ทำไมความชัดเจนของ Margin Call จึงสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ Forex ในประเทศไทย ปี 2025
ในปี 2025 การซื้อขายฟอเร็กซ์ในประเทศไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นของตลาดการเงินไร้พรมแดน อย่างไรก็ตาม โอกาสในการทำกำไรย่อมมาคู่กับความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงที่หลาย ๆ คนอาจมองข้าม แต่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพอร์ตการลงทุน หนึ่งในนั้นคือสถานการณ์ที่เรียกว่า “Margin Call” และ “Stop Out”
สำหรับนักเทรดมือใหม่หรือแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ การเข้าใจนโยบายของโบรกเกอร์เกี่ยวกับ Margin Call ถือเป็นก้าวแรกของกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ หากโบรกเกอร์มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอย่างลับ ๆ หรือไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา สิ่งนี้อาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนได้ทันที โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนสูง เช่น ช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือเหตุการณ์โลกที่กระทบค่าเงิน
ตัวอย่างเช่น คุณอาจตั้งค่าออเดอร์ไว้ข้ามคืน โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับตัวในเช้าวันถัดไป แต่หากราคาเคลื่อนไหวสวนทางอย่างรุนแรง และไม่มีการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เนื่องจากระดับ Margin Call ไม่ชัดเจน คุณอาจตื่นมาพร้อมกับพอร์ตที่ถูกล้างเกือบหมด หรือถึงขั้นต้องจ่ายเพิ่มหากไม่มีนโยบายป้องกันยอดติดลบ (Negative Balance Protection) ดังนั้น ความโปร่งใสในเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ “ข้อดี” แต่เป็น “ข้อบังคับพื้นฐาน” สำหรับการเลือกโบรกเกอร์ในปัจจุบัน
Margin Call vs. Stop Out Level: สิ่งที่เทรดเดอร์ไทยต้องรู้

แม้จะเป็นคำศัพท์ที่พบบ่อยในวงการเทรด แต่ยังมีผู้เริ่มต้นจำนวนมากที่ยังสับสนระหว่าง “Margin Call” และ “Stop Out” ทั้งสองคำนี้แม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่เป็นกระบวนการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และเข้าใจผิดแล้วอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในสถานการณ์จริง
Margin Call คือ “สัญญาณเตือนภัย” จากโบรกเกอร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระดับมาร์จิ้น (Margin Level) ของบัญชีคุณลดลงไปถึงจุดที่กำหนด ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์ตั้งไว้ที่ 80% เมื่อเงินทุนคุณเหลือเพียง 80% ของมาร์จิ้นที่ต้องใช้ ระบบจะส่งการแจ้งเตือนผ่านอีเมล หรือหน้าจอเทรด เพื่อเตือนให้คุณเพิ่มเงิน (Deposit) หรือปิดบางออเดอร์เพื่อเพิ่ม Free Margin กลับขึ้นมา ตรงนี้ถือเป็น “โอกาสสุดท้าย” ที่คุณยังควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง
Stop Out Level คือ “ขั้นตอนสุดท้าย” ที่เกิดขึ้นเมื่อระดับมาร์จิ้นของคุณลดลงต่ำกว่าจุดที่กำหนดอีกครั้ง เช่น ถึง 50% หรือ 30% ณ จุดนี้ โบรกเกอร์จะเริ่มดำเนินการปิดออเดอร์ของคุณเองโดยอัตโนมัติ โดยมักเริ่มจากออเดอร์ที่ขาดทุนมากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้คุณมีหนี้ติดลบกับโบรกเกอร์ ซึ่งกระบวนการนี้ถูกเรียกว่า “ล้างพอร์ต” หรือ “บังคับปิด”
ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ: สมมุติคุณเทรด EUR/USD ด้วยเลเวอเรจ 1:100 และใช้ มาร์จิ้น 1,000 บาท โบรกเกอร์กำหนด Margin Call ที่ 80% และ Stop Out ที่ 50% หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง ทำให้มูลค่าพอร์ตคุณลดลงจน Free Margin เหลือเพียง 800 บาท (หรือ 80%) คุณจะได้รับ “สัญญาณเตือน” หากไม่ดำเนินการใด ๆ และความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกจนเหลือ 500 บาท (50%) ระบบจะเริ่ม “บังคับขาย” ทันที โดยไม่รอให้คุณตอบสนอง
จัดอันดับ 5 โบรกเกอร์ Forex ที่มีนโยบาย Margin Call ชัดเจนที่สุดในประเทศไทย ปี 2025
ในยุคที่ข้อมูลสำคัญต้องเข้าถึงได้ทันที การเลือกโบรกเกอร์จึงไม่ควรตัดสินจากแค่ค่าสเปรดต่ำ หรือโบนัสดึงดูดเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงความโปร่งใสในนโยบายความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Margin Call และ Stop Out ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจะเจอเมื่อตลาดไม่เป็นใจ
เราได้ทำการวิเคราะห์โบรกเกอร์ชั้นนำที่เปิดให้บริการในประเทศไทย โดยพิจารณาจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ความชัดเจนของนโยบายที่ระบุในเอกสารอย่างเป็นทางการ, ช่วงเวลาให้ตัดสินใจระหว่าง Margin Call กับ Stop Out, ระบบการแจ้งเตือน และการรองรับนักเทรดชาวไทย ทั้งในด้านภาษา การฝาก-ถอน และการบริการลูกค้า
1. Moneta Markets
Moneta Markets กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักเทรดชาวไทย ไม่ใช่เพียงเพราะการตลาดที่โดดเด่น แต่เพราะมีพื้นฐานที่มั่นคงและเน้นความโปร่งใสในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนโยบายมาร์จิ้น
- นโยบาย Margin Call และ Stop Out: กำหนดระดับ Margin Call ที่ 80% และ Stop Out ที่ 50% ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่สมดุลที่สุดเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น ๆ คุณจะได้รับแจ้งเตือนเร็วพอสมควร และมีเวลาในการประเมินสถานการณ์อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงจุด Stop Out
- ความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้: ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ถูกซ่อนไว้ในส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่ระบุชัดเจนในหน้า Legal Documents และ Risk Disclosure บนเว็บไซต์อย่างเปิดเผย นักเทรดสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ ทั้งยังมีเครื่องมือคำนวณมาร์จิ้นที่แม่นยำ ช่วยให้คุณวางแผนได้ล่วงหน้า
- จุดเด่นเฉพาะสำหรับคนไทย: รองรับการฝาก-ถอนผ่านธนาคารในประเทศไทย เช่น กสิกร, กรุงไทย, สกิลวอลเล็ต ฯลฯ ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที แพลตฟอร์ม Pro Trader ที่พัฒนาร่วมกับ TradingView มีหน้าตาทันสมัย ใช้งานง่าย และเสถียรสูง เหมาะกับทั้งมือใหม่และผู้ใช้ขั้นสูง ที่สำคัญคือมีทีม Support ภาษาไทยที่ตอบเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. Exness
Exness ยังคงยืนหนึ่งในใจของเทรดเดอร์ไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยจุดเด่นด้านความเร็วในการถอนเงิน และการให้เลเวอเรจที่สูงมาก ซึ่งเหมาะกับนักเทรดที่ต้องการยืดหยุ่นสูง
- ระดับ Margin Call/Stop Out: โดยทั่วไปสำหรับบัญชี Standard ระบบจะมี Margin Call ที่ 60% และ Stop Out ที่ 0% นั่นหมายความว่าระบบจะไม่ปิดออเดอร์ทันทีที่ถึงจุดเตือน แต่จะรอจนกว่ามาร์จิ้นจะหมดเกลี้ยงก่อนจึงดำเนินการ ความหมายคือ “ใช้เงินทุนจนถึงหยดสุดท้าย” ซึ่งอาจดึงดูดใจนักเทรดที่ต้องการ “ใช้โอกาสรอบสุดท้าย”
- ข้อดีอื่น ๆ: รองรับการฝากผ่านพร้อมเพย์, มีบัญชี Cent สำหรับผู้เริ่มต้น, ฝ่ายบริการลูกค้าพูดภาษาไทยตลอด 24 ชั่วโมง และมีรีวิวในชุมชนไทยมากที่สุดเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น
3. XM
XM เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่มีประวัติการดำเนินงานยาวนานที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้ใช้งานที่มาก และการจัดสัมมนาให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังคงเป็นที่น่าเชื่อถือสำหรับนักเทรดหลายกลุ่ม
- ระดับ Margin Call/Stop Out: XM กำหนด Margin Call ที่ 50% และ Stop Out ที่ 20% ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับมาตรฐาน นั่นหมายความว่า คุณจะได้รับแจ้งเตือนเร็วค่อนข้างช้า และมีเวลาในการตอบสนองน้อยลง จึงเหมาะกับนักเทรดที่มีประสบการณ์สูง และสามารถตัดสินใจได้ทันที
- ข้อดี: มีใบอนุญาตจาก ASIC (ออสเตรเลีย) และ CySEC (ไซปรัส) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำ มีบัญชีหลากหลายให้เลือก ตั้งแต่ Zero, Standard, Micro พร้อมโบนัสต้อนรับที่น่าสนใจ และเนื้อหาการเรียนรู้ที่เข้าถึงง่ายในภาษาไทย
4. IUX Markets
เป็นโบรกเกอร์ที่เพิ่งเข้าตลาดไทยไม่นาน แต่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดแข็งด้านสเปรดต่ำและโบนัสดึงดูดใจ
- ระดับ Margin Call/Stop Out: โดยทั่วไปจะมี Margin Call ที่ 50% และ Stop Out ที่ 30% ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานที่พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรม ช่วยให้เกิดสมดุลระหว่างการใช้มาร์จิ้นอย่างเต็มที่ กับการมีระยะห่างก่อนถูกบังคับปิด
- ข้อดี: เปิดบัญชีง่าย ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที, รองรับการฝาก-ถอนผ่าน QR Code ได้โดยตรง, มีโบนัสเงินฝากสูงถึง 50% สำหรับลูกค้าใหม่ และมีโปรโมชั่นแข่งขันเทรดบ่อยครั้ง
5. Pepperstone
Pepperstone เป็นโบรกเกอร์ที่มีรากฐานจากออสเตรเลีย โดดเด่นจากระบบการดำเนินการที่รวดเร็ว (Execution Speed) และการให้บริการกับเทรดเดอร์ระดับมืออาชีพ
- ระดับ Margin Call/Stop Out: ตั้ง Margin Call ที่ 90% และ Stop Out ที่ 50% ซึ่งถือว่าค่อนข้าง “อนุรักษ์นิยม” โดยจุดนี้ถือเป็นจุดที่เหมาะสมกับนักเทรดที่ไม่ต้องการความเสี่ยง หรือต้องการถูกเตือนเร็วที่สุดก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง
- ข้อดี: ได้รับการกำกับดูแลโดย ASIC และ FCA (สหราชอาณาจักร) อันเป็นสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อถือระดับโลก รองรับแพลตฟอร์มครบถ้วนทั้ง MT4, MT5 และ cTrader ซึ่งเหมาะกับนักเทรดที่ใช้ EA (Expert Advisor) หรือต้องการวิเคราะห์ขั้นสูง

ตารางเปรียบเทียบนโยบาย Margin Call และ Stop Out ของโบรกเกอร์ชั้นนำ ปี 2025
เพื่อให้คุณเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจง่าย เรารวบรวมนโยบายสำคัญของแต่ละโบรกเกอร์มาไว้ในตารางนี้ พร้อมข้อมูลใบอนุญาตและจุดแข็งที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดชาวไทย
ชื่อโบรกเกอร์ | ระดับ Margin Call (%) | ระดับ Stop Out (%) | ใบอนุญาต | จุดเด่น |
---|---|---|---|---|
Moneta Markets | 80% | 50% | ASIC, FSCA | ช่วงห่างระหว่างเตือนกับบังคับปิดกว้าง ซื้อขายผ่านธนาคารไทยได้เร็ว |
Exness | 60% | 0% | FCA, CySEC | Stop Out ที่ 0% ใช้มาร์จิ้นจนถึงจุดสุดท้าย, รองรับพร้อมเพย์ |
Pepperstone | 90% | 50% | ASIC, FCA | เตือนเร็ว, การดำเนินคำสั่งเร็ว, รองรับ cTrader |
XM | 50% | 20% | ASIC, CySEC | เหมาะกับนักเทรดที่รับความเสี่ยงสูง, มีสัมมนาให้ความรู้ |
IUX Markets | 50% | 30% | SVGFSA | สเปรดต่ำ, โบนัสน่าสนใจ, ใช้ QR Code ได้ |
3 ขั้นตอนตรวจสอบนโยบาย Margin Call ของโบรกเกอร์ด้วยตัวเอง
อย่าเชื่อแค่จากโฆษณา หรือรีวิวในโซเชียลมีเดียเท่านั้น ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดคือข้อมูลที่คุณ “ตรวจสอบด้วยตัวเอง” ก่อนเปิดบัญชีจริง นี่คือขั้นตอนที่ควรทำเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
- ค้นหาในเอกสารอย่างเป็นทางการ: เข้าไปที่เว็บไซต์ของโบรกเกอร์ แล้วมองหาหน้า Terms & Conditions, Risk Disclosure, หรือ Trader’s Guide ข้อมูลจริง ๆ มักจะอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ในหน้าโปรโมชั่น หากคุณหาไม่เจอ แสดงว่าโบรกเกอร์อาจไม่โปร่งใส
- ใช้หน้าช่วยเหลือ (Help Center) ค้นหาคำว่า “Margin”: โบรกเกอร์ที่ดีจะมี FAQ ที่ครอบคลุม และอธิบายเรื่องมาร์จิ้นอย่างละเอียด คุณสามารถใช้ช่องค้นหาพิมพ์คำว่า “Margin Call” หรือ “Stop Out” เพื่อดูคำอธิบาย
- ติดต่อ Support ด้วยคำถามเฉพาะเจาะจง: ส่งข้อความผ่าน Live Chat หรืออีเมล ถามตรง ๆ ว่า “ระดับ Margin Call และ Stop Out ของบัญชี Standard คือเท่าไร?” และขอคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษร วิธีนี้ช่วยให้คุณเก็บหลักฐานไว้ในกรณีที่มีข้อพิพาทในอนาคต
สรุป: การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Margin Call ชัดเจนคือหัวใจของการเทรดอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
การเผชิญหน้ากับ Margin Call เป็นเรื่องปกติในชีวิตเทรดเดอร์ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ตลาดได้แม่นยำ 100% แต่สิ่งที่ทำให้คุณอยู่รอดคือ “เวลา” และ “ข้อมูลที่ชัดเจน” โบรกเกอร์ที่มีนโยบายโปร่งใสจะให้ทั้งสองสิ่งนี้กับคุณ
การเลือกโบรกเกอร์ไม่ควรเป็นแค่การเปรียบเทียบค่าคอมมิชชั่นหรือโบนัส แต่ต้องมองลึกลงไปถึงระบบการจัดการความเสี่ยง เพราะนี่คือสิ่งที่จะ “ปกป้องเงินทุน” ของคุณเมื่อตลาดพลิกผัน
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ พบว่า Moneta Markets เด่นชัดที่สุดในปี 2025 สำหรับนักเทรดชาวไทย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการใช้มาร์จิ้นอย่างยืดหยุ่น นโยบายที่ 80%/50% ช่วยให้มีระยะห่างระหว่างการเตือนและการบังคับปิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงตลาดวุ่นวาย บวกกับการมีทีม Support ภาษาไทย การฝาก-ถอนที่รวดเร็ว และการกำกับดูแลจาก ASIC ทำให้ Moneta Markets เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าเชื่อถือและคุ้มค่าที่สุดในปัจจุบัน
การเลือกพันธมิตรที่โปร่งใส ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวก แต่คือการลงทุนในความมั่นคงของตัวคุณเอง การเริ่มต้นอย่างถูกต้อง คือก้าวแรกสู่ความสำเร็จในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือในไทย ปี 2025 ดูจากอะไร?
การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือควรพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน:
- ใบอนุญาต (Regulation): ต้องได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น ASIC, FCA, CySEC
- ความโปร่งใส: นโยบายต่างๆ โดยเฉพาะ Margin Call, Stop Out, ค่าธรรมเนียม และสเปรดต้องระบุชัดเจน
- การฝาก-ถอน: ต้องสะดวก รวดเร็ว และรองรับธนาคารในประเทศไทย
- ฝ่ายบริการลูกค้า: ควรมีบริการซัพพอร์ตภาษาไทยที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ
- ชื่อเสียงและความมั่นคง: โบรกเกอร์ที่ดำเนินงานมานานและมีรีวิวที่ดีย่อมมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า โบรกเกอร์อย่าง Moneta Markets เป็นตัวอย่างที่ดีที่มีครบทั้งใบอนุญาตที่น่าเชื่อถือ นโยบายที่โปร่งใส และการบริการที่เหมาะกับคนไทย
ระดับ Margin Call เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าดี?
ไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าระดับเท่าไหร่ดีที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ระดับสูง (เช่น 90%-100%): ดีในแง่ของการเตือนที่รวดเร็ว เหมาะกับเทรดเดอร์สายอนุรักษ์นิยม
- ระดับปานกลาง (เช่น 80%): ถือเป็นจุดสมดุลที่ดี ให้เวลาเทรดเดอร์ในการจัดการสถานะโดยไม่กระชั้นชิดเกินไป เช่น นโยบายของ Moneta Markets
- ระดับต่ำ (เช่น 50%-60%): เหมาะกับเทรดเดอร์สายเสี่ยงที่ต้องการใช้มาร์จิ้นให้คุ้มค่าที่สุด แต่อาจมีเวลาตัดสินใจน้อยลงเมื่อได้รับการแจ้งเตือน
เราสามารถเปลี่ยนแปลงระดับ Stop Out ของบัญชีเราได้หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระดับ Stop Out ที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ได้ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการบริหารความเสี่ยงของโบรกเกอร์เพื่อป้องกันลูกค้าและตัวโบรกเกอร์เอง ระดับนี้จะถูกตั้งค่าไว้ตามประเภทบัญชีที่คุณเลือกตั้งแต่แรก
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเงินในบัญชีติดลบหลังโดน Stop Out? (Negative Balance Protection)
โบรกเกอร์ชั้นนำส่วนใหญ่จะมีนโยบาย “ป้องกันบัญชีติดลบ” (Negative Balance Protection) ซึ่งเป็นข้อบังคับในเขตอำนาจศาลบางแห่งเช่น สหภาพยุโรป ภายใต้การกำกับของ ESMA นโยบายนี้หมายความว่าหากตลาดผันผวนรุนแรงจน Stop Out ทำงานไม่ทัน และทำให้ยอดเงินในบัญชีของคุณติดลบ โบรกเกอร์จะทำการปรับยอดเงินของคุณให้กลับมาเป็นศูนย์โดยที่คุณไม่ต้องรับผิดชอบส่วนที่ติดลบนั้น โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในลิสต์นี้รวมถึง Moneta Markets มีนโยบายนี้เพื่อคุ้มครองลูกค้า
โบรกเกอร์ Forex ที่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ของไทยโดยตรงมีหรือไม่?
ณ ปัจจุบัน (ปี 2025) ยังไม่มีโบรกเกอร์ Forex รายย่อย (Retail Forex Broker) ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของประเทศไทยโดยตรง เทรดเดอร์ไทยส่วนใหญ่จึงเลือกใช้บริการโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือในระดับสากลแทน
จะหลีกเลี่ยง Margin Call ได้อย่างไร?
วิธีที่ดีที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย:
- ใช้เลเวอเรจอย่างเหมาะสม: อย่าใช้เลเวอเรจสูงเกินความจำเป็น
- กำหนด Stop Loss ทุกครั้ง: ตั้งจุดตัดขาดทุนเพื่อจำกัดความเสียหายในแต่ละออเดอร์
- ไม่ Overtrade: อย่าเปิดออเดอร์มากเกินไปจนใช้มาร์จิ้นจนเกือบหมด
- ตรวจสอบ Free Margin เสมอ: คอยดูระดับมาร์จิ้นของคุณอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่มีข่าวสำคัญ
- ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม: ทำความเข้าใจว่า Margin Call ทำงานอย่างไรจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น Investopedia
เลเวอเรจ (Leverage) ส่งผลต่อ Margin Call อย่างไร?
เลเวอเรจเป็นดาบสองคม ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง คุณจะใช้มาร์จิ้น (Required Margin) ในการเปิดออเดอร์น้อยลง ทำให้มี Free Margin เหลือเยอะขึ้นในการเปิดออเดอร์เพิ่มหรือทนทานต่อการขาดทุนได้มากขึ้นในตอนแรก แต่ในทางกลับกัน การใช้เลเวอเรจสูงก็หมายความว่าการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยจะส่งผลกระทบต่อ Equity ของคุณอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ Margin Level ลดลงไปถึงจุด Margin Call หรือ Stop Out ได้เร็วขึ้นมากหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง
โบรกเกอร์ที่มี Margin Call 0% หมายความว่าอย่างไร?
โบรกเกอร์ที่มี Margin Call 0% หรือไม่มี Margin Call เลย (มีแต่ Stop Out) หมายความว่าโบรกเกอร์จะไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนที่ออเดอร์จะถูกบังคับปิด ระบบจะดำเนินการ Stop Out ทันทีเมื่อ Margin Level ลดลงถึงระดับที่กำหนด (เช่น Stop Out ที่ 20%) ซึ่งอาจไม่เหมาะกับมือใหม่เพราะไม่มีสัญญาณเตือนให้เตรียมตัวจัดการกับสถานะของตนเอง