เพื่อนๆ ที่รักการลงทุน หรือกำลังคิดจะก้าวเข้าสู่โลกของตลาดหุ้นไทย เคยสงสัยกันไหมครับว่า เวลาที่เขาพูดถึง “ดัชนี SET100” หรือ “หุ้น SET100” กันเนี่ย มันหมายถึงอะไร แล้วถ้าเราอยากรู้ว่า หุ้น set 100 มีอะไรบ้าง จะไปดูที่ไหน หรือมีตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง? ในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินที่คลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มาพอสมควร วันนี้ผมจะขออาสาพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับเจ้าดัชนีสำคัญตัวนี้กันแบบบ้านๆ เข้าใจง่าย เหมือนคุยกันเรื่องใกล้ตัวเลยครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่า ตลาดหุ้นไทย (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ก็เหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ที่มีร้านค้ามากมายหลายขนาด แต่ SET100 เปรียบเสมือนการคัดเลือกร้านค้าเด่นๆ ขนาดกลางถึงใหญ่ ที่มีคนเข้าออกคึกคัก ซื้อขายคล่องๆ เอามาจัดกลุ่มเป็นพิเศษ 100 ร้านแรก ซึ่งจริงๆ แล้ว ดัชนี SET100 ก็คือดัชนีราคาหุ้นที่คำนวณมาจากหุ้นสามัญ 100 ตัวแรกที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูง มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และเข้าเกณฑ์อื่นๆ ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด ซึ่งเกณฑ์คัดเลือกก็ประมาณว่า ต้องอยู่ในตลาดมานานพอสมควร มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free-float) เยอะหน่อย ไม่ติดเครื่องหมายห้ามซื้อขายบ่อยๆ อะไรทำนองนี้ครับ การคำนวณดัชนีก็ใช้การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดนี่แหละครับ โดยมีวันฐานเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2548 กำหนดค่าไว้ที่ 1,000 จุด เจ้า SET100 นี่แหละครับ ที่สะท้อนภาพรวมมาตรฐานการลงทุนในหุ้นขนาดกลางถึงใหญ่ของบ้านเราได้เป็นอย่างดี มีอีกดัชนีที่คล้ายๆ กันคือ SET100FF ซึ่งก็คือ SET100 ที่คำนวณโดยปรับด้วยสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย ทำให้สะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริงได้ดียิ่งขึ้นครับ

ทีนี้ เรามาดูบรรยากาศตลาดหุ้นล่าสุดกันหน่อยดีกว่าครับ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2568 ที่ตลาดปิดทำการไป ดัชนี SET โดยรวมก็มีการเคลื่อนไหวตามปกติ มีเปิด มีสูง มีต่ำระหว่างวัน ก่อนจะปิดตลาดไปพร้อมกับปริมาณการซื้อขายและมูลค่าการซื้อขายที่น่าสนใจ ส่วนดัชนี SET100 เองในวันนั้นก็ปรับตัวบวกขึ้นมาได้เล็กน้อยที่ +0.39% ปิดอยู่ที่ 1,642.83 จุด ซึ่งก็บวกได้ดีกว่าดัชนีใหญ่อย่าง SET50 ที่บวกไป +0.36% เสียอีกครับ นี่ก็สอดคล้องกับภาพรวมที่นักวิเคราะห์เคยพูดถึงช่วงต้นปี 2567 นะครับว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มจะเน้นไปที่การเลือกเล่นหุ้นรายตัวมากขึ้น และถึงแม้หุ้นขนาดใหญ่มากๆ หรือ Big Cap ที่รวมอยู่ใน SET50 จะยังโดนแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอยู่ ทำให้ SET50 เองดูจะปรับตัวต่ำกว่าตลาดโดยรวม แต่ SET100 ที่รวมหุ้นขนาดกลางใหญ่เอาไว้ด้วย ก็ดูจะปรับตัวได้ดีกว่า SET50 เล็กน้อยตั้งแต่ต้นปี 2567 ซึ่งตอนนั้น SET100 ก็ยังติดลบเฉลี่ยอยู่ประมาณ 4% ครับ ตัวเลขเหล่านี้ก็บอกเราได้คร่าวๆ ว่า ตลาดโดยรวมยังคงให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทต่างๆ มากกว่าจะเหวี่ยงไปตามภาพใหญ่เสียทั้งหมด
แล้วถ้าถามว่า หุ้น set 100 มีอะไรบ้าง ล่ะ? แน่นอนว่ามีถึง 100 ตัวเลยครับ แต่เราคงยกมาพูดทั้งหมดไม่ได้ แต่เราสามารถดูตัวอย่างหุ้นเด่นๆ ที่มีมูลค่าตลาดสูงๆ ใน SET100 ได้ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด ก็มีหลายบริษัทที่เราคุ้นชื่อกันดีครับ อย่างเช่น PTT (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานที่มีมูลค่าตลาดเกือบแตะล้านล้านบาท, ADVANC (บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)) เจ้าตลาดสื่อสาร, DELTA (บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)) หุ้นเทคโนโลยีที่ช่วงนี้ราคาปรับตัวขึ้นแรงทีเดียวในวันที่เก็บข้อมูล, AOT (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) ที่ได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยว, CPALL (บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)) เจ้าของร้านสะดวกซื้อขวัญใจมหาชน ที่นักวิเคราะห์มองว่ามีแรงซื้อเข้ามาค่อนข้างแรง, PTTEP (บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)) อีกตัวในกลุ่มพลังงาน, TRUE (บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) อีกบริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่, SCB (บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)) และ KBANK (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)) สองแบงก์ใหญ่ รวมถึง BDMS (บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)) ในกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำครับ หุ้นเหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ หุ้น set 100 มีอะไรบ้าง ที่มีน้ำหนักในดัชนีสูงครับ การที่หุ้นเหล่านี้อยู่ใน SET100 ก็เพราะขนาดบริษัทที่ใหญ่ สภาพคล่องสูง และเป็นที่สนใจของนักลงทุน ซึ่งแต่ละตัวก็มาจากหลากหลายหมวดธุรกิจเลยครับ มีทั้งพลังงาน สื่อสาร เทคโนโลยี ขนส่ง ค้าปลีก การเงิน บริการสุขภาพ

ย้อนกลับไปดูบทวิเคราะห์ในช่วงมกราคม 2567 ที่มีการปรับรายชื่อหุ้นเข้าออก SET100 รอบใหม่ นักวิเคราะห์หลายท่านก็มองหาหุ้นดาวเด่นที่เพิ่งเข้าสู่ SET100 หรือมีแนวโน้มดีในกลุ่มนี้เพื่อแนะนำนักลงทุน ซึ่งตอนนั้นมีหุ้นที่น่าสนใจหลายตัว เช่น ITC ที่เป็นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตได้ดีจากโรงงานใหม่ที่ช่วยเพิ่มกำลังผลิต หรืออย่าง TKN (บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง) ที่ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ แถมยังมีแผนเปิดร้านอาหารหมูกระทะ และปรับราคาขายรับต้นทุนสาหร่ายที่สูงขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการปี 2566 น่าจะเติบโตได้ถึง 20% เลยทีเดียว และอีกตัวคือ ICHI (บมจ. อิชิตัน กรุ๊ป) ที่ได้ปัจจัยบวกจากสภาพอากาศร้อนจัดในฤดูร้อนปี 2568 ซึ่งน่าจะหนุนยอดขายเครื่องดื่มให้พุ่งกระฉูด หุ้นเหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างของหุ้นที่เข้าใหม่หรืออยู่ใน SET100 ที่มีสตอรี่น่าติดตามในแต่ละช่วงเวลาครับ นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าหุ้น Big Cap บางตัวที่กดดันตลาดอยู่ อาจจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นในปี 2568 โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะต่ำลง อย่าง TRUE หรือ MINT (บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล) รวมถึงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เช่น AWC (บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป), TKN (แม้จะเป็นอาหาร แต่ก็มีส่วนเชื่อมกับการบริโภคและท่องเที่ยวทางอ้อม), AAV (บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น) หรือ ERW (บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป) ครับ
จากข้อมูลและบทวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม หุ้น set 100 มีอะไรบ้าง นั้น เราไม่ควรมองแค่ดัชนีโดยรวม แต่ต้องลงลึกไปดูที่หุ้นรายตัวด้วยครับ เพราะตลาดช่วงนี้ (และมีแนวโน้มต่อเนื่อง) จะให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐาน ผลประกอบการ และสตอรี่การเติบโตของแต่ละบริษัท การเลือกหุ้นรายตัว หรือเลือกเป็นกลุ่มๆ ที่มีแนวโน้มดี (Selective) ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม อย่างกลุ่มที่เชื่อมกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ก็ยังเป็นกลุ่มที่นักวิเคราะห์หลายท่านแนะนำให้จับตาดูครับ

สุดท้ายนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น set 100 มีอะไรบ้าง ตัวไหน หรือดัชนีอะไรก็ตาม มีความเสี่ยงสูงนะครับ อาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้เลย ไม่เหมาะกับทุกคนนะครับ ราคาหุ้นก็ผันผวนได้ตลอดเวลาตามปัจจัยภายนอกต่างๆ ข้อมูลที่เราเห็นจากเว็บไซต์ต่างๆ ก็ไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์เสมอไป อาจไม่เที่ยงตรง 100% ใช้เป็นเพียงข้อมูลชี้นำแนวทางประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ผู้ให้บริการข้อมูลต่างๆ รวมถึงบทความนี้ ไม่ได้ให้คำแนะนำการลงทุนโดยตรง และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนนะครับ
ดังนั้น หากเพื่อนๆ สนใจที่จะลงทุนในกลุ่ม หุ้น set 100 มีอะไรบ้าง หรือหุ้นตัวอื่นๆ สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัทที่เราสนใจ ดูผลประกอบการ แนวโน้มอุตสาหกรรม และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ โดยเฉพาะหากเงินลงทุนของเราไม่ได้สูงมาก การศึกษาและเลือกหุ้นเป็นรายตัวอย่างระมัดระวัง ย่อมดีกว่าการลงทุนแบบเหวี่ยงแหแน่นอนครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนนะครับ!