สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน!
ช่วงนี้เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมชื่อ “ป้าสมศรี” ที่ปกติไม่ค่อยสนใจเรื่องหุ้นเท่าไหร่ ทักมาถามผมด้วยสีหน้าสงสัยปนงงงวยว่า “หนูๆ อินเด็กซ์ (Index, ดัชนี) ที่เขาพูดกันในข่าวเศรษฐกิจเนี่ย มันคืออะไรกันแน่? เห็นว่าขึ้นบ้างลงบ้าง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเงินในกระเป๋าเราด้วยเหรอ?”
แหม… ป้าสมศรีนี่ถามได้โดนใจนักลงทุนมือใหม่หลายๆ คนเลยนะครับ เพราะคำว่า “อินเด็กซ์” (Index, ดัชนี) หรือที่เรารู้จักกันในภาษาไทยว่า “ดัชนี” เนี่ย มันคือหัวใจสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวของตลาดการเงินได้มากมายเลยล่ะครับ เหมือนกับเวลาเราไปหาหมอแล้วหมอเอาปรอทมาวัดไข้เจ้า “อินเด็กซ์ คือ” ปรอทวัดไข้ของตลาดหุ้นนั่นเองครับ ถ้าปรอทสูงแปลว่าตลาดคึกคัก ถ้าปรอทต่ำแปลว่าตลาดกำลังซึมๆ ครับ ง่ายๆ แบบนี้เลย

### ดัชนีคืออะไร? ทำไมต้องมี? แล้วมันบอกอะไรเราได้บ้าง?
เอาล่ะครับ ในโลกของการเงินและตลาดทุน เจ้าดัชนีเนี่ย มันไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ นะครับ แต่มันคือ **ตัวชี้วัดที่สะท้อนภาพรวม** ของตลาด หรือกลุ่มหลักทรัพย์บางอย่าง เปรียบเสมือนภาพถ่ายรวมของห้องเรียน ที่บอกว่าเด็กนักเรียนโดยรวมเป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่แค่ดูนักเรียนคนใดคนหนึ่งครับ
แล้วทำไมต้องมีล่ะครับ? ก็เพราะตลาดหุ้นมันมีหุ้นตั้งเป็นร้อยเป็นพันตัว ถ้าเราต้องมานั่งดูราคาหุ้นทีละตัวคงตาเหล่กันพอดี ดัชนีจึงเข้ามาช่วยย่อโลกใบใหญ่ให้เล็กลง ให้เราสามารถประเมินสถานการณ์และคาดการณ์แนวโน้มได้ง่ายขึ้น เหมือนมีแผนที่ฉบับย่อให้เราเดินตามยังไงล่ะครับ
อย่างในตลาดหุ้นไทย เราก็มี “ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” หรือ **SET Index** ที่เป็นหัวใจหลัก ดัชนีนี้จะคอยสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยรวมในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของเรานี่แหละครับ ถ้า SET Index ขึ้นแปลว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดกำลังปรับตัวขึ้น ถ้า SET Index ลงก็แปลว่าหุ้นส่วนใหญ่กำลังปรับตัวลงนั่นเองครับ
ส่วนการคำนวณดัชนีเนี่ย ก็ไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัวอะไรมากครับ หลักๆ แล้วดัชนีจะคำนวณโดยใช้สูตรต่างๆ ครับ เช่น ดัชนีที่ถ่วงน้ำหนักตามราคาตลาด (Market Capitalization Weighted Index) ซึ่งหมายความว่าหุ้นตัวไหนที่มีขนาดใหญ่ มีมูลค่าตลาดสูง ก็จะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากหน่อยครับ คล้ายกับคนตัวใหญ่ในห้องเรียน เวลายืนหรือนั่งก็จะกินพื้นที่มากกว่านั่นเองครับ
### หลากสีสันของดัชนีไทย: รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์!
นอกจาก SET Index ที่เป็นภาพรวมใหญ่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ยังมีดัชนี “อินเด็กซ์ คือ” อีกหลายตัวที่เปรียบเหมือนแว่นขยายให้เราซูมเข้าไปดูหุ้นในกลุ่มต่างๆ ได้ชัดขึ้นครับ ซึ่งแต่ละตัวก็มีหน้าที่และบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันไป ดังนี้ครับ
* **SET50:** ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่า 50 คือดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงที่สุดใน SET กลุ่มนี้มักจะเป็นหุ้นตัวใหญ่ๆ ระดับ “บิ๊กบอส” ของตลาดครับ
* **SET100:** คล้ายกับ SET50 แต่ขยายเพิ่มเป็น 100 ตัวแรก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงที่สุด คลุมหุ้นใหญ่ได้กว้างขึ้นอีกนิด
* **SETHD (High Dividend):** ดัชนีนี้เหมาะกับคนรักเงินปันผลครับ เพราะสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 30 ตัวแรกที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อเนื่อง ใครชอบหุ้นจ่ายปันผลต้องไม่พลาด
* **sSET (Small and Mid Cap):** ดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่อยู่นอกเหนือจาก SET50 และ SET100 มักจะเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เปรียบเหมือนเพชรในตมที่รอการค้นพบ
* **SETTHSI (Thailand Sustainability Investment):** ใครสายลงทุนยั่งยืนต้องตัวนี้ครับ ดัชนีนี้สะท้อนความเคลื่อนไหวราคาหุ้นยั่งยืนที่บริษัทให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือที่เรียกว่า ESG นั่นแหละครับ
* **SETWB (Wealth Beings):** ดัชนีนี้จะคัดหุ้น 30 ตัวใน 7 หมวดธุรกิจที่โดดเด่น ซึ่งสอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลกและแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว น่าสนใจมากสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสใหม่ๆ
* **SETTRI (Total Return Index):** อันนี้พิเศษหน่อยครับ เพราะเป็นดัชนีผลตอบแทนรวมที่คิดจากผลตอบแทนทุกประเภทของการลงทุน ทั้งจากราคาที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลที่เราได้รับ ถือเป็นดัชนีที่สะท้อนผลตอบแทนที่แท้จริงของการลงทุนในตลาดได้อย่างครบถ้วน
* **mai Index:** สำหรับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ที่เน้นบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีนวัตกรรมและศักยภาพเติบโตสูง ก็มีดัชนี mai เป็นของตัวเอง เพื่อสะท้อนภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดนี้ครับ

จะเห็นได้ว่าดัชนี “อินเด็กซ์ คือ” เพื่อนที่แสนดีของเราเลยใช่ไหมครับ มันช่วยให้นักลงทุนอย่างเราสามารถเจาะจงกลุ่มหุ้นที่สนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นใหญ่ หุ้นปันผล หุ้นเติบโต หรือแม้แต่หุ้นที่เน้นความยั่งยืนก็มีให้เลือกดูหมด
### อยากลงทุนตามดัชนี ทำยังไงดี?
พอรู้แล้วว่าดัชนีมีประโยชน์แค่ไหน หลายคนคงเริ่มสงสัยว่า “แล้วเราจะลงทุนตามดัชนีพวกนี้ได้ยังไงล่ะ?” คำตอบคือเราสามารถลงทุนในดัชนีได้โดยตรง หรือผ่านตราสารอนุพันธ์ (derivatives) เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนี (Index Futures) หรือ **กองทุนรวมดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ETF)** ก็ได้ครับ
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ผมแนะนำให้รู้จักกับ **กองทุนดัชนี (Index Fund)** ครับ กองทุนชนิดนี้มีนโยบายลงทุนเลียนแบบดัชนีที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีนั้นๆ มากที่สุด พูดง่ายๆ คือ แทนที่คุณจะต้องมานั่งเลือกหุ้นเป็นตัวๆ กองทุนจะจัดการซื้อหุ้นทุกตัวในสัดส่วนเดียวกับที่ดัชนีนั้นใช้คำนวณครับ
สมมติว่าคุณอยากลงทุนในหุ้นไทยโดยรวม โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระยะยาว แต่ไม่อยากเสียเวลาเลือกหุ้นเป็นรายตัว คุณก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนดัชนีที่ลงทุนใน SET หรือ SET50 ได้เลยครับ ซึ่งก็มีให้เลือกเยอะแยะมากมายในตลาดบ้านเรา การลงทุนแบบนี้เหมาะกับคนที่อยากลงทุนระยะยาว ไม่ค่อยมีเวลาตามตลาดมากนัก และอยากได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับภาพรวมของตลาดครับ
ส่วนใครที่แอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย การซื้อขายดัชนีผ่านตราสารอนุพันธ์อย่าง **ฟิวเจอร์ส (futures)** หรือ **ออปชั่น (options)** ก็เป็นอีกทางเลือกครับ แต่วิธีนี้จะมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก เพราะมีการใช้ **เลเวอเรจ (leverage)** ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนน้อยแต่ควบคุมสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า จึงอาจทำให้ได้กำไรมาก แต่ก็มีโอกาสขาดทุนได้มากเช่นกันครับ และในบางแพลตฟอร์มการซื้อขาย อย่าง Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็อาจมีผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงกับดัชนีต่างประเทศให้เลือกเทรดด้วย ซึ่งก็ต้องศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจครับ

### อะไรทำให้ดัชนี “เต้นระบำ” ขึ้นๆ ลงๆ?
ทีนี้เรามาดูกันบ้างครับว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนี “อินเด็กซ์ คือ” ตัวบ่งชี้ความเคลื่อนไหวของตลาดนี้มีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ ได้ตลอดเวลา เหมือนหัวใจของตลาดที่เต้นตุบๆ ตามสถานการณ์ต่างๆ:
1. **เศรษฐกิจมหภาค:** อันนี้คือหัวใจหลักเลยครับ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ **GDP** (Gross Domestic Product) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศออกมา, อัตราเงินเฟ้อ (inflation) และอัตราการว่างงาน ล้วนมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นครับ
* **ข้อคิดจากผู้เชี่ยวชาญ:** เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ผมเคยได้คุยกับนักวิเคราะห์หลายท่าน พวกเขามักจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของตัวเลข GDP และอัตราเงินเฟ้อที่ประกาศโดย สศช. ว่าเป็นเหมือน “ไฟเขียวไฟแดง” ที่บ่งชี้ถึงสุขภาพของเศรษฐกิจโดยรวม เมื่อเศรษฐกิจดี บริษัทก็มีแนวโน้มทำกำไรได้ดี หุ้นก็ขึ้น ดัชนีก็ขยับตามครับ
2. **นโยบายการเงิน:** ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน โดยเฉพาะเรื่อง “อัตราดอกเบี้ย” ครับ การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทิศทางของตลาดหุ้นโดยตรงครับ
* **สถานการณ์จำลอง:** สมมติว่า ธปท. ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง นั่นหมายความว่าต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ จะถูกลง ทำให้มีแรงจูงใจในการลงทุนและขยายกิจการมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผลประกอบการ และดัชนีหุ้นก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นครับ ในทางกลับกัน หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจจะไปกดดันตลาดได้
3. **เหตุการณ์ทางการเมืองและอารมณ์ความรู้สึกของเทรดเดอร์:** เรื่องการเมืองบ้านเรานี่ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นได้ตลอดครับ ไม่ว่าจะการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล นโยบายใหม่ๆ หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนทางการเมือง ก็สามารถสร้างความผันผวนให้กับดัชนีได้มากเลยทีเดียว นอกจากนี้ อารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุนก็มีผลอย่างมากครับ บางครั้งแค่ข่าวลือ หรือความกลัวที่แพร่กระจายในตลาด ก็สามารถฉุดให้ดัชนีร่วงลงได้ แม้จะไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ชัดเจนก็ตาม
* **ย้อนรอยประวัติศาสตร์:** หากเราย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ที่เกิดจากปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง SET Index ของเราก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ตัวเลขเศรษฐกิจตอนนั้นทรุดหนัก ความเชื่อมั่นนักลงทุนติดลบ ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่หลังจากนั้น เมื่อรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นก็ค่อยๆ กลับมาและดัชนีก็ฟื้นตัวตามลำดับครับ แสดงให้เห็นว่าแม้ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสเสมอ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
### บทสรุป: ดัชนีคือเพื่อนซี้ ไม่ใช่คนบงการ
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่า เจ้า “อินเด็กซ์ คือ” เครื่องมือที่ทรงพลังและมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าครับ มันช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาด เห็นแนวโน้ม และประเมินสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ดัชนีเป็นเพียงเครื่องมือชี้วัดครับ ไม่ใช่ตัวบงการชีวิตการลงทุนของเรา การที่ดัชนีขึ้นหรือลง ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวในตลาดจะขึ้นหรือลงตามไปทั้งหมด และที่สำคัญที่สุดคือ **⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ** การศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจในสิ่งที่เราลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนจะตัดสินใจลงสนามการลงทุนใดๆ ครับ
ไม่ว่าจะลงทุนผ่านกองทุนดัชนีโดยตรง หรือจะมองหาโอกาสในการเทรดอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับดัชนีต่างๆ สิ่งที่เราควรทำคือการตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง และกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมครับ อย่าลืมนะครับว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” การทำความเข้าใจ “อินเด็กซ์ คือ” ก้าวแรกที่สำคัญสู่การลงทุนอย่างชาญฉลาดครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ!