เจาะลึก ‘ดัชนีหุ้นยุโรป’ โอกาสทองซ่อนในความผันผวน!

เพื่อนผมชื่อ ‘เล็ก’ เดินมาตบบ่าแล้วถามว่า “เฮ้ย! ช่วงนี้เห็นพูดถึง ‘ดัชนีหุ้นยุโรป’ กันบ่อย มันคืออะไรเหรอ แล้วน่าสนใจมั้ย?” ผมยิ้มๆ แล้วบอกเล็กไปว่า การลงทุนน่ะไม่ได้มีแค่ตลาดหุ้นไทยหรืออเมริกานะ ตลาดหุ้นยุโรปก็เป็นอีกสนามที่น่าจับตา มีเรื่องราวเยอะแยะให้เล่าเลยแหละ ถ้าเล็กอยากรู้ เรามาจิบกาแฟคุยกันชิลล์ๆ ดีกว่า

ลองนึกภาพยุโรปเป็นทวีปใหญ่ที่มีหลายประเทศ แต่ละประเทศก็มีตลาดหุ้นของตัวเอง อย่างที่ดังๆ หน่อยก็ Euronext (ยูโรเน็กซ์) ที่ใหญ่สุดในยุโรป มีทั้งสาขาที่อัมสเตอร์ดัม ปารีส บรัสเซลส์ ดับลิน ลิสบอน ออสโล หรือ London Stock Exchange (LSE – ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน) ของอังกฤษ หรือ Deutsche Börse (ดอยช์ เบอร์เซ่) ที่แฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ตลาดเหล่านี้ก็เหมือนตลาดนัดรวมบริษัทต่างๆ จากทั่วยุโรปให้มาจดทะเบียนและซื้อขายหุ้นกัน ขนาดและความสำคัญก็แตกต่างกันไป แต่ละที่ก็มีวิธีแบ่งบริษัทตามขนาด ตามความโปร่งใส เพื่อให้นักลงทุนเลือกได้ง่ายขึ้น ทีนี้ ‘ดัชนีหุ้นยุโรป’ ที่เล็กได้ยินบ่อยๆ เนี่ย มันก็เหมือนตะกร้าที่รวบรวมหุ้นตัวเด่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน เป็นตัวแทนภาพรวมของตลาดนั้นๆ ดัชนีหลักๆ ที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมดูก็มี Euro Stoxx 50 (ยูโร สต็อกซ์ 50) อันนี้คัดเอา 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรมาไว้ด้วยกัน เป็นเหมือนหัวหอกของยูโรโซนเลย หรือ Stoxx Europe 600 (สต็อกซ์ ยุโรป 600) อันนี้จะกว้างกว่า ครอบคลุม 600 บริษัทจาก 17 ประเทศในยุโรป คิดเป็นประมาณ 90% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด และก็ FTSE 100 (ฟุตซี่ 100) ที่เป็นดัชนีหลักของอังกฤษ รวม 100 บริษัทใหญ่สุดของเขา ดัชนีเหล่านี้สำคัญนะ เพราะมันเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของตลาด เป็นดัชนีอ้างอิงให้กองทุนหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ เขาไปใช้กัน เวลาเห็นข่าวบอกว่า ‘ดัชนีหุ้นยุโรป’ บวกหรือลบ ส่วนใหญ่ก็จะหมายถึงดัชนีพวกนี้แหละ

ทีนี้มาดูภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปกันบ้าง ย้อนไปช่วงโควิดระบาดหนักๆ เศรษฐกิจยูโรโซนก็เซไปเหมือนกันนะ เคยหดตัวติดกัน 2 ไตรมาส ช่วงปลายปี 2563 ถึงต้นปี 2564 เข้าข่ายภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เลย แต่พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย การฉีดวัคซีนดีขึ้น การเปิดเมืองเปิดประเทศเริ่มกลับมา โอ้โห! เศรษฐกิจเหมือนได้พลังใหม่ ตัวเลขต่างๆ พุ่งกระฉูด อย่างปี 2564 ช่วงไตรมาส 2 เนี่ย เศรษฐกิจยูโรโซนพลิกกลับมาเติบโตแรง ตัวเลขสำคัญๆ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index – PMI) ทั้งของภาคการผลิตและภาคบริการก็พุ่งขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบหลายปี หรือเป็นประวัติการณ์ในบางประเทศเลยด้วยซ้ำ ยอดคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders) ทั้งในประเทศและส่งออกก็เพิ่มขึ้นแบบน่าตกใจ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ก็ปรับตัวขึ้น ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (Economic Sentiment Index – ESI) ก็อยู่ในระดับสูงมาก แสดงให้เห็นว่าทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคกลับมามีความเชื่อมั่นกันสุดๆ เลย เป็นสัญญาณที่ดีมากๆ สำหรับตลาดหุ้นในช่วงนั้น

แล้วนโยบายต่างๆ ล่ะ มีผลยังไง? แน่นอนว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เนี่ยเป็นตัวแปรใหญ่ นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมเพื่อดูว่าจะขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อไหร่ อีกปัจจัยที่น่าสนใจคือส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield Spread) ระหว่างพันธบัตรยุโรปกับของสหรัฐฯ ที่แคบลงเนี่ย มันเหมือนส่งสัญญาณว่า เฮ้ย! เงินทุนกำลังมองหาที่ลงใหม่ๆ นะ แล้วยุโรปก็เริ่มน่าสนใจขึ้นมา นอกจากนโยบายการเงิน ก็มีนโยบายการคลังด้วย อย่างเยอรมนีเองก็มีแผนคลังขนาดใหญ่ อัดฉีดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มเพดานการขาดดุล อันนี้ก็ช่วยหนุนการเติบโตของ GDP และส่งผลบวกต่อทั้งทวีปเลย แต่ชีวิตนักลงทุนมันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป มันมีเรื่องให้กังวลเหมือนกัน อย่างเรื่องมาตรการภาษีศุลกากร (Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่ประกาศใช้กับหลายประเทศ รวมถึงยุโรปด้วย อันนี้ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปผันผวนหนัก บางวันลงแรงเพราะความกังวล พอมีข่าวว่าจะเลื่อนหรือลดภาษี ตลาดก็เด้งกลับมาได้ เป็นเหมือนหนังคนละม้วนเลย

ทีนี้มาดูแนวโน้มตลาดหุ้นยุโรปทั้งในระยะสั้นและระยะยาวกันบ้าง ในระยะสั้น ตลาดหุ้นยุโรปค่อนข้างอ่อนไหวต่อข่าวสารมากๆ แพ้ข่าวร้าย ชนะข่าวดี เห็นได้ชัดจากช่วงที่มีความกังวลเรื่องภาษีการค้า หรือตอนที่บริษัทใหญ่ๆ อย่างผู้ผลิตชิป (ยกตัวอย่างเช่น ASML ที่เคยมีข่าว) ออกมาเตือนเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจ หุ้นกลุ่มนั้นๆ ก็ร่วงตาม แต่พอมีปัจจัยบวก ตลาดก็ฟื้นตัวได้เร็ว อย่างที่ ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเคยวิเคราะห์ไว้ว่า ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มผลตอบแทนดี หลังจากการเปิดเศรษฐกิจและฉีดวัคซีนดีขึ้น การเติบโตแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี (อย่างปี 2564 ที่เศรษฐกิจฟื้น) อาจจะชะลอตัวลงบ้างในช่วงครึ่งแรกของปีถัดไป ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากนโยบายการคลังขนาดใหญ่และส่วนต่างบอนด์ยีลด์ที่แคบลง ทำให้มีโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้ายุโรป โดยเฉพาะจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มูลค่าดูค่อนข้างสูงแล้ว

แน่นอนว่าการลงทุนใน ‘ดัชนีหุ้นยุโรป’ ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังอยู่เหมือนกันนะ อย่างการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจนำไปสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและแรงงานที่อาจจะยืดเยื้อ ทำให้การผลิตไม่คล่องตัว แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลก เช่น สงคราม หรือการเผชิญหน้าทางการค้าระหว่างประเทศใหญ่ๆ

แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ บริษัทในยุโรปหลายแห่งเริ่มส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ดี ทำให้มีแนวโน้มทำกำไรได้สูงขึ้น มูลค่าหุ้นยุโรป (ดูจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E Ratio) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตและเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังดูน่าสนใจกว่า ทำให้มีโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้ามาปรับสมดุลเรื่อยๆ การลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปยังเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ให้พอร์ตลงทุนของเราไม่ไปกระจุกตัวอยู่แค่ตลาดใดตลาดหนึ่ง ธีมการลงทุนที่น่าสนใจก็มีหลายแบบนะ เช่น หุ้นปันผลสูงๆ ในกลุ่มสาธารณูปโภค หรือการเงิน หรืออาจจะเป็นกลุ่มเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่อาจได้อานิสงส์จากสถานการณ์โลก หรือกลุ่มหุ้นคุณภาพดีขนาดใหญ่ (ที่บางทีนักวิเคราะห์ชอบเรียกว่ากลุ่ม GRANOLAS ย่อมาจากชื่อบริษัทใหญ่ๆ อย่าง GSK, Roche, ASML, Nestle, Novartis, L’Oréal, LVMH, AstraZeneca, SAP) ซึ่งเป็นบริษัทแข็งแกร่ง มีอำนาจในการกำหนดราคา

สรุปแล้ว ตลาดหุ้นยุโรป หรือ ‘ดัชนีหุ้นยุโรป’ ที่เราคุยกันวันนี้ ก็เป็นตลาดที่มีพลวัตน่าสนใจ มีช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่ง มีปัจจัยหนุนจากนโยบายต่างๆ แต่ก็ต้องระวังความเสี่ยงจากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การลงทุนในตลาดนี้จึงเป็นเหมือนการออกไปผจญภัยในอีกทวีปหนึ่ง ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย

ถ้าเล็กฟังแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย! น่าสนใจแฮะ” แล้วอยากลองลงทุนดู ก็มีหลายช่องทางนะ จะศึกษา ‘ดัชนีหุ้นยุโรป’ ที่ชอบ แล้วไปหาทางลงทุนตรงๆ หรือจะเริ่มจากกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรปก่อนก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้ดัชนีหลักๆ ที่เราคุยกันเป็นตัวอ้างอิง แพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Moneta Markets ก็เป็นอีกช่องทางสำหรับคนที่อยากซื้อขายตรงๆ ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเขาก็มีเครื่องมือและประเภทบัญชีที่หลากหลายให้เลือก แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน

⚠️ อย่าลืมนะ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
⚠️ ถ้าสภาพคล่องเงินของเราไม่สูงนัก หรือเงินนั้นจำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ ก็ควรพิจารณาให้ดีมากๆ ก่อนที่จะนำมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงแบบนี้

Leave a Reply