โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มี Margin Call ชัดเจน: ทำไมการเลือกที่เหมาะสมจึงสำคัญในปี 2025

ทำไมความชัดเจนของ Margin Call จึงสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ Forex ในประเทศไทย ปี 2025

ในปี 2025 การซื้อขายฟอเร็กซ์ในประเทศไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นของตลาดการเงินไร้พรมแดน อย่างไรก็ตาม โอกาสในการทำกำไรย่อมมาคู่กับความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงที่หลาย ๆ คนอาจมองข้าม แต่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพอร์ตการลงทุน หนึ่งในนั้นคือสถานการณ์ที่เรียกว่า “Margin Call” และ “Stop Out”

สำหรับนักเทรดมือใหม่หรือแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ การเข้าใจนโยบายของโบรกเกอร์เกี่ยวกับ Margin Call ถือเป็นก้าวแรกของกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ หากโบรกเกอร์มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอย่างลับ ๆ หรือไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา สิ่งนี้อาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนได้ทันที โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนสูง เช่น ช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือเหตุการณ์โลกที่กระทบค่าเงิน

ตัวอย่างเช่น คุณอาจตั้งค่าออเดอร์ไว้ข้ามคืน โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับตัวในเช้าวันถัดไป แต่หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางอย่างรุนแรง และไม่มีการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เนื่องจากระดับ Margin Call ไม่ชัดเจน คุณอาจตื่นมาพร้อมกับพอร์ตที่ถูกล้างเกือบหมด หรือถึงขั้นต้องจ่ายเพิ่มหากไม่มีนโยบายป้องกันยอดติดลบ (Negative Balance Protection) ดังนั้น ความโปร่งใสในเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ “ข้อดี” แต่เป็น “ข้อบังคับพื้นฐาน” สำหรับการเลือกโบรกเกอร์ในปัจจุบัน

Margin Call vs. Stop Out Level: สิ่งที่เทรดเดอร์ไทยต้องรู้

ภาพประกอบแสดงความแตกต่างระหว่าง Margin Call และ Stop Out ในการเทรดฟอเร็กซ์

แม้จะเป็นคำศัพท์ที่พบบ่อยในวงการเทรด แต่ยังมีผู้เริ่มต้นจำนวนมากที่ยังสับสนระหว่าง “Margin Call” และ “Stop Out” ทั้งสองคำนี้แม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่เป็นกระบวนการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และเข้าใจผิดแล้วอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในสถานการณ์จริง

Margin Call คือ “สัญญาณเตือนภัย” จากโบรกเกอร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระดับมาร์จิ้น (Margin Level) ของบัญชีคุณลดลงไปถึงจุดที่กำหนด ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์ตั้งไว้ที่ 80% เมื่อเงินทุนคุณเหลือเพียง 80% ของมาร์จิ้นที่ต้องใช้ ระบบจะส่งการแจ้งเตือนผ่านอีเมล หรือหน้าจอเทรด เพื่อเตือนให้คุณเพิ่มเงิน (Deposit) หรือปิดบางออเดอร์เพื่อเพิ่ม Free Margin กลับขึ้นมา ตรงนี้ถือเป็น “โอกาสสุดท้าย” ที่คุณยังควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง

Stop Out Level คือ “ขั้นตอนสุดท้าย” ที่เกิดขึ้นเมื่อระดับมาร์จิ้นของคุณลดลงต่ำกว่าจุดที่กำหนดอีกครั้ง เช่น ถึง 50% หรือ 30% ณ จุดนี้ โบรกเกอร์จะเริ่มดำเนินการปิดออเดอร์ของคุณเองโดยอัตโนมัติ โดยมักเริ่มจากออเดอร์ที่ขาดทุนมากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้คุณมีหนี้ติดลบกับโบรกเกอร์ ซึ่งกระบวนการนี้ถูกเรียกว่า “ล้างพอร์ต” หรือ “บังคับปิด”

ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ: สมมุติคุณเทรด EUR/USD ด้วยเลเวอเรจ 1:100 และใช้ มาร์จิ้น 1,000 บาท โบรกเกอร์กำหนด Margin Call ที่ 80% และ Stop Out ที่ 50% หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง ทำให้มูลค่าพอร์ตคุณลดลงจน Free Margin เหลือเพียง 800 บาท (หรือ 80%) คุณจะได้รับ “สัญญาณเตือน” หากไม่ดำเนินการใด ๆ และความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกจนเหลือ 500 บาท (50%) ระบบจะเริ่ม “บังคับขาย” ทันที โดยไม่รอให้คุณตอบสนอง

จัดอันดับ 5 โบรกเกอร์ Forex ที่มีนโยบาย Margin Call ชัดเจนที่สุดในประเทศไทย ปี 2025

ในยุคที่ข้อมูลสำคัญต้องเข้าถึงได้ทันที การเลือกโบรกเกอร์จึงไม่ควรตัดสินจากแค่ค่าสเปรดต่ำ หรือโบนัสดึงดูดเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงความโปร่งใสในนโยบายความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Margin Call และ Stop Out ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจะเจอเมื่อตลาดไม่เป็นใจ

เราได้ทำการวิเคราะห์โบรกเกอร์ชั้นนำที่เปิดให้บริการในประเทศไทย โดยพิจารณาจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ความชัดเจนของนโยบายที่ระบุในเอกสารอย่างเป็นทางการ, ช่วงเวลาให้ตัดสินใจระหว่าง Margin Call กับ Stop Out, ระบบการแจ้งเตือน และการรองรับนักเทรดชาวไทย ทั้งในด้านภาษา การฝาก-ถอน และการบริการลูกค้า

1. Moneta Markets

Moneta Markets กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักเทรดชาวไทย ไม่ใช่เพียงเพราะการตลาดที่โดดเด่น แต่เพราะมีพื้นฐานที่มั่นคงและเน้นความโปร่งใสในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนโยบายมาร์จิ้น

  • นโยบาย Margin Call และ Stop Out: กำหนดระดับ Margin Call ที่ 80% และ Stop Out ที่ 50% ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่สมดุลที่สุดเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น ๆ คุณจะได้รับแจ้งเตือนเร็วพอสมควร และมีเวลาในการประเมินสถานการณ์อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงจุด Stop Out
  • ความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้: ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ถูกซ่อนไว้ในส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่ระบุชัดเจนในหน้า Legal Documents และ Risk Disclosure บนเว็บไซต์อย่างเปิดเผย นักเทรดสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ ทั้งยังมีเครื่องมือคำนวณมาร์จิ้นที่แม่นยำ ช่วยให้คุณวางแผนได้ล่วงหน้า
  • จุดเด่นเฉพาะสำหรับคนไทย: รองรับการฝาก-ถอนผ่านธนาคารในประเทศไทย เช่น กสิกร, กรุงไทย, สกิลวอลเล็ต ฯลฯ ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที แพลตฟอร์ม Pro Trader ที่พัฒนาร่วมกับ TradingView มีหน้าตาทันสมัย ใช้งานง่าย และเสถียรสูง เหมาะกับทั้งมือใหม่และผู้ใช้ขั้นสูง ที่สำคัญคือมีทีม Support ภาษาไทยที่ตอบเร็วและมีประสิทธิภาพ

2. Exness

Exness ยังคงยืนหนึ่งในใจของเทรดเดอร์ไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยจุดเด่นด้านความเร็วในการถอนเงิน และการให้เลเวอเรจที่สูงมาก ซึ่งเหมาะกับนักเทรดที่ต้องการยืดหยุ่นสูง

  • ระดับ Margin Call/Stop Out: โดยทั่วไปสำหรับบัญชี Standard ระบบจะมี Margin Call ที่ 60% และ Stop Out ที่ 0% นั่นหมายความว่าระบบจะไม่ปิดออเดอร์ทันทีที่ถึงจุดเตือน แต่จะรอจนกว่ามาร์จิ้นจะหมดเกลี้ยงก่อนจึงดำเนินการ ความหมายคือ “ใช้เงินทุนจนถึงหยดสุดท้าย” ซึ่งอาจดึงดูดใจนักเทรดที่ต้องการ “ใช้โอกาสรอบสุดท้าย”
  • ข้อดีอื่น ๆ: รองรับการฝากผ่านพร้อมเพย์, มีบัญชี Cent สำหรับผู้เริ่มต้น, ฝ่ายบริการลูกค้าพูดภาษาไทยตลอด 24 ชั่วโมง และมีรีวิวในชุมชนไทยมากที่สุดเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น

3. XM

XM เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่มีประวัติการดำเนินงานยาวนานที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ใช้งานที่มาก และการจัดสัมมนาให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังคงเป็นที่น่าเชื่อถือสำหรับนักเทรดหลายกลุ่ม

  • ระดับ Margin Call/Stop Out: XM กำหนด Margin Call ที่ 50% และ Stop Out ที่ 20% ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับมาตรฐาน นั่นหมายความว่า คุณจะได้รับแจ้งเตือนเร็วค่อนข้างช้า และมีเวลาในการตอบสนองน้อยลง จึงเหมาะกับนักเทรดที่มีประสบการณ์สูง และสามารถตัดสินใจได้ทันที
  • ข้อดี: มีใบอนุญาตจาก ASIC (ออสเตรเลีย) และ CySEC (ไซปรัส) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำ มีบัญชีหลากหลายให้เลือก ตั้งแต่ Zero, Standard, Micro พร้อมโบนัสต้อนรับที่น่าสนใจ และเนื้อหาการเรียนรู้ที่เข้าถึงง่ายในภาษาไทย

4. IUX Markets

เป็นโบรกเกอร์ที่เพิ่งเข้าตลาดไทยไม่นาน แต่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดแข็งด้านสเปรดต่ำและโบนัสดึงดูดใจ

  • ระดับ Margin Call/Stop Out: โดยทั่วไปจะมี Margin Call ที่ 50% และ Stop Out ที่ 30% ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรม ช่วยให้เกิดสมดุลระหว่างการใช้มาร์จิ้นอย่างเต็มที่ กับการมีระยะห่างก่อนถูกบังคับปิด
  • ข้อดี: เปิดบัญชีง่าย ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที, รองรับการฝาก-ถอนผ่าน QR Code ได้โดยตรง, มีโบนัสเงินฝากสูงถึง 50% สำหรับลูกค้าใหม่ และมีโปรโมชั่นแข่งขันเทรดบ่อยครั้ง

5. Pepperstone

Pepperstone เป็นโบรกเกอร์ที่มีรากฐานจากออสเตรเลีย โดดเด่นจากระบบการดำเนินการที่รวดเร็ว (Execution Speed) และการให้บริการกับเทรดเดอร์ระดับมืออาชีพ

  • ระดับ Margin Call/Stop Out: ตั้ง Margin Call ที่ 90% และ Stop Out ที่ 50% ซึ่งถือว่าค่อนข้าง “อนุรักษ์นิยม” โดยจุดนี้ถือเป็นจุดที่เหมาะสมกับนักเทรดที่ไม่ต้องการความเสี่ยง หรือต้องการถูกเตือนเร็วที่สุดก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง
  • ข้อดี: ได้รับการกำกับดูแลโดย ASIC และ FCA (สหราชอาณาจักร) อันเป็นสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อถือระดับโลก รองรับแพลตฟอร์มครบถ้วนทั้ง MT4, MT5 และ cTrader ซึ่งเหมาะกับนักเทรดที่ใช้ EA (Expert Advisor) หรือต้องการวิเคราะห์ขั้นสูง
ภาพประกอบแสดงกราฟิกของระดับ Margin Call และ Stop Out บนแพลตฟอร์มเทรดฟอเร็กซ์

ตารางเปรียบเทียบนโยบาย Margin Call และ Stop Out ของโบรกเกอร์ชั้นนำ ปี 2025

เพื่อให้คุณเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจง่าย เรารวบรวมนโยบายสำคัญของแต่ละโบรกเกอร์มาไว้ในตารางนี้ พร้อมข้อมูลใบอนุญาตและจุดแข็งที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดชาวไทย

ชื่อโบรกเกอร์ ระดับ Margin Call (%) ระดับ Stop Out (%) ใบอนุญาต จุดเด่น
Moneta Markets 80% 50% ASIC, FSCA ช่วงห่างระหว่างเตือนกับบังคับปิดกว้าง ซื้อขายผ่านธนาคารไทยได้เร็ว
Exness 60% 0% FCA, CySEC Stop Out ที่ 0% ใช้มาร์จิ้นจนถึงจุดสุดท้าย, รองรับพร้อมเพย์
Pepperstone 90% 50% ASIC, FCA เตือนเร็ว, การดำเนินคำสั่งเร็ว, รองรับ cTrader
XM 50% 20% ASIC, CySEC เหมาะกับนักเทรดที่รับความเสี่ยงสูง, มีสัมมนาให้ความรู้
IUX Markets 50% 30% SVGFSA สเปรดต่ำ, โบนัสน่าสนใจ, ใช้ QR Code ได้

3 ขั้นตอนตรวจสอบนโยบาย Margin Call ของโบรกเกอร์ด้วยตัวเอง

อย่าเชื่อแค่จากโฆษณา หรือรีวิวในโซเชียลมีเดียเท่านั้น ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดคือข้อมูลที่คุณ “ตรวจสอบด้วยตัวเอง” ก่อนเปิดบัญชีจริง นี่คือขั้นตอนที่ควรทำเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

  1. ค้นหาในเอกสารอย่างเป็นทางการ: เข้าไปที่เว็บไซต์ของโบรกเกอร์ แล้วมองหาหน้า Terms & Conditions, Risk Disclosure, หรือ Trader’s Guide ข้อมูลจริง ๆ มักจะอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ในหน้าโปรโมชั่น หากคุณหาไม่เจอ แสดงว่าโบรกเกอร์อาจไม่โปร่งใส
  2. ใช้หน้าช่วยเหลือ (Help Center) ค้นหาคำว่า “Margin”: โบรกเกอร์ที่ดีจะมี FAQ ที่ครอบคลุม และอธิบายเรื่องมาร์จิ้นอย่างละเอียด คุณสามารถใช้ช่องค้นหาพิมพ์คำว่า “Margin Call” หรือ “Stop Out” เพื่อดูคำอธิบาย
  3. ติดต่อ Support ด้วยคำถามเฉพาะเจาะจง: ส่งข้อความผ่าน Live Chat หรืออีเมล ถามตรง ๆ ว่า “ระดับ Margin Call และ Stop Out ของบัญชี Standard คือเท่าไร?” และขอคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษร วิธีนี้ช่วยให้คุณเก็บหลักฐานไว้ในกรณีที่มีข้อพิพาทในอนาคต

สรุป: การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Margin Call ชัดเจนคือหัวใจของการเทรดอย่างยั่งยืนในประเทศไทย

การเผชิญหน้ากับ Margin Call เป็นเรื่องปกติในชีวิตเทรดเดอร์ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ตลาดได้แม่นยำ 100% แต่สิ่งที่ทำให้คุณอยู่รอดคือ “เวลา” และ “ข้อมูลที่ชัดเจน” โบรกเกอร์ที่มีนโยบายโปร่งใสจะให้ทั้งสองสิ่งนี้กับคุณ

การเลือกโบรกเกอร์ไม่ควรเป็นแค่การเปรียบเทียบค่าคอมมิชชั่นหรือโบนัส แต่ต้องมองลึกลงไปถึงระบบการจัดการความเสี่ยง เพราะนี่คือสิ่งที่จะ “ปกป้องเงินทุน” ของคุณเมื่อตลาดพลิกผัน

จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ พบว่า Moneta Markets เด่นชัดที่สุดในปี 2025 สำหรับนักเทรดชาวไทย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการใช้มาร์จิ้นอย่างยืดหยุ่น นโยบายที่ 80%/50% ช่วยให้มีระยะห่างระหว่างการเตือนและการบังคับปิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงตลาดวุ่นวาย บวกกับการมีทีม Support ภาษาไทย การฝาก-ถอนที่รวดเร็ว และการกำกับดูแลจาก ASIC ทำให้ Moneta Markets เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าเชื่อถือและคุ้มค่าที่สุดในปัจจุบัน

การเลือกพันธมิตรที่โปร่งใส ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวก แต่คือการลงทุนในความมั่นคงของตัวคุณเอง การเริ่มต้นอย่างถูกต้อง คือก้าวแรกสู่ความสำเร็จในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือในไทย ปี 2025 ดูจากอะไร?

การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือควรพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน:

  • ใบอนุญาต (Regulation): ต้องได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น ASIC, FCA, CySEC
  • ความโปร่งใส: นโยบายต่างๆ โดยเฉพาะ Margin Call, Stop Out, ค่าธรรมเนียม และสเปรดต้องระบุชัดเจน
  • การฝาก-ถอน: ต้องสะดวก รวดเร็ว และรองรับธนาคารในประเทศไทย
  • ฝ่ายบริการลูกค้า: ควรมีบริการซัพพอร์ตภาษาไทยที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ
  • ชื่อเสียงและความมั่นคง: โบรกเกอร์ที่ดำเนินงานมานานและมีรีวิวที่ดีย่อมมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า โบรกเกอร์อย่าง Moneta Markets เป็นตัวอย่างที่ดีที่มีครบทั้งใบอนุญาตที่น่าเชื่อถือ นโยบายที่โปร่งใส และการบริการที่เหมาะกับคนไทย

ระดับ Margin Call เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าดี?

ไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าระดับเท่าไหร่ดีที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้

  • ระดับสูง (เช่น 90%-100%): ดีในแง่ของการเตือนที่รวดเร็ว เหมาะกับเทรดเดอร์สายอนุรักษ์นิยม
  • ระดับปานกลาง (เช่น 80%): ถือเป็นจุดสมดุลที่ดี ให้เวลาเทรดเดอร์ในการจัดการสถานะโดยไม่กระชั้นชิดเกินไป เช่น นโยบายของ Moneta Markets
  • ระดับต่ำ (เช่น 50%-60%): เหมาะกับเทรดเดอร์สายเสี่ยงที่ต้องการใช้มาร์จิ้นให้คุ้มค่าที่สุด แต่อาจมีเวลาตัดสินใจน้อยลงเมื่อได้รับการแจ้งเตือน

เราสามารถเปลี่ยนแปลงระดับ Stop Out ของบัญชีเราได้หรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระดับ Stop Out ที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ได้ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการบริหารความเสี่ยงของโบรกเกอร์เพื่อป้องกันลูกค้าและตัวโบรกเกอร์เอง ระดับนี้จะถูกตั้งค่าไว้ตามประเภทบัญชีที่คุณเลือกตั้งแต่แรก

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเงินในบัญชีติดลบหลังโดน Stop Out? (Negative Balance Protection)

โบรกเกอร์ชั้นนำส่วนใหญ่จะมีนโยบาย “ป้องกันบัญชีติดลบ” (Negative Balance Protection) ซึ่งเป็นข้อบังคับในเขตอำนาจศาลบางแห่งเช่น สหภาพยุโรป ภายใต้การกำกับของ ESMA นโยบายนี้หมายความว่าหากตลาดผันผวนรุนแรงจน Stop Out ทำงานไม่ทัน และทำให้ยอดเงินในบัญชีของคุณติดลบ โบรกเกอร์จะทำการปรับยอดเงินของคุณให้กลับมาเป็นศูนย์โดยที่คุณไม่ต้องรับผิดชอบส่วนที่ติดลบนั้น โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในลิสต์นี้รวมถึง Moneta Markets มีนโยบายนี้เพื่อคุ้มครองลูกค้า

โบรกเกอร์ Forex ที่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ของไทยโดยตรงมีหรือไม่?

ณ ปัจจุบัน (ปี 2025) ยังไม่มีโบรกเกอร์ Forex รายย่อย (Retail Forex Broker) ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของประเทศไทยโดยตรง เทรดเดอร์ไทยส่วนใหญ่จึงเลือกใช้บริการโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือในระดับสากลแทน

จะหลีกเลี่ยง Margin Call ได้อย่างไร?

วิธีที่ดีที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย:

  1. ใช้เลเวอเรจอย่างเหมาะสม: อย่าใช้เลเวอเรจสูงเกินความจำเป็น
  2. กำหนด Stop Loss ทุกครั้ง: ตั้งจุดตัดขาดทุนเพื่อจำกัดความเสียหายในแต่ละออเดอร์
  3. ไม่ Overtrade: อย่าเปิดออเดอร์มากเกินไปจนใช้มาร์จิ้นจนเกือบหมด
  4. ตรวจสอบ Free Margin เสมอ: คอยดูระดับมาร์จิ้นของคุณอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่มีข่าวสำคัญ
  5. ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม: ทำความเข้าใจว่า Margin Call ทำงานอย่างไรจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น Investopedia

เลเวอเรจ (Leverage) ส่งผลต่อ Margin Call อย่างไร?

เลเวอเรจเป็นดาบสองคม ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง คุณจะใช้มาร์จิ้น (Required Margin) ในการเปิดออเดอร์น้อยลง ทำให้มี Free Margin เหลือเยอะขึ้นในการเปิดออเดอร์เพิ่มหรือทนทานต่อการขาดทุนได้มากขึ้นในตอนแรก แต่ในทางกลับกัน การใช้เลเวอเรจสูงก็หมายความว่าการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยจะส่งผลกระทบต่อ Equity ของคุณอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ Margin Level ลดลงไปถึงจุด Margin Call หรือ Stop Out ได้เร็วขึ้นมากหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง

โบรกเกอร์ที่มี Margin Call 0% หมายความว่าอย่างไร?

โบรกเกอร์ที่มี Margin Call 0% หรือไม่มี Margin Call เลย (มีแต่ Stop Out) หมายความว่าโบรกเกอร์จะไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนที่ออเดอร์จะถูกบังคับปิด ระบบจะดำเนินการ Stop Out ทันทีเมื่อ Margin Level ลดลงถึงระดับที่กำหนด (เช่น Stop Out ที่ 20%) ซึ่งอาจไม่เหมาะกับมือใหม่เพราะไม่มีสัญญาณเตือนให้เตรียมตัวจัดการกับสถานะของตนเอง

Leave a Reply