ไขรหัสลับ “ดัชนีราคาหุ้น”: เข้าใจง่าย ทำกำไรได้จริง!

เคยสงสัยไหมว่า “ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index)” คืออะไร? ทำไมพอพูดถึงตลาดหุ้น นักข่าวถึงชอบบอกว่า “วันนี้ดัชนีเซ็ทบวก/ลบไปกี่จุด” แล้วตัวเลขพวกนี้มันมีความหมายกับชีวิตเรายังไง? ไม่ต้องกลัวว่าจะซับซ้อนเหมือนอ่านตำราวิชาการนะ เพราะวันนี้เราจะมาคุยกันแบบสบายๆ เหมือนนั่งจิบกาแฟกับเพื่อนซี้ ให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของเจ้า ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) ที่ชื่อว่า SET Index หรือชื่อเต็มๆ ว่า ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นี่แหละ ว่ามันคืออะไร มีบทบาทแค่ไหนในโลกการเงิน และทำไมทุกคนที่สนใจเรื่องลงทุนควรทำความรู้จักกับมัน

เพื่อนซี้ของฉันชื่อ “น้องเมย์” เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ แล้วไปทำงานบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน เธอบอกว่า “พี่คะ หนูงงมากเลย เวลาลูกค้าถามเรื่องดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) เนี่ย มันคืออะไรกันแน่คะ หนูเห็นมันขึ้นๆ ลงๆ ทุกวัน” ฉันเลยบอกน้องเมย์ไปว่า “น้องเมย์ลองนึกภาพตามนะ ถ้าเราอยากรู้ว่าอากาศวันนี้ร้อนหรือหนาว เราก็ต้องดูปรอทวัดอุณหภูมิใช่ไหม? เจ้า ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) เนี่ยก็เหมือนปรอทวัดไข้ของเศรษฐกิจบ้านเราเลยนะ ถ้ามันขึ้นก็เหมือนอุณหภูมิสูงขึ้น แปลว่าภาพรวมเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังไปได้สวย แต่ถ้ามันลงก็เหมือนอุณหภูมิต่ำลง แปลว่าภาพรวมอาจจะกำลังป่วยๆ อยู่”

จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2568 เวลา 03:20:02 น. ที่ตลาดปิดทำการ ดัชนี SET หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนี่ย ปิดอยู่ที่ 1,146.86 จุด ลดลงไป 6.91 จุด คิดเป็น -0.60% ถามว่าแค่นี้บอกอะไรได้? มันบอกว่า ณ สิ้นวันนั้น ตลาดหุ้นบ้านเรามีอารมณ์ออกไปทางหม่นๆ เล็กน้อยนะ มูลค่าการซื้อขายรวมในวันนั้นก็อยู่ที่ 42,301.91 ล้านบาท มีปริมาณการซื้อขายรวมถึง 8,428,637 พันหุ้น ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความคึกคักในการซื้อขายในแต่ละวัน ถ้ามูลค่าการซื้อขายสูงๆ ก็แสดงว่ามีคนเข้าออกตลาดกันคึกคัก เหมือนถนนที่มีรถวิ่งเยอะๆ นั่นแหละ

แล้วนอกจาก SET Index แล้ว ยังมีดัชนีอื่นๆ อีกเหรอ? คำตอบคือ “ใช่เลย!” ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว เหมือนปรอทวัดไข้ก็มีหลายแบบ บางแบบวัดไข้คน บางแบบวัดไข้น้ำ หรือบางแบบวัดอุณหภูมิอากาศ ดัชนีหุ้นก็เช่นกัน อาจารย์นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเคยอธิบายไว้ว่า ดัชนีอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น SET50 ที่รวมหุ้นใหญ่สุด 50 ตัว, SET100 ที่รวมหุ้นใหญ่สุด 100 ตัว, SETHD ที่รวมหุ้นปันผลดีๆ หรือ sSET ที่เน้นหุ้นขนาดเล็ก แต่ละตัวก็สะท้อนมุมมองที่แตกต่างกันออกไปของตลาด เหมือนเรามีแว่นหลายสี มองตลาดในแง่มุมที่ต่างกัน ทำให้เราเห็นภาพตลาดที่ชัดเจนขึ้นและหลากหลายมิติมากขึ้น ไม่ใช่แค่ภาพรวมแบบดัชนี SET เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

สมมติว่าคุณกำลังวางแผนจะลงทุนในหุ้น และเห็น ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) SET Index กำลังปรับตัวลดลง เหมือนที่เราเห็นเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นั่นแหละ คำถามคือ “แล้วใครล่ะที่เป็นคนทำให้มันลงหรือขึ้น?” ลองมาดูข้อมูลการซื้อขายสิ้นวันย้อนหลังไปสักหน่อย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เนี่ย เราจะเห็นภาพที่น่าสนใจทีเดียวว่า นักลงทุนแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมยังไงในตลาดวันนั้น:

* **นักลงทุนสถาบัน:** ซื้อสุทธิ 3,294.15 ล้านบาท (กลุ่มนี้คือพวกกองทุนต่างๆ ที่เขาบริหารเงินให้เรานั่นแหละ)
* **บัญชีบล. (โบรกเกอร์):** ขายสุทธิ 694.34 ล้านบาท (กลุ่มนี้ก็คือบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการซื้อขาย)
* **นักลงทุนต่างประเทศ:** ขายสุทธิ 4,964.40 ล้านบาท (กลุ่มนี้ก็คือฝรั่งตาน้ำข้าวที่เอาเงินมาลงทุนในบ้านเรา)
* **นักลงทุนในประเทศ:** ซื้อสุทธิ 2,364.59 ล้านบาท (กลุ่มนี้ก็คือพวกเราๆ ท่านๆ ที่ลงทุนกันเองนี่แหละ)

จากข้อมูลนี้จะเห็นว่าวันนั้น “ฝรั่ง” ขายหนักสุดเลย พอฝรั่งขายเยอะๆ ก็เหมือนกับคนตัวใหญ่ๆ ถอนเงินออกจากตลาดพร้อมกัน ทำให้ ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) มีโอกาสปรับตัวลดลงสูง แต่ก็โชคดีที่วันนั้น “นักลงทุนสถาบัน” กับ “นักลงทุนในประเทศ” ช่วยกันซื้อเอาไว้ ทำให้การลดลงอาจจะไม่รุนแรงเท่าที่ควรจะเป็น พฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนแต่ละกลุ่มนี่แหละ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้ ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงในแต่ละวัน เหมือนกับการชักเย่อ ถ้าทีมไหนแรงเยอะกว่า ก็ดึงเชือกไปทางนั้นได้มากกว่า

คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะเอา ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง? สำนักข่าวหรือหลักทรัพย์บัวหลวงเองก็บอกว่า ดัชนี SET Index เนี่ย ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอมอนิเตอร์เฉยๆ แต่มันคือ “เครื่องวัดชีพจร” ของเศรษฐกิจไทยเลยนะ การเคลื่อนไหวของมันสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาด เหมือนกับการที่เราดูผลตรวจสุขภาพประจำปี ถ้าผลออกมาดีก็ยิ้มได้ ถ้าผลไม่ดีก็ต้องเริ่มปรับพฤติกรรม

ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 2568 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) SET Index ปิดที่ 1,203.72 จุด ลดลง 12.01 จุด ซึ่งจะเห็นว่าตัวเลขมันสูงกว่าช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2568 พอสมควรเลยนะ การที่เราย้อนดูข้อมูลในอดีตแบบนี้ ทำให้เราเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของตลาดในช่วงเวลาต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น เหมือนการดูอัลบั้มรูปเก่าๆ ที่ทำให้เราเห็นพัฒนาการและเรื่องราวที่เกิดขึ้น

แล้วตอนนี้ตลาดเป็นยังไงบ้าง? ถ้าดูจากตัวชี้วัดทางเทคนิคแล้ว จะเห็นว่าภาพรวมของตลาด ณ ปัจจุบันเป็นกลางๆ นะ มีทั้งแรงซื้อและแรงขายผสมกันไป ไม่ได้มีใครโดดเด่นเป็นพิเศษ เหมือนสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี การที่ดัชนีหุ้นแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ แบบนี้ก็อาจจะบ่งบอกถึงช่วงที่นักลงทุนกำลังประเมินสถานการณ์ หรือรอปัจจัยใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทำให้ตลาดมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นนั่นเอง

หลายคนอาจคิดว่า “โอ๊ย! ดัชนีหุ้นมันขึ้นลงก็แค่ตัวเลข จะไปสนใจอะไรมาก” นี่แหละคือ “ความเข้าใจผิด” ที่ต้องรีบแก้ไข! ดัชนีในตลาดการเงินมีความสำคัญมากกว่าแค่ตัวเลขที่วิ่งอยู่บนหน้าจอ เหมือนที่เราเห็น ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) SET Index มันไม่ได้แค่บอกว่าหุ้นขึ้นหรือลง แต่มันยังถูกใช้เป็น “Benchmark Index” หรือดัชนีอ้างอิงสำหรับกองทุนต่างๆ ที่จะเอามาเปรียบเทียบผลงานด้วยนะ ตามที่วารสารตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยอธิบายไว้ คือถ้ากองทุนไหนทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีที่ใช้อ้างอิง ก็ถือว่าเก่งแล้ว แต่ถ้าแย่กว่า ก็ต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์กันใหม่

สรุปแล้ว เจ้า “ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index)” โดยเฉพาะ SET Index ที่เราคุยกันมาตลอดเนี่ย ก็เปรียบเสมือน “แผนที่บอกทาง” ให้กับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือโปร ไม่ใช่แค่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เท่านั้นที่ใช้ดัชนี แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ใช้ SET Index เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศด้วยนะ เหมือนที่เราเห็นในข้อมูล SET & External Stock Market Indexes การรู้จักและเข้าใจ ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) จึงเป็นบันไดขั้นแรกที่สำคัญมากสำหรับใครก็ตามที่อยากจะก้าวเข้าสู่โลกของการลงทุน

**คำแนะนำจากใจคนเขียน:**

เห็นไหมว่าเรื่อง ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหม? มันคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจของเราได้ง่ายขึ้น แต่การเข้าใจตัวเลขอย่างเดียวอาจยังไม่พอ เราต้องเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของมันด้วย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล, ข่าวสารเศรษฐกิจ, ผลประกอบการของบริษัท, หรือแม้แต่พฤติกรรมของนักลงทุนเอง

หากคุณเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุน การทำความเข้าใจ ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) และดัชนีอื่นๆ ในตลาดเป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรทำเลยนะ มันจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เหมือนกับการดูแผนที่เมืองก่อนจะเลือกว่าจะไปเที่ยวซอยไหนนั่นแหละ

⚠️ แต่จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง! ตัวเลข ดัชนีราคาหุ้น (Stock Index) ที่ขึ้นๆ ลงๆ ทุกวันไม่ได้หมายความว่าเราจะทำกำไรได้เสมอไป หากคุณมีเงินทุนที่สภาพคล่องไม่สูง หรือเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในเร็วๆ นี้ แนะนำให้ประเมินความพร้อมและศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนของคุณเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้นะ และถึงแม้จะมีแพลตฟอร์มการซื้อขายหลากหลายรูปแบบ เช่น แพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets ที่นำเสนอเงื่อนไขการซื้อขายที่หลากหลายให้นักลงทุนเลือก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของสิ่งที่คุณจะลงทุนก่อนเสมอ ไม่ใช่แค่เปิดบัญชีแล้วกดซื้อตามๆ กันไป เพราะเงินในกระเป๋าของคุณมีค่ามากกว่านั้นเยอะเลย!

Leave a Reply