SET100 ร้อนแรงหรือร่วง? อ่านจบเข้าใจง่าย ลงทุนไม่พลาด!

เคยไหมครับ ตื่นเช้ามาเปิดดูข่าวทีวี หรือไถฟีดในโซเชียล แล้วเห็นพาดหัวประมาณว่า “ตลาดหุ้นไทยวันนี้ไม่สดใส” หรือ “ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลง…” แล้วตัวเลขพวกนั้นมันคืออะไร? มันเกี่ยวกับเงินในกระเป๋าเรายังไง? วันนี้เราจะมาคุยกันถึง “ดัชนี” ตัวสำคัญตัวหนึ่งที่หลายคนจับตามอง นั่นก็คือ SET100 นั่นเองครับ เหมือนเป็นเครื่องมือวัดไข้ของตลาดหุ้นไทยเลยก็ว่าได้ ถ้า SET100 แข็งแรง ตลาดก็น่าจะคึกคัก แต่ถ้า SET100 อ่อนแรง… อืม ก็ต้องดูกันหน่อย

เอาล่ะ ลองมาดูข้อมูลล่าสุด (อัปเดต ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 03:04:52 น. ซึ่งตลาดปิดแล้วนะครับ ข้อมูลนี้อ้างอิงจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครับ) ดัชนี SET100 ปิดที่ระดับ 1,780.63 จุด ฟังดูเป็นตัวเลขกลมๆ ใช่ไหมครับ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมัน “ลดลง” จากวันก่อนหน้าถึง 19.52 จุด คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คือ -1.08% เลยทีเดียว! นี่สะท้อนชัดๆ ว่าสภาวะตลาดในวันนั้นไม่ค่อยจะเป็นบวกเท่าไหร่ครับ ลองดูตัวเลขอื่นๆ ประกอบนะ วันนั้น SET100 เปิดตลาดที่ 1,803.97 จุด เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 1,805.57 จุด แต่ก็เจอแรงเทขายกดลงมาจนทำจุดต่ำสุดระหว่างวันที่ 1,776.80 จุด ก่อนจะเด้งกลับมาปิดที่ 1,780.63 จุดนั่นแหละครับ ส่วนปริมาณการซื้อขายรวมของหุ้นที่อยู่ในตะกร้า SET100 ก็อยู่ที่ 2,200,184 พันหุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวมถึง 45,234.63 ล้านบาท ถือว่ามีกิจกรรมซื้อขายพอสมควรเลยครับ แม้ตลาดจะแดงก็ตาม

แล้วเจ้า SET100 นี่คืออะไรกันแน่? อธิบายง่ายๆ ก็เหมือน “ทีมรวมดารา” ของตลาดหุ้นไทยครับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เค้ามีดัชนีหลักหลายตัวนะ ที่เราคุ้นๆ ก็มี SET Index (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) (วัดภาพรวมทั้งหมด) และ SET50 (ดัชนี SET50) (วัด 50 ตัวท็อป) ส่วน SET100 เนี่ย ก็คือการรวมเอาหุ้นที่ใหญ่ที่สุด มีสภาพคล่องดี๊ดี และมีคนถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เยอะๆ มา 100 อันดับแรกของตลาด SET มารวมกันไว้ (ซึ่งใน 100 ตัวนี้ ก็จะรวม 50 ตัวใน SET50 เข้าไปด้วยนะ) เค้าสร้างดัชนีพวกนี้ขึ้นมาเพื่อเป็น “เกณฑ์อ้างอิง” หรือ “ตัวชี้วัด” ให้นักลงทุนอย่างเราๆ ได้ดูกันไงครับ เหมือนดูว่า “เกรดเฉลี่ย” ของหุ้นตัวใหญ่ๆ ในตลาดตอนนี้เป็นยังไง ช่วยในการตัดสินใจลงทุน หรือเอาไปใช้อ้างอิงในการซื้อขายสินค้าทางการเงินอื่นๆ อย่าง Index Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนี) หรือ Options (ออปชั่น) ได้ด้วย

การจะเข้ามาอยู่ในทำเนียบ SET100 ไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เค้ามีวิธีการคัดเลือกที่ชัดเจน โดยจะดูจากหลักทรัพย์ (หุ้น) ทั้งหมดที่จดทะเบียนใน SET แล้วเอามาจัดอันดับกัน ใคร “ตัวใหญ่” (มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Capitalization Weighted Index เยอะ) ใคร “คล่องตัว” (มีสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย) และใคร “แบ่งปัน” (กระจายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือ Free Float เยอะ) ก็มีสิทธิ์ติดอันดับครับ 50 อันดับแรกก็ไปอยู่ SET50 ส่วน 100 อันดับแรก (รวม SET50 ด้วย) ก็มาเป็น SET100 ของเรานี่แหละครับ วิธีคำนวณดัชนีก็ใช้แบบเดียวกับ SET Index เลย คือถ่วงน้ำหนักตามขนาดมูลค่าตลาด (Market Capitalization Weighted Index) หุ้นตัวไหนใหญ่มาก การขึ้นลงของเค้าก็จะมีผลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นตัวเล็กหน่อยครับ ส่วนวันเกิดอย่างเป็นทางการของ SET100 คือวันที่ 30 เมษายน 2548 (พ.ศ. 2548) โดยเริ่มต้นที่ค่าฐาน (Base value) 1000 จุดครับ ตัวเลขนี้จะถูกปรับไปเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์องค์ประกอบที่อยู่ในตะกร้าของดัชนี

ที่น่ารู้คือ รายชื่อหลักทรัพย์องค์ประกอบใน SET100 ไม่ได้ตายตัวนะครับ เค้าจะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนทุก 6 เดือน ช่วงเดือนธันวาคมกับมิถุนายน เพื่อให้ดัชนีนี้ยังคงสะท้อนภาพรวมของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดได้อย่างแม่นยำ รายชื่อใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันทำการแรกของเดือนมกราคมและกรกฎาคมครับ ใครฟอร์มดี มูลค่าใหญ่ขึ้น สภาพคล่องดีขึ้น ก็มีสิทธิ์ถูกคัดเข้ามาใหม่ ส่วนใครฟอร์มตก มูลค่าลดลง สภาพคล่องหายไป ก็อาจจะถูกคัดออกได้ครับ การปรับปรุงนี้ยังเกิดขึ้นได้กรณีพิเศษด้วยนะ เช่น มีการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ มีการแปลงสภาพหุ้นกู้ (Debenture Conversion) หรือใช้สิทธิ Warrant (Warrant Exercise) ที่ทำให้มูลค่าหุ้นเปลี่ยนไปมาก หรือแม้แต่มีหลักทรัพย์ใหม่เข้ามาจดทะเบียน (New Listing) หรือถูกเพิกถอนออกจากตลาด (Delisting) ก็ต้องปรับกันเพื่อให้ดัชนีมันต่อเนื่องครับ ลองนึกภาพรายชื่อหุ้นใน SET100 นะครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบริษัทมหาชนที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมเลยนะ ตั้งแต่พวกเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร การขนส่ง โลจิสติกส์ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน สาธารณูปโภค ธนาคาร บริการสุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย

กลับมาที่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ SET100 ปิดแดงเนี่ย มันก็บอกเราว่าในวันนั้น ภาพรวมของหุ้นตัวใหญ่ๆ ในตลาดส่วนใหญ่มีแรงเทขายมากกว่าแรงซื้อ ทำให้ดัชนีที่เป็นตัวแทนของพวกเค้าปรับตัวลดลงนั่นเองครับ มันเหมือนอุณหภูมิของตลาดน่ะ ถ้าดัชนีลงก็แสดงว่าบรรยากาศการลงทุนช่วงนั้นอาจจะยังไม่ค่อยดีนัก หรือมีปัจจัยบางอย่างมากดดัน ไม่ว่าจะจากข่าวเศรษฐกิจในประเทศ ต่างประเทศ หรือแม้แต่อารมณ์ของนักลงทุนเอง ที่เห็นตัวเลขแบบนี้ นักลงทุนหลายคนก็อาจจะรู้สึกกังวลใจ หรือบางคนก็มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่ลดลง ก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคนครับ

สรุปแล้ว SET100 ก็คือดัชนีสำคัญที่สะท้อนสุขภาพและทิศทางของหุ้นขนาดใหญ่ 100 ตัวแรกในตลาดหุ้นไทยครับ การติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีนี้ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาดได้ดีขึ้น แต่จำไว้ว่านี่คือ “ภาพรวม” นะครับ การที่ดัชนีลง ไม่ได้แปลว่าหุ้นทุกตัวจะลง หรือการที่ดัชนีขึ้น ไม่ได้แปลว่าหุ้นทุกตัวจะขึ้นเสมอไป แต่มันก็เป็นสัญญาณเตือนหรือสัญญาณบอกทิศทางที่ดีครับ สำหรับนักลงทุน การรู้และเข้าใจ SET100 เป็นพื้นฐานที่ดีในการต่อยอดไปสู่การวิเคราะห์หุ้นรายตัว หรือการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆ ครับ เช่น แพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Moneta Markets อาจมีเครื่องมือหรือข้อมูลที่ช่วยให้นักลงทุนติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีต่างๆ รวมถึงหุ้นที่อยู่ใน SET100 ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีตัวเลือกและเงื่อนไขการซื้อขายหลากหลายให้พิจารณา

ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไร ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้านนะครับ ไม่ใช่แค่ดูตัวเลข SET100 อย่างเดียว ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ผลประกอบการบริษัท ข่าวสารต่างๆ และที่สำคัญที่สุด…

⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือมีเงินทุนจำกัด ควรประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ก่อนเสมอครับ อย่าเพิ่งกระโดดเข้าใส่ตามกระแสโดยที่ยังไม่เข้าใจนะครับ!

Leave a Reply