำคัญกว่านั้นเยอะครับ

ลองนึกภาพว่าโลกการลงทุนเหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ MSCI (ซึ่งย่อมาจาก Morgan Stanley Capital International หรือในชื่อเต็มๆ คือ มอร์แกน สแตนลีย์ แคปปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล) ก็เปรียบเสมือนนักทำแผนที่ระดับโลกครับ เขาไม่ได้ทำแผนที่ธรรมดา แต่เป็นแผนที่ที่บอกรายละเอียดสำคัญๆ เกี่ยวกับตลาดหุ้นทั่วโลก เครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้เราเข้าใจเส้นทางเดินเรือ (การลงทุน) และข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับเรือแต่ละลำว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแค่ไหน หรือมีการบริหารจัดการที่ดีไหม (ESG – Environmental, Social, and Governance) พูดง่ายๆ คือ MSCI มีเป้าหมายหลักในการช่วยให้นักลงทุนอย่างเราๆ เข้าใจตลาด และวางแผนการลงทุนให้ตรงเป้าหมายครับ

MSCI ไม่ได้มีแค่แผนที่เดียว แต่มีหลายแบบ หลายจุดประสงค์มากๆ ครับ ไล่ตั้งแต่แผนที่พื้นฐานที่บอกขนาดของแต่ละตลาด (ดัชนีตามมูลค่าตลาด) ไปจนถึงแผนที่ที่เน้นเฉพาะเรื่อง อย่างแผนที่ภูมิอากาศ (Climate) ที่ช่วยให้นักลงทุนดูว่าการลงทุนไหนเสี่ยงกับเรื่องสภาพอากาศ หรือไหนเป็นโอกาสใหม่ๆ แผนที่ ESG ที่เน้นความยั่งยืน หรือแผนที่ปัจจัย (Factors) ที่ดูหุ้นที่มีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง เช่น หุ้นปันผลดี หรือหุ้นเติบโต นอกจากนี้ยังมีแผนที่สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ อย่างตราสารหนี้ (Fixed Income), สินทรัพย์จริง (Real Assets) อย่างอสังหาริมทรัพย์หรือโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งทุนส่วนบุคคล (Private Capital) ที่ไม่ได้ซื้อขายในตลาดหุ้นปกติ แถมยังรับทำแผนที่แบบพิเศษตามความต้องการของลูกค้าแต่ละรายด้วยครับ จะเห็นว่าเครื่องมือของ MSCI ครอบคลุมหลากหลายมากๆ ครับ

ในบรรดาแผนที่ทั้งหมดที่ MSCI ทำออกมา แผนที่หนึ่งที่คนพูดถึงบ่อยมากๆ ก็คือ **ดัชนี MSCI World** ครับ เจ้านี่เปรียบเสมือนแผนที่สรุปภาพรวมของตลาดหุ้นใน “กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว” (Developed Markets) ทั่วโลก จำนวน 23 ประเทศ โดยจะติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางเป็นหลัก ทำหน้าที่เป็นมาตรวัด หรือ Benchmark สำคัญสำหรับการลงทุนในหุ้นระดับโลกเลยครับ

วิธีการคำนวณ ดัชนี MSCI World ก็เรียบง่ายแต่มีพลัง คือใช้ “มูลค่าตลาดถ่วงน้ำหนัก” (Free Float Market Capitalization) แปลเป็นภาษาคนคือ บริษัทไหนใหญ่ มีมูลค่าเยอะในตลาด หุ้นของบริษัทนั้นก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากหน่อยครับ ดัชนีตัวนี้จะมีการทบทวนรายชื่อหุ้นและน้ำหนักทุกๆ ไตรมาส และปรับสมดุลทุกครึ่งปี เพื่อให้สะท้อนสภาพตลาดปัจจุบันมากที่สุด

มองดูตัวเลขล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2567) ดัชนี MSCI World อยู่ที่ประมาณ 3,570 จุด ซึ่งก็อยู่ในระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่แกว่งตัวระหว่าง 2,724 – 3,569 จุด ผลตอบแทนในช่วง 30 วันที่ผ่านมาก็บวกเล็กน้อยประมาณ 1.09% แต่ถ้ามองยาวขึ้น 90 วัน บวกไป 3.58% และในช่วง 250 วัน หรือเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา บวกไปแรงถึง 21.22% เลยทีเดียวครับ ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก โดยรวมแล้วอยู่ในช่วงขาขึ้นที่น่าสนใจครับ

ทีนี้ ถ้าถามว่าลงทุนตาม ดัชนี MSCI World มีข้อดีข้อเสียยังไง? ข้อดีชัดๆ เลยคือ **กระจายความเสี่ยง** ครับ แทนที่จะไปลงทุนในหุ้นแค่ประเทศเดียว เราก็ได้ลงทุนในบริษัทใหญ่ๆ ที่มีเสถียรภาพใน 23 ประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกพร้อมๆ กัน ทำให้พอร์ตเราไม่ผันผวนไปตามเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป

แต่ก็มีข้อควรระวังเหมือนกันครับ เนื่องจากใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด ดัชนีนี้ก็จะ **กระจุกตัวอยู่ในบริษัทขนาดใหญ่** เป็นพิเศษ อย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนพูดถึงการครอบงำของหุ้นกลุ่ม “เจ็ดขาใหญ่” (Magnificent 7) ในสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้นโดยรวมในปัจจุบัน ทำให้แม้จะกระจายไปหลายประเทศ แต่สัดส่วนการลงทุนส่วนใหญ่อาจจะไปกองอยู่ที่หุ้นไม่กี่ตัวในประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ นอกจากนี้ ดัชนี MSCI World ยัง **ไม่ครอบคลุมตลาดเกิดใหม่** (Emerging Markets) หรือบริษัทขนาดเล็ก (Small Cap) ซึ่งบางทีก็มีศักยภาพการเติบโตที่สูงมากๆ ที่นักลงทุนอาจจะพลาดโอกาสไปครับ

ส่วนแนวโน้มตลาดที่น่าสนใจ นักวิเคราะห์จากซิตี้ (Citi) มองโลกในแง่ดีว่าตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะยังไปต่อได้ถึงปี 2568 โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทต่างๆ จะเติบโตได้ประมาณ 10% ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยน่าจะลดลงและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงครับ แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็เห็นข่าวว่านักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นในเอเชียสุทธิในปี 2567 ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากปัจจัยทางการเมือง อย่างการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ชัยชนะของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของตลาดที่ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยครับ

นอกจากจะใช้ ดัชนี MSCI เพื่อดูภาพรวมหรือเป็น Benchmark แล้ว ดัชนีพวกนี้ยังมีชีวิตชีวามากๆ ในโลกของการซื้อขายอีกด้วยครับ ไม่ได้มีไว้แค่ดูตัวเลขเฉยๆ แต่กลายเป็น “สินทรัพย์อ้างอิง” สำหรับการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก อย่างเช่น **สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures)** หรือ **ออปชั่น (Options)** ครับ

แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง ICE (Intercontinental Exchange) เป็นผู้นำในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าบน ดัชนี MSCI โดยมีสัญญาให้เลือกเทรดมากกว่า 100 สัญญา ครอบคลุมทั้งดัชนีหลักๆ อย่าง MSCI ACWI (ตลาดโลกทั้งพัฒนาแล้วและเกิดใหม่), MSCI World, MSCI Emerging Markets (ตลาดเกิดใหม่), MSCI EAFE (ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย และตะวันออกไกล) รวมถึงดัชนีรายประเทศ ภาคส่วน และ ESG ด้วยครับ ที่น่าสนใจคือ มีผลิตภัณฑ์อย่าง MSCI Index Total Return Futures (TRFs) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนรวม (ทั้งส่วนต่างราคาและเงินปันผล) ได้เหมือนกับการลงทุนในหุ้นอ้างอิงโดยตรง แต่ทำผ่านตลาดอนุพันธ์ครับ

ในส่วนของ **ออปชั่น (Options)** แพลตฟอร์ม Cboe (Cboe Global Markets) ก็มีบริการซื้อขายออปชั่นบน ดัชนี MSCI หลักๆ เช่นกัน อย่าง ดัชนี MSCI ACWI, MSCI World, MSCI Emerging Markets, MSCI EAFE และ MSCI USA (สำหรับตลาดสหรัฐฯ) ออปชั่นพวกนี้มีข้อดีคือ ซื้อขายง่าย เพราะเป็นแบบ European-style ที่ชำระด้วยเงินสด (Cash-settled) ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งมอบหุ้นจริงๆ แถมยังมีตัวเลือกครบ ทั้งแบบรายสัปดาห์ รายไตรมาส หรือสิ้นเดือน มีสภาพคล่องค่อนข้างดี และบางครั้งอาจมีข้อได้เปรียบทางภาษีสำหรับนักลงทุนสหรัฐฯ ภายใต้ประมวลรัษฎากรสหรัฐฯ มาตรา 1256 ด้วยครับ จะเห็นว่า ดัชนี MSCI ได้ถูกนำไปต่อยอดเป็นเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลายและซับซ้อนสำหรับนักลงทุนมืออาชีพด้วย

เบื้องหลัง ดัชนี และบริการทั้งหมดนี้ คือ **บริษัท MSCI Inc.** ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) หรือ 56 ปีที่แล้ว มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 7 World Trade Center ในแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา บริษัทนี้เองก็เป็นบริษัทมหาชนที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ภายใต้สัญลักษณ์ MSCI และเป็นส่วนหนึ่งของ ดัชนี S&P 500 ครับ

ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัท MSCI ทำรายได้ไปถึง 2.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีกำไรจากการดำเนินงาน 1.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกำไรสุทธิ 1.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและทำกำไรได้ดีเลยครับ ธุรกิจหลักๆ ของ MSCI Inc. แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ:
1. **ธุรกิจดัชนี (Index):** นี่คือหัวใจหลัก ให้บริการ ดัชนี MSCI ต่างๆ ที่เราคุยกัน เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การวัดผลพอร์ตโฟลิโอ และการจัดสรรสินทรัพย์
2. **ธุรกิจการวิเคราะห์ (Analytics):** ให้บริการเครื่องมือและข้อมูลสำหรับบริหารความเสี่ยง วัดผลการดำเนินงาน และบริหารพอร์ตลงทุน ทั้งความเสี่ยงตลาด เครดิต สภาพคล่อง หรือแม้แต่ความเสี่ยงภูมิอากาศ
3. **ธุรกิจ ESG และสภาพภูมิอากาศ (ESG and Climate):** เน้นให้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อช่วยให้นักลงทุนสถาบันเข้าใจว่าปัจจัยด้านความยั่งยืนส่งผลต่อความเสี่ยงและผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวอย่างไร
4. **ธุรกิจสินทรัพย์ส่วนบุคคลอื่นๆ (All Other – Private Assets) และโซลูชันทุนส่วนบุคคล (Private Capital Solutions):** ให้ข้อมูลเชิงลึกและเครื่องมือสำหรับสินทรัพย์นอกตลาด อย่างอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงช่วยนักลงทุนในสินทรัพย์ส่วนบุคคลต่างๆ ครับ

จะเห็นได้ว่า MSCI ไม่ใช่แค่บริษัททำตัวเลขดัชนี แต่เป็นบริษัทข้อมูลและการวิเคราะห์ระดับโลกที่มีธุรกิจครอบคลุมหลากหลายมิติของการลงทุนครับ

สรุปแล้ว ดัชนี MSCI ไม่ว่าจะเป็น ดัชนี MSCI World หรือดัชนีประเภทอื่นๆ ล้วนเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากๆ ในโลกการลงทุนยุคปัจจุบันครับ มันช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่ชัดเจนขึ้นในการสำรวจและทำความเข้าใจตลาดหุ้นทั่วโลก ช่วยในการตัดสินใจว่าจะจัดสรรเงินไปที่ไหน เปรียบเทียบผลการลงทุน และยังเป็นรากฐานสำหรับการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายครับ ถ้าคุณสนใจการลงทุนระดับโลก หรืออยากกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ การทำความเข้าใจ ดัชนี MSCI ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ ครับ ผลิตภัณฑ์ที่อิงกับดัชนีเหล่านี้ อย่าง ETF (กองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) ที่อิงกับ MSCI World ก็เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงทั่วโลกในต้นทุนที่ต่ำครับ บางแพลตฟอร์มเทรด อย่าง Moneta Markets ก็มีเครื่องมือหลากหลายที่อิงกับ ดัชนี MSCI ให้เลือกใช้ เพื่อตอบโจทย์กลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกันไปของนักลงทุน

⚠️ **ข้อควรจำและข้อควรระวัง:** ถึงแม้ ดัชนี MSCI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่โปรดจำไว้เสมอว่า **ข้อมูลดัชนีที่แสดงเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำเสนอซื้อขายหลักทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินใดๆ** การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน **ผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าวด้วยตนเอง** MSCI เองก็ไม่รับประกันความถูกต้อง ครบถ้วน หรือทันเวลาของข้อมูล การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และหากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญครับ การลงทุนในตลาดต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงเฉพาะของแต่ละประเทศด้วย

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านเข้าใจ MSCI และบทบาทของ ดัชนี MSCI ในโลกการเงินได้มากขึ้นนะครับ การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงแค่เราทำความเข้าใจเครื่องมือและข้อมูลต่างๆ อย่างรอบด้านครับ

Leave a Reply