ใครเคยรู้สึกว่าอยากลงทุนในหุ้นไทยนะ แต่พอเห็นรายชื่อหุ้นเยอะแยะไปหมดก็เริ่มตาลาย ไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี จะซื้อหุ้นรายตัวก็กลัวเจ๊ง จะให้เงินคนอื่นไปบริหารกองทุน Active (กองทุนเชิงรุก) ก็แอบคิดว่า “เอ๊ะ เขาจะเก่งกว่าตลาดจริงเหรอ?”
ถ้าความรู้สึกประมาณนี้ตรงใจคุณล่ะก็ วันนี้ผมในฐานะเพื่อนร่วมทางสายการเงิน อยากชวนมาทำความรู้จัก “ตัวช่วย” ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นก็คือ กองทุน SET50 Index ครับ ฟังชื่อดูเหมือนจะยากใช่ไหม? แต่จริงๆ แล้วเข้าใจไม่ยากเลย เหมือนเวลาเราไปซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วเห็นตะกร้าผลไม้รวมนั่นแหละ

ลองนึกภาพตามนะ ตลาดหุ้นไทยใหญ่ๆ เนี่ย มีหุ้นอยู่เป็นร้อยๆ ตัว แต่จะมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่เด่นๆ เป็นพี่ใหญ่ในวงการ มีมูลค่าบริษัทสูงลิ่ว มีการซื้อขายคึกคักตลอดเวลา ตลาดหลักทรัพย์เขาเลยจัดกลุ่มพิเศษขึ้นมา เรียกว่า “ดัชนี SET50” ซึ่งก็คือการเอาหุ้นพี่ใหญ่ 50 ตัวแรกของไทยมารวมกันไว้
แล้ว กองทุน SET50 Index คืออะไรล่ะ? ก็คือกองทุนรวมนี่แหละครับ แต่เป็นกองทุนรวมประเภทพิเศษที่เราเรียกว่า Index Fund (กองทุนดัชนี) ที่มีนโยบายการลงทุนแบบ “ตามติด” ดัชนี SET50 ให้ใกล้เคียงที่สุด พูดง่ายๆ คือ เขาจะพยายามไปซื้อหุ้น 50 ตัวนี้ หรือบางส่วนของ 50 ตัวนี้ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับที่ดัชนี SET50 มี เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนวิ่งไปในทิศทางเดียวกับดัชนีเป๊ะๆ เลย กลยุทธ์แบบนี้เราเรียกว่า Passive Fund (กองทุนเชิงรับ) ครับ ไม่ได้พยายามจะเลือกหุ้นตัวที่คิดว่าจะขึ้นแรงๆ หรือหลบตัวที่คิดว่าจะตกหนักๆ เหมือนกองทุน Active (กองทุนเชิงรุก) เขาแค่ตามตลาดเฉยๆ
แล้วทำไม กองทุน SET50 ถึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนหลายคนล่ะ? ข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยคือ
* **เหมือนได้เป็นเจ้าของ “พี่ใหญ่” ของไทย:** คุณได้ลงทุนในบริษัทชั้นนำ 50 อันดับแรกของประเทศเลยนะ เป็นหุ้น Big Cap (หุ้นขนาดใหญ่) ที่เราคุ้นชื่อกันดี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ บริษัทท่าอากาศยาน บริษัทสื่อสาร หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อที่เราเดินเข้าทุกวัน การได้ลงทุนในบริษัทพวกนี้พร้อมๆ กันก็เหมือนได้เกาะไปกับความเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั่นแหละครับ
* **ช่วยกระจายความเสี่ยง:** แทนที่จะไปทุ่มเงินซื้อหุ้นตัวเดียว แล้วลุ้นว่ามันจะขึ้นหรือลง การลงทุนใน กองทุน SET50 Index ก็เหมือนได้แบ่งเงินไปลงทุนใน 50 บริษัทพร้อมกัน ซึ่ง 50 บริษัทนี้ก็อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมนะ ถ้าอุตสาหกรรมหนึ่งไม่ดี อีกอุตสาหกรรมอาจจะไปได้สวย ความเสี่ยงโดยรวมก็เลยลดลงกว่าการถือหุ้นแค่ไม่กี่ตัว
* **ค่าธรรมเนียมต่ำ:** เพราะกลยุทธ์การลงทุนมันตรงไปตรงมา ไม่ต้องใช้ผู้จัดการกองทุนที่เก่งมากๆ มานั่งวิเคราะห์เลือกหุ้นตลอดเวลา ทำให้ค่าบริหารจัดการหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ กองทุน SET50 มักจะต่ำกว่ากองทุน Active ทั่วไป ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงนี่แหละครับ ที่เป็นปัจจัยสำคัญมากๆ ต่อผลตอบแทนสุทธิที่คุณจะได้รับในระยะยาว

* **เหมาะกับมือใหม่และนักลงทุนระยะยาว:** ด้วยความที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และเน้นลงทุนตามตลาดไปเรื่อยๆ ทำให้ กองทุน SET50 Index เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนในหุ้น หรือคนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงในพอร์ตการลงทุนของตัวเอง
ตอนนี้ กองทุน SET50 Index ที่มีในประเทศไทยก็มีให้เลือกหลากหลายแบบมากๆ ครับ ไม่ใช่แค่มีของ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) เจ้าเดียว แต่มีจากหลาย บลจ. เลย และยังมีหลาย “รสชาติ” ให้เลือกด้วยนะ
* **แบบไม่จ่ายเงินปันผล:** เหมาะกับคนที่อยากให้ผลตอบแทนที่ได้กลับไปทบต้นเรื่อยๆ ไม่ต้องเสียภาษีจากเงินปันผล เช่น กองทุน KT-SET50-A, T-SET50ACC, K-SET50, SCBSET50 เป็นต้น (ชื่อกองทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้นะ)
* **แบบจ่ายเงินปันผล:** เหมาะกับคนที่ต้องการกระแสเงินสดระหว่างทาง แม้เงินปันผลจะต้องเสียภาษีบ้าง เช่น กองทุน T-SET50, KT-SET50-D เป็นต้น
* **แบบลดหย่อนภาษี:** อันนี้ถูกใจสายประหยัดภาษีแน่นอน แบ่งเป็น SSF (Super Savings Fund) และ RMF (Retirement Mutual Fund) ซึ่งก็มีนโยบายลงทุนตาม SET50 ให้เลือกนะ เช่น กองทุน PRINCIPAL SET50SSF-SSF, SCBSET50(SSF), SCBRMS50, T-SET50RMF, K-SET50RMF เป็นต้น
* นอกจากนี้ยังมีกองทุนรวมทั่วไป หรืออดีต LTF (Long-Term Equity Fund) บางกองที่เน้นลงทุนตามดัชนี SET50 ด้วย อย่างที่ข้อมูลเคยรวบรวมไว้ก็มีกองทุนเปิดรวงข้าวเซ็ท 50 หรือกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาว SET50 (KFLTF50) เป็นต้น ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าดัชนี SET50 เป็น “ดารา” ที่หลายกองทุนใช้เป็นเกณฑ์ในการลงทุนมานานแล้วครับ
ทีนี้มาดูกันบ้างว่า ไอ้ 50 บริษัทพี่ใหญ่ในดัชนี SET50 นี่มีใครบ้าง เอาแค่ Top 10 บางส่วน (อ้างอิงจากข้อมูล ณ ช่วงเวลาหนึ่ง) ก็เป็นชื่อที่เราคุ้นเคยกันทั้งนั้นเลยนะ เช่น
* DELTA: บริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก
* AOT: บริษัทที่ดูแลสนามบินหลักๆ ทั่วไทย ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต ฯลฯ
* PTT: บริษัทพลังงานแห่งชาติ มีทั้งน้ำมัน ก๊าซ และธุรกิจอื่นๆ เพียบ
* ADVANC: ค่ายมือถือที่เราใช้กันอยู่
* PTTEP: บริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
* GULF: โรงไฟฟ้าพลังงานใหญ่
* CPALL: เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่มีอยู่ทุกหัวมุมถนน
* BDMS: เครือโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่
นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ นะครับ จริงๆ ยังมีอีกหลายบริษัทที่เราใช้สินค้าและบริการของเขาอยู่ทุกวัน การลงทุนใน กองทุน SET50 Index ก็เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเหล่านี้เลยล่ะ ดัชนี SET50 นี้มีการปรับเปลี่ยนรายชื่อหุ้นทุกๆ 6 เดือนด้วยนะ เพื่อให้แน่ใจว่ายังคงเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงจริงๆ

ก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนใน กองทุน SET50 Index สักกอง มีปัจจัยสำคัญที่เราต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนครับ
* **เข้าใจตัวเองและกองทุน:** คุณต้องยอมรับความเสี่ยงได้ไหม? กองทุนหุ้นอย่าง กองทุน SET50 Index เนี่ย ถูกจัดอยู่ในระดับความเสี่ยงสูง (ระดับ 6) นะครับ ราคาหน่วยลงทุนขึ้นๆ ลงๆ ได้ตามภาวะตลาดหุ้น ถ้าตลาดหุ้นตก เงินลงทุนของคุณก็ลดลงตามไปด้วย ต้องทำความเข้าใจนโยบายของกองทุนแต่ละกองให้ดี ว่าเขามีการลงทุนตามดัชนีอย่างไร มีการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ด้วยหรือไม่
* **ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม:** อันนี้สำคัญมากๆ! แม้จะเป็นกองทุน Passive ที่ค่าธรรมเนียมมักจะต่ำกว่ากองทุน Active แต่ในบรรดา กองทุน SET50 ด้วยกันเอง ค่าธรรมเนียมก็ยังมีความแตกต่างกันนะครับ ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) เป็นตัวหลักที่ส่งผลต่อผลตอบแทนระยะยาว ลองนึกภาพนะ กองทุนสองกองผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายเท่ากันเป๊ะ แต่กองหนึ่งค่าธรรมเนียม 0.1% ต่อปี อีกกอง 0.5% ต่อปี ผ่านไป 10 ปี ผลตอบแทนสุทธิของคุณจะต่างกันพอสมควรเลย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็แนะนำว่า ถ้าเป็นกองทุน Passive ที่เน้นลอกดัชนีเหมือนกัน การเลือกกองที่ค่าใช้จ่ายรวมต่ำที่สุดมักจะให้ผลตอบแทนสุทธิที่ดีที่สุดครับ
* **ดูผลการดำเนินงานในอดีต (แต่ไม่เชื่อทั้งหมด):** เราสามารถดูผลตอบแทนย้อนหลังของ กองทุน SET50 แต่ละกอง แล้วเอามาเปรียบเทียบกันได้นะ ว่ากองไหนทำได้ดีกว่า หรือใกล้เคียงกับดัชนี SET50 แค่ไหน (อันนี้ดูเรื่อง Tracking Difference และ Tracking Error ได้ ถ้าอยากลงลึก) อย่างข้อมูลจากแหล่งเปรียบเทียบกองทุน หรือข้อมูลจาก บลจ. เอง ก็มีให้ดูเยอะเลย แต่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะว่า “ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต” มันแค่บอกว่าที่ผ่านมาเขาทำได้ดีแค่ไหน ไม่ได้แปลว่าอนาคตจะเหมือนเดิม
สมมติว่าคุณมีเงินก้อนหนึ่งแล้วคิดว่าอยากลงทุนในหุ้นไทยระยะยาว ไม่ได้รีบร้อนใช้เงิน และรับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ในระดับหนึ่ง กองทุน SET50 Index ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าลองศึกษาดูครับ ลองเข้าไปดูข้อมูลกองทุนจาก บลจ. ต่างๆ หรือใช้เครื่องมือเปรียบเทียบกองทุนที่มีอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต เปรียบเทียบทั้งนโยบาย ค่าธรรมเนียม และผลงานย้อนหลังดูครับ
**ข้อควรระวังมากๆ:** ย้ำอีกครั้งว่า กองทุน SET50 Index เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงนะ เพราะเน้นลงทุนในหุ้น เงินลงทุนของคุณอาจลดลงได้ ไม่เหมือนฝากธนาคารที่เงินต้นค่อนข้างปลอดภัย ถ้าเงินก้อนนี้เป็นเงินที่คุณอาจจะต้องใช้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า หรือคุณรับไม่ได้เลยถ้าเงินลงทุนจะหายไปบางส่วน อาจจะต้องพิจารณาทางเลือกการลงทุนอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่านี้ครับ
โดยสรุปแล้ว กองทุน SET50 Index ก็เป็นเหมือนประตูบานแรกที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้ลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศไทยอย่างเรียบง่าย ผ่านการลงทุนในหุ้นพี่ใหญ่ 50 ตัวแรก พร้อมๆ กัน ช่วยกระจายความเสี่ยง ค่าธรรมเนียมก็ไม่แพงมาก เหมาะกับคนที่อยากเริ่มต้นลงทุนในหุ้นระยะยาว โดยไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นรายตัวให้ปวดหัว แต่อย่าลืมนะว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ โดยเฉพาะข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมของแต่ละกองทุนที่คุณสนใจนะครับ ขอให้สนุกกับการลงทุนและเดินทางสู่เป้าหมายทางการเงินไปด้วยกันครับ!