เพื่อนสนิทของฉัน “น้ำหวาน” ที่เพิ่งเริ่มสนใจเรื่องการลงทุน เดินหน้ามาถามฉันด้วยสีหน้าสงสัยว่า “พี่คะ S&P 500 นี่มันคืออะไร แล้วทำไมใครๆ ก็พูดถึงกันจังเลยคะ หนูเห็นในข่าวบ่อยมาก แถมเพื่อนหนูยังบอกให้ลองดูกราฟ S&P 500 ด้วย แต่มันคืออะไรกันแน่คะ?”
คำถามของน้ำหวานทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่า สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ตลาดหุ้นหรือดัชนีต่างๆ อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว หรือซับซ้อนเข้าใจยากเกินไป แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องของ “S&P 500” ดัชนีตัวสำคัญที่เปรียบเสมือน “มาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ” ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาดู ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือแค่อยากเข้าใจโลกการเงินมากขึ้น ลองมาดูกันว่าเจ้าดัชนีตัวนี้มีเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้าง
* * *
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ S&P 500 ก็เหมือนกับ “ทีมรวมดาราบาสเกตบอล” ของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ค่ะ แทนที่จะเป็นนักบาสเกตบอลเก่งๆ 500 คน S&P 500 คือดัชนีที่รวบรวมบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่สุด 500 แห่งของสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) หรือแนสแด็ก (NASDAQ) โดยจะมีการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของแต่ละบริษัท หมายความว่า บริษัทที่ใหญ่มากๆ ก็จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าบริษัทเล็กๆ นั่นเองค่ะ ข้อมูลจาก S&P Dow Jones Indices LLC ระบุชัดเจนว่า ดัชนีนี้เป็นเสมือนหัวใจสำคัญที่บ่งบอกถึงสถานะของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และภาพรวมของตลาดหุ้น นักลงทุนทั่วโลกใช้มันเป็นเครื่องมือในการประเมินผลงานการลงทุนของตัวเอง หรือแม้กระทั่งดูทิศทางของหุ้นรายตัว
ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,567.19 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปรับเพิ่มขึ้นมา 0.54% ในวันเดียว ซึ่งเป็นสัญญาณเล็กๆ ที่บอกว่าตลาดกำลังคึกคักอยู่บ้าง แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่าเจ้าดัชนีตัวนี้ก็มีขึ้นมีลงไม่ต่างจากรถไฟเหาะตีลังกาในสวนสนุกเลยค่ะ เพราะมันมีความผันผวนสูงมากจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตัวนี้ปรับเพิ่มขึ้นถึง 6.78% แต่พอมาดูในรอบเดือน กลับลดลงไป −2.08% ส่วนในภาพรวมรอบปีที่ผ่านมา ยังคงแสดงผลงานที่น่าประทับใจ ด้วยการปรับเพิ่มขึ้นถึง 9.12% เลยทีเดียว นักลงทุนที่ติดตามกราฟ S&P 500 จะเห็นถึงจังหวะการขึ้นลงเหล่านี้ได้ชัดเจน บางคนอาจจะจำได้ถึงช่วงที่ S&P 500 เคยทำราคาสูงสุดที่ 6,147.43 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือย้อนไปในอดีตกาลนานโพ้น ก็เคยมีราคาเสนอซื้อขายต่ำที่สุดเพียง 2.73 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้นเอง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราสามารถตรวจสอบได้จากแหล่งที่น่าเชื่อถืออย่าง Fusion Media, Investing.com, MarketWatch หรือ Siamchart.com ได้เลยค่ะ

* * *
แล้วนักลงทุนเขาดูกราฟ S&P 500 กันยังไงบ้างล่ะ? นอกจากดูราคาปัจจุบันแล้ว นักลงทุนสายเทคนิคเขายังใช้ “ตัวชี้วัดทางเทคนิค” (Technical Indicators) เพื่อช่วยวิเคราะห์แนวโน้มราคาในอนาคตด้วยค่ะ ซึ่งตัวชี้วัดยอดนิยมก็คือ Oscillator และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ผลสรุปจากตัวชี้วัดเหล่านี้มักจะบอกเราได้ว่า ตลาดตอนนี้มีแรงซื้อหรือแรงขายมากแค่ไหน บางช่วงอาจจะบอกว่าเป็น “กลางๆ” คือยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน แต่บางช่วงก็อาจจะเห็นเป็น “มีแรงขายรุนแรง” หรือ “มีแรงซื้อรุนแรง” ซึ่งบ่งบอกถึงโมเมนตัมที่ชัดเจนของตลาดในขณะนั้น อย่างข้อมูลล่าสุดที่น้ำหวานถามมา ตัวชี้วัดเหล่านี้ยังคงผสมผสานกันไป ทั้งที่เป็นกลาง มีแรงขาย มีแรงซื้อ หรือแม้กระทั่งมีแรงขายรุนแรงและแรงซื้อรุนแรงในแต่ละช่วงเวลา สะท้อนถึงความไม่แน่นอนและโอกาสที่ซ่อนอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของตลาด พูดง่ายๆ คือเหมือนกับหมอดูพยากรณ์อากาศที่พยายามบอกว่าฝนจะตกหรือไม่นั่นแหละค่ะ เพียงแต่ในตลาดหุ้น ผลการพยากรณ์อาจจะแม่นยำกว่านิดหน่อย เพราะมันมีข้อมูลและหลักสถิติรองรับ

มาถึงเรื่ององค์ประกอบสำคัญกันบ้าง เหมือนกับทีมบาสที่ต้องมีผู้เล่นตัวหลักๆ ดัชนี S&P 500 ก็มีหุ้นยักษ์ใหญ่ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีอย่างมาก บางครั้งหุ้นไม่กี่ตัวก็สามารถขับเคลื่อนดัชนีขึ้นไปได้ทั้งกระดาน หรือในทางกลับกันก็ฉุดลงมาได้เช่นกัน ลองคิดดูสิคะว่า ถ้าหุ้นอย่าง Apple, Microsoft, Amazon หรือ Google เกิดล้มป่วยพร้อมกัน ดัชนี S&P 500 ก็คงจะจามตามไปด้วยแน่นอน ในหมู่หุ้นยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ก็มีทั้ง “ตัวท็อปฟอร์ม” และ “ตัวไม่ค่อยมีฟอร์ม” อย่างตราสารที่ราคาสูงที่สุดในดัชนีตอนนี้ก็คือ NYSE:NVR, NASDAQ:BKNG และ NYSE:AZO ซึ่งเป็นหุ้นที่มีราคาต่อหน่วยสูงลิ่ว ส่วนดาวเด่นที่สร้างผลงานได้น่าประทับใจสุดๆ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา คือ NASDAQ:PLTR ที่พุ่งทะยานกว่า 420.16%! แต่ก็มี “ดาวร่วง” อย่าง NASDAQ:MRNA ที่ราคาลดลงถึง −74.17% ในรอบปีเช่นกัน ข้อมูลเหล่านี้มาจาก S&P Dow Jones Indices LLC และ FRED (Federal Reserve Bank of St. Louis) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมว่าหุ้นตัวไหนกำลังนำตลาดและตัวไหนกำลังเผชิญความท้าทาย
* * *

นอกจากการดูดัชนี S&P 500 โดยตรงแล้ว การจะเข้าใจภาพรวมของตลาดได้ดียิ่งขึ้น เราจำเป็นต้องมองไปรอบๆ ตัวด้วยค่ะ เหมือนกับการมองดูกลุ่มดาวอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ดาวเหนือ เพื่อหาทิศทางที่แม่นยำยิ่งขึ้น ดัชนีที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ก็มีผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบจาก S&P 500 เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น US 30 (ดัชนี Dow Jones Industrial Average), US 500 Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ S&P 500), Nasdaq (ดัชนีเทคโนโลยี), S&P 500 VIX หรือ ดัชนีความผันผวนของ S&P 500 (ที่บอกถึงความกลัวของตลาด) ไปจนถึง ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (Dollar Index), ราคาน้ำมัน (Crude Oil WTI Futures, Brent Oil Futures), ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas Futures), ทองคำ (Gold Futures), เงิน (Silver Futures), ทองแดง (Copper Futures) และแม้แต่ตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. 10Y, U.S. 30Y, U.S. 5Y, U.S. 3M) การติดตามดัชนีเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่รอบด้านขึ้น เพราะทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกันในโลกการเงิน เหมือนกับโดมิโนที่ตัวหนึ่งล้ม อีกตัวก็จะล้มตามกันไป
แน่นอนว่าข่าวสารและบทวิเคราะห์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ลองนึกภาพว่าถ้ามีข่าวใหญ่เกี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ หรือนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมา จะส่งผลให้ตลาดคึกคัก หรือผันผวนได้ทันที อย่างที่ Investing.com และ MarketWatch เคยรายงานข่าวทำนองว่า “หุ้นเทคโนโลยีกำลังขับเคลื่อนตลาดให้ทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่จะไปได้อีกนานแค่ไหน?” หรือ “ภัยคุกคามทางการค้าล่าสุดของทรัมป์กำลังแขวนอยู่เหนือ Wall Street ในขณะที่นักลงทุนฉลองการกลับมาทำสถิติใหม่ของตลาดหุ้น” และยิ่งน่าสนใจไปอีกเมื่อมีข่าวทำนองว่า “บริษัทมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์: Wall Street มองหุ้นเทคโนโลยีในแง่ดีขึ้นในสัปดาห์นี้” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนกราฟ S&P 500 อยู่ตลอดเวลา
* * *
สำหรับนักลงทุนที่อยาก “กระโดดลงสนาม” แต่ไม่อยากปวดหัวกับการเลือกหุ้นรายตัว ก็มีตัวช่วยที่น่าสนใจมากๆ นั่นคือ “กองทุน ETF ที่อ้างอิง S&P 500” ค่ะ ETF หรือ Exchange Traded Fund ก็คือ กองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนใน ETF ที่อ้างอิง S&P 500 ก็เหมือนกับการที่คุณลงทุนในบริษัทใหญ่ 500 แห่งพร้อมกันในคราวเดียว โดยที่คุณไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นทีละตัว ไม่ต้องปวดหัวว่าจะซื้อตัวไหนดี ETF เหล่านี้จึงเป็นประตูบานสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเข้าถึง S&P 500 ได้ง่ายขึ้นมากๆ มีผู้ให้บริการกองทุน ETF ที่อ้างอิง S&P 500 หลายเจ้าเลย เช่น Amundi, BetaPro, 1nvest, 1Q U.S., ACE ซึ่งเป็นทางเลือกที่สะดวกและกระจายความเสี่ยงได้ดี หรือหากสนใจแพลตฟอร์มการซื้อขายต่างประเทศ อย่าง Moneta Markets ก็มักจะมีเครื่องมือและเงื่อนไขการซื้อขายที่หลากหลายให้เลือก ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดได้
สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะย้ำว่าการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะดัชนีที่มีความผันผวนอย่าง S&P 500 นั้น มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงค่ะ ไม่มีอะไรรับประกันได้ 100% ว่าจะทำกำไรได้เสมอไป นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจ “กราฟ S&P 500” และตัวชี้วัดต่างๆ ให้ดี รวมถึงติดตามข่าวสารอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะคะ
**⚠️ คำเตือนสำคัญ:** ตลาดทุนมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับตลาด หรือมีเงินทุนที่จำกัด การเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จงลงทุนอย่างรอบคอบและมีสติเสมอค่ะ