บทนำ: ทำไมค่าคอมมิชชั่นต่ำจึงสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ Forex ในปี 2025
ในตลาดฟอเร็กซ์ที่ทุกช่วงจังหวะราคาและทุก pip สามารถเปลี่ยนแปลงผลกำไรได้ การควบคุมต้นทุนการเทรดจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุทธิ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือมีประสบการณ์มายาวนาน การเลือกโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือกลยุทธ์พื้นฐานที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน เพราะทุกครั้งที่คุณเปิดคำสั่งซื้อขาย คุณกำลังจ่ายค่าใช้จ่ายให้กับโบรกเกอร์ ไม่ว่าจะในรูปแบบค่าคอมมิชชั่นหรือค่าสเปรด และเมื่อต้นทุนเหล่านี้ลดลง กำไรที่แท้จริงที่คุณเก็บไว้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในปี 2025 ที่สภาพตลาดมีความผันผวนสูงและนักเทรดต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด การบริหารต้นทุนจึงกลายเป็นปัจจัยชี้ขาด โบรกเกอร์ที่มีค่าคอมมิชชั่นต่ำช่วยให้คุณสามารถเทรดได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่ต้องเปิด-ปิดออเดอร์หลายครั้ง เช่น Scalping หรือใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (Expert Advisor) โดยไม่ต้องกังวลว่าต้นทุนจะกินกำไรไปเสียก่อน บทความนี้ได้คัดเลือกและจัดอันดับโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีค่าคอมมิชชั่นต่ำที่สุดในประเทศไทย พร้อมเจาะลึกทุกมิติที่คุณควรรู้ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและมั่นใจ

ค่าคอมมิชชั่น vs ค่าสเปรด: เทรดเดอร์ไทยต้องเข้าใจอะไรบ้าง
ก่อนจะดูรายชื่อโบรกเกอร์ ต้องเข้าใจก่อนว่าต้นทุนการเทรดไม่ได้มีแค่ “ค่าคอมมิชชั่น” แต่ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่าโบรกเกอร์ที่ไม่คิดค่าคอมมิชชั่นคือ “ถูกที่สุด” ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไป
ค่าคอมมิชชั่น (Commission) คือ ค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บต่อการเทรดหนึ่งครั้ง โดยปกติจะคิดต่อ 1 ล็อตมาตรฐาน (Standard Lot) และเรียกเก็บทั้งตอนเปิดและปิดคำสั่ง เช่น $3 ต่อฝั่ง รวมเป็น $6 ต่อรอบ (Round Turn) โบรกเกอร์ประเภท ECN หรือ Raw Spread มักใช้รูปแบบนี้ เพราะเปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงราคาตลาดโดยตรง โดยที่ค่าสเปรดจะแคบมาก หรือแทบเป็นศูนย์ ซึ่งความโปร่งใสในค่าบริการนี้เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม ตามข้อมูลจาก Investopedia
ค่าสเปรด (Spread) คือ ความแตกต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และเสนอขาย (Ask) ของคู่เงิน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์ทั่วไป โดยเฉพาะบัญชี Standard หรือบัญชีที่โฆษณาว่า “ไม่มีค่าคอมมิชชั่น” แม้คุณจะไม่เห็นค่าคอมมิชชั่นชัดเจน แต่ต้นทุนนี้ถูกแฝงอยู่ในสเปรดที่กว้างกว่าบัญชี ECN นั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงคือ “ต้นทุนรวม” ซึ่งคือผลรวมของค่าคอมมิชชั่นและค่าสเปรด บางครั้งบัญชี ECN ที่มีค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย แต่สเปรดแคบมาก อาจทำให้ต้นทุนต่ำกว่าบัญชี Standard ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่นแต่สเปรดกว้างเกินไป
เกณฑ์การคัดเลือกโบรกเกอร์ Forex ค่าคอมต่ำที่ดีที่สุดสำหรับปี 2025
เพื่อให้การจัดอันดับมีความโปร่งใสและเชื่อถือได้ เราใช้เกณฑ์การประเมินที่เข้มงวด โดยคำนึงถึงความต้องการของเทรดเดอร์ชาวไทยเป็นหลัก ดังนี้:
- ต้นทุนการเทรดที่แท้จริง: พิจารณาทั้งค่าคอมมิชชั่นและค่าสเปรด โดยเฉพาะในบัญชี ECN/Raw ที่ต้องมีความโปร่งใส ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง และต้นทุนรวมต้องต่ำ
- ความน่าเชื่อถือและใบอนุญาต: โบรกเกอร์ต้องได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานระดับโลก เช่น ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ไซปรัส) หรือ FCA (สหราชอาณาจักร) เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเงินทุน
- แพลตฟอร์มการเทรด: ต้องรองรับ MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) เป็นพื้นฐาน และควรมีตัวเลือกอื่น เช่น cTrader หรือ TradingView เพื่อความยืดหยุ่น
- การรองรับเทรดเดอร์ไทย: มีเว็บไซต์ภาษาไทย ทีมสนับสนุนที่พูดไทยได้ และช่องทางการฝาก-ถอนที่ใช้งานง่าย เช่น QR Code, Internet Banking หรือ TrueMoney
- เงินฝากขั้นต่ำและเลเวอเรจ: ควรเปิดโอกาสให้ผู้เริ่มต้นได้ทดลองใช้ โดยมีเงินฝากต่ำ และเลเวอเรจที่ยืดหยุ่นตามสไตล์การเทรด
จัดอันดับ 5 โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีค่าคอมต่ำที่สุดในประเทศไทย ปี 2025
จากเกณฑ์ข้างต้น ต่อไปนี้คือ 5 โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีต้นทุนการเทรดต่ำที่สุด และได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่เทรดเดอร์ชาวไทยในปี 2025
1. Moneta Markets – ตัวเลือกที่สมดุลที่สุดด้านค่าคอมต่ำและแพลตฟอร์ม
จุดเด่น: Moneta Markets เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทั้งต้นทุนต่ำและเทคโนโลยีที่ทันสมัย บัญชี ECN ของบริษัทมีค่าคอมมิชชั่นเพียง $6 ต่อล็อต (Round Turn) หรือ $3 ต่อฝั่ง พร้อมสเปรดเริ่มต้น 0.0 pips ในคู่เงินหลัก ทำให้ต้นทุนรวมอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
ข้อดีที่ตรวจสอบได้: นอกจากค่าคอมมิชชั่นที่แข่งขันได้แล้ว Moneta Markets ยังให้บริการแพลตฟอร์มหลากหลาย ทั้ง MT4, MT5 และ ProTrader ที่ขับเคลื่อนโดย TradingView ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์พรีเมียมฟรี เช่น Trading Central และมีทีมซัพพอร์ตภาษาไทยที่พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกขั้นตอน
เหมาะกับใคร: เทรดเดอร์ทุกระดับที่ต้องการความคุ้มค่าทั้งในด้านต้นทุน แพลตฟอร์ม และการบริการลูกค้า
- ค่าคอมมิชชั่น (บัญชี ECN): $6 ต่อล็อต (Round Turn)
- สเปรดเฉลี่ย (EUR/USD): 0.1 pips
- เงินฝากขั้นต่ำ: $50
- หน่วยงานกำกับดูแล: ASIC, VFSC
2. IC Markets – ผู้นำด้านสเปรดดิบ (Raw Spread) และสภาพคล่อง
จุดเด่น: IC Markets ถือเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ ECN ที่แท้จริงที่สุดในโลก โดยมีบัญชี Raw Spread ที่ให้สเปรดเริ่มต้น 0.0 pips จริง ด้วยระบบเชื่อมต่อโดยตรงกับผู้ให้สภาพคล่องหลายราย ทำให้คำสั่งซื้อขายถูกประมวลผลอย่างรวดเร็วและเกิด Slippage น้อย
ข้อดีที่ตรวจสอบได้: ค่าคอมมิชชั่นอยู่ที่ $7 ต่อล็อต (Round Turn) แม้สูงกว่า Moneta Markets แต่เมื่อเทียบกับค่าสเปรดที่แคบมาก ต้นทุนรวมยังถือว่าต่ำมาก ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์มืออาชีพ นักเทรด Scalping และผู้ใช้ EA
เหมาะกับใคร: ผู้ที่เน้นความเร็วในการเทรด สภาพคล่องสูง และต้องการสภาพแวดล้อม ECN ที่แท้จริง
- ค่าคอมมิชชั่น (บัญชี Raw Spread): $7 ต่อล็อต (Round Turn)
- สเปรดเฉลี่ย (EUR/USD): 0.1 pips
- เงินฝากขั้นต่ำ: $200
- หน่วยงานกำกับดูแล: ASIC, CySEC
3. Exness – ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนไทย ฝาก-ถอนสะดวก
จุดเด่น: Exness ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ด้วยจุดแข็งด้านการบริการที่ปรับให้เหมาะกับผู้ใช้ไทย เช่น การฝาก-ถอนผ่านธนาคารในประเทศได้ทันที ไม่ต้องรอหลายวัน และไม่มีค่าธรรมเนียม พร้อมทีมซัพพอร์ตภาษาไทยที่พร้อมช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
ข้อดีที่ตรวจสอบได้: บัญชี Raw Spread และ Zero มีค่าคอมมิชชั่นเริ่มต้นที่ $7 ต่อล็อต (Round Turn) และสเปรดในคู่เงินหลักที่ต่ำ แม้ค่าคอมจะไม่ใช่ที่ต่ำที่สุด แต่ความสะดวกในการใช้งานและการเข้าถึงทำให้ Exness ยังคงเป็นที่เลือกของเทรดเดอร์จำนวนมาก
เหมาะกับใคร: ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกในการทำธุรกรรมและการสื่อสาร
- ค่าคอมมิชชั่น (บัญชี Raw/Zero): เริ่มต้นที่ $7 ต่อล็อต (Round Turn)
- สเปรดเฉลี่ย (EUR/USD): 0.1 pips
- เงินฝากขั้นต่ำ: $10
- หน่วยงานกำกับดูแล: CySEC, FCA
4. XM – ไม่มีค่าคอมมิชชั่น เหมาะสำหรับมือใหม่
จุดเด่น: XM มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเทรดเดอร์มือใหม่ โดยนำเสนอบัญชี Standard ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ทำให้ผู้เริ่มต้นสามารถคำนวณต้นทุนได้ง่ายเพียงแค่ดูที่ค่าสเปรด
ข้อดีที่ตรวจสอบได้: แม้ไม่มีค่าคอมมิชชั่น แต่ค่าสเปรดของ XM ในบัญชี Standard จะอยู่ที่ประมาณ 1.7 pips สำหรับ EUR/USD ซึ่งสูงกว่าโบรกเกอร์ ECN อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม XM ชดเชยด้วยเงินฝากขั้นต่ำเพียง $5 และมีโปรโมชั่นต้อนรับสมาชิกใหม่ที่น่าสนใจ
เหมาะกับใคร: มือใหม่ที่ยังไม่ต้องการซับซ้อนกับการคำนวณค่าคอมมิชชั่น
- ค่าคอมมิชชั่น (บัญชี Standard): $0
- สเปรดเฉลี่ย (EUR/USD): 1.7 pips
- เงินฝากขั้นต่ำ: $5
- หน่วยงานกำกับดูแล: ASIC, CySEC
5. Pepperstone – ค่าคอมต่ำและแพลตฟอร์มหลากหลาย
จุดเด่น: Pepperstone โบรกเกอร์ชั้นนำจากออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงในเรื่องความเร็วในการประมวลผลคำสั่งและต้นทุนการเทรดที่ต่ำ บัญชี Razor ของพวกเขาให้สเปรดเริ่มต้นที่ 0.0 pips และค่าคอมมิชชั่นที่แข่งขันได้
ข้อดีที่ตรวจสอบได้: ค่าคอมมิชชั่นอยู่ที่ประมาณ $7 ต่อล็อต (Round Turn) และมีแพลตฟอร์มให้เลือกหลากหลาย เช่น MT4, MT5, cTrader และ TradingView ซึ่งเป็นที่นิยมของเทรดเดอร์ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง Pepperstone ยังได้รับรางวัลมากมายจากการให้บริการลูกค้าระดับพรีเมียม
เหมาะกับใคร: นักเทรดที่ต้องการความเร็วในการประมวลผลและชื่นชอบแพลตฟอร์มทางเลือก
- ค่าคอมมิชชั่น (บัญชี Razor): ประมาณ $7 ต่อล็อต (Round Turn)
- สเปรดเฉลี่ย (EUR/USD): 0.2 pips
- เงินฝากขั้นต่ำ: $200 (แนะนำ)
- หน่วยงานกำกับดูแล: ASIC, FCA, CySEC

ตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ Forex ค่าคอมต่ำ ปี 2025
โบรกเกอร์ | ค่าคอมมิชชั่น (ต่อล็อต) | สเปรดเฉลี่ย (EUR/USD) | เงินฝากขั้นต่ำ | หน่วยงานกำกับดูแล | แพลตฟอร์ม |
---|---|---|---|---|---|
Moneta Markets | $6 | 0.1 pips | $50 | ASIC, VFSC | MT4, MT5, ProTrader |
IC Markets | $7 | 0.1 pips | $200 | ASIC, CySEC | MT4, MT5, cTrader |
Exness | $7 | 0.1 pips | $10 | CySEC, FCA | MT4, MT5 |
XM | $0 (บัญชี Standard) | 1.7 pips | $5 | ASIC, CySEC | MT4, MT5 |
Pepperstone | $7 | 0.2 pips | $200 | ASIC, FCA, CySEC | MT4, MT5, cTrader |
อย่ามองข้าม! ต้นทุนแฝงอื่นๆ ในการเทรด Forex
ต้นทุนการเทรดไม่ได้มีแค่ค่าคอมมิชชั่นและสเปรดเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอีกหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อผลกำไรของคุณในระยะยาว:
- ค่า Swap (Rollover Fee): คือค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นเมื่อคุณถือออเดอร์ข้ามคืน โดยจะขึ้นอยู่กับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของคู่เงิน หากคุณถือออเดอร์ระยะยาว ค่า Swap อาจสะสมเป็นจำนวนมาก
- ค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอนเงิน: แม้ส่วนใหญ่จะไม่คิดค่าฝาก แต่บางโบรกเกอร์อาจมีค่าธรรมเนียมการถอน หรือธนาคารตัวกลางอาจมีการหักค่าธรรมเนียม ควรตรวจสอบให้ชัดเจน
- ค่าธรรมเนียมบัญชีที่ไม่มีการเคลื่อนไหว (Inactivity Fee): หากคุณไม่ได้ใช้งานบัญชีเกินระยะเวลาที่กำหนด เช่น 90 วัน บางโบรกเกอร์อาจเริ่มเรียกเก็บค่ารักษาบัญชี
- Slippage: คือความคลาดเคลื่อนของราคาที่เกิดขึ้นเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง โบรกเกอร์ที่มีระบบดีและสภาพคล่องสูงจะช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
สรุป: วิธีเลือกโบรกเกอร์ค่าคอมต่ำที่เหมาะกับคุณที่สุดในประเทศไทย
การเลือกโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ดีที่สุดในปี 2025 ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบด้าน Moneta Markets คือตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ ด้วยค่าคอมมิชชั่นที่ต่ำเพียง $6 ต่อล็อตในบัญชี ECN, แพลตฟอร์มที่ทันสมัย และการสนับสนุนที่เข้าใจนักเทรดไทย
อย่างไรก็ตาม คำตอบของ “ดีที่สุด” ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ หากเน้นความเร็วและสภาพคล่องสูง IC Markets หรือ Pepperstone อาจเหมาะสมกว่า ถ้าให้ความสำคัญกับความสะดวกในการฝาก-ถอน Exness ยังคงเป็นตัวเลือกชั้นนำ และสำหรับมือใหม่ XM ก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
สุดท้าย อย่าลืมว่าค่าคอมมิชชั่นต่ำเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ตัวชี้วัดทั้งหมด ควรพิจารณาทั้งความน่าเชื่อถือ แพลตฟอร์ม บริการลูกค้า และต้นทุนแฝงอื่นๆ เพื่อให้คุณได้โบรกเกอร์ที่เหมาะกับเป้าหมายและสไตล์การเทรดของคุณมากที่สุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
บัญชี ECN กับบัญชี Standard แบบไหนดีกว่ากันสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่?
สำหรับมือใหม่ บัญชี Standard อาจเริ่มต้นได้ง่ายกว่าเพราะไม่มีค่าคอมมิชชั่นให้คำนวณ ทำให้เข้าใจต้นทุนได้ง่าย (มีแค่ค่าสเปรด) แต่เมื่อเทรดไปสักพักและต้องการลดต้นทุนการเทรดในระยะยาว การเปลี่ยนไปใช้บัญชี ECN จะคุ้มค่ากว่ามาก เพราะต้นทุนรวม (สเปรด + คอมมิชชั่น) มักจะต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
โบรกเกอร์ Forex ที่มีค่าคอมมิชชั่นเป็นศูนย์ (Zero Commission) ดีจริงหรือไม่?
ดีจริงในแง่ของความเรียบง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีต้นทุน โบรกเกอร์เหล่านี้จะชดเชยรายได้ด้วยการคิดค่าสเปรดที่กว้างขึ้น ดังนั้น คุณต้องเปรียบเทียบ “ต้นทุนรวม” เสมอ ในหลายกรณี การจ่ายค่าคอมมิชชั่นในบัญชี ECN ที่มีสเปรดแคบมากอาจมีต้นทุนรวมที่ถูกกว่าบัญชี Zero Commission
มีโบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับการรับรองจาก กลต. ของประเทศไทยโดยตรงหรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์รายย่อย (Retail Forex Broker) ที่ได้รับใบอนุญาตโดยตรงจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ของประเทศไทย เทรดเดอร์ในไทยจึงนิยมเลือกใช้บริการโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือระดับโลก เช่น ASIC (ออสเตรเลีย) หรือ FCA (อังกฤษ) ซึ่งให้ความคุ้มครองเงินทุนของลูกค้าในระดับสูง
โบรกเกอร์ไหนมีค่าคอมมิชชั่นและสเปรดทองคำ (XAU/USD) ต่ำที่สุด?
การเทรดทองคำ (XAU/USD) เป็นที่นิยมมาก โบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำสำหรับสินทรัพย์นี้มักเป็นกลุ่ม ECN เช่นกัน จากการตรวจสอบ Moneta Markets และ IC Markets ถือเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งมาก โดยมีสเปรดทองคำที่แคบและสภาพคล่องสูง ทำให้ต้นทุนการเทรดทองคำโดยรวมต่ำ เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นเทรดทองคำเป็นหลัก
ค่าคอมมิชชั่นในการเทรด Forex คำนวณอย่างไร?
ค่าคอมมิชชั่นมักจะระบุเป็น “ต่อล็อต” และ “ต่อฝั่ง” หรือ “ไป-กลับ (Round Turn)” ตัวอย่างเช่น:
- ถ้าโบรกเกอร์ระบุว่า $3 ต่อล็อตต่อฝั่ง หมายความว่าคุณจะเสีย $3 ตอนเปิดออเดอร์ และอีก $3 ตอนปิดออเดอร์ รวมเป็น $6 ต่อล็อต (Round Turn)
- ถ้าโบรกเกอร์ระบุว่า $6 ต่อล็อต Round Turn ก็มีความหมายเดียวกัน คือเสียทั้งหมด $6 สำหรับการเทรดครบวงจร (เปิดและปิด) 1 ล็อต
โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือที่สุดในปี 2025 สำหรับคนไทยคือใคร?
ความน่าเชื่อถือขึ้นอยู่กับใบอนุญาตกำกับดูแลเป็นหลัก โบรกเกอร์ที่อยู่ในลิสต์นี้ เช่น Moneta Markets, IC Markets, และ Pepperstone ล้วนอยู่ภายใต้การกำกับของ ASIC ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่เข้มงวดที่สุดในโลก ทำให้มีความน่าเชื่อถือสูงมาก นอกจากนี้ การมีทีมซัพพอร์ตภาษาไทยและช่องทางฝากถอนที่สะดวกยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจสำหรับเทรดเดอร์ในประเทศไทย