จับตาดัชนีความผันผวน: อ่านเกมตลาดหุ้นผันผวน ทำกำไรหรือป้องกัน?

ในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินอาวุโส ผมสังเกตเห็นว่าเรื่อง “ความผันผวน” ในตลาดหุ้นนี่มันช่างเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักลงทุนหลายคนเสียจริง บางทีก็รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะที่ไม่มีทางลง บางทีก็เหมือนกำลังเดินบนเส้นเชือกกลางอากาศ ไม่รู้ว่าจะตกลงไปเมื่อไหร่

คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหมครับ? เวลาเห็นตลาดหุ้นแดงเถือก หุ้นที่เราถืออยู่ร่วงกราวรูด ราวกับโดนหมัดน็อกติดๆ กัน ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเขียวชอุ่มอยู่เลย ความรู้สึกกลัว ความกังวล ความไม่มั่นใจ มันถาโถมเข้ามาเต็มไปหมด และในวินาทีที่ความรู้สึกเหล่านี้พุ่งสูงปรี๊ด ก็จะมีดัชนีตัวหนึ่งที่ผงาดขึ้นมาพร้อมกัน ดัชนีตัวนั้นแหละครับคือ “มิเตอร์วัดความกลัวของตลาด” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า VIX Index (วีไอเอ็กซ์ อินเด็กซ์) ที่เป็นชื่อทางการของ **ดัชนีความผันผวน** นั่นเอง

**VIX คืออะไร? ทำไมมันถึงสำคัญกับกระเป๋าเงินของเรา?**

ลองจินตนาการว่า VIX คือ “เรดาร์ตรวจสภาพอากาศ” ของตลาดหุ้นครับ ถ้าเรดาร์ขึ้นสีเขียวอ่อนๆ แสดงว่าฟ้าใส แดดจ้า ตลาดก็สงบสุข แต่ถ้าเรดาร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม แดง เข้มขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายถึงพายุใหญ่กำลังก่อตัว ตลาดกำลังจะผันผวนอย่างรุนแรง

VIX ไม่ได้บอกทิศทางของตลาดหุ้นโดยตรงนะครับ แต่เป็นตัววัด “ความคาดหวังความผันผวน” ของนักลงทุนในอีก 30 วันข้างหน้า ผ่านราคาของออปชั่น (Options) หรือสิทธิในการซื้อขายหุ้นของดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และจากข้อมูลของหลักทรัพย์กสิกรไทย (Kasikorn Securities) และ Investing.com ระบุตรงกันว่า ดัชนี S&P 500 มีความสัมพันธ์ผกผันกับ **ดัชนีความผันผวน** VIX เสมอ นั่นแปลว่า “เมื่อตลาดหุ้นตก VIX มักจะพุ่งขึ้น” และ “เมื่อตลาดหุ้นขึ้น VIX มักจะลดลง” พูดง่ายๆ คือ ถ้า VIX สูงแปลว่านักลงทุนกำลังวิตกกังวลขั้นสุด และคาดว่าตลาดจะมีการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรุนแรงในอนาคตอันใกล้

**เมื่อไหร่ที่เรดาร์ VIX กระหึ่ม? ย้อนรอยพายุเศรษฐกิจ**

เราจะเห็น **ดัชนีความผันผวน** VIX พุ่งทะลุเพดานเสมอในช่วงที่ตลาดเผชิญกับวิกฤตการณ์ใหญ่ๆ ครับ ลองนึกภาพย้อนไปในปี 2000 ช่วงวิกฤตดอทคอม ปี 2008 วิกฤตซับไพรม์ หรือแม้แต่ช่วงที่โลกหยุดหมุนเพราะโควิด-19 ในปี 2020 ค่า VIX ก็พุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ นั่นเป็นเพราะความไม่แน่นอนในอนาคตมันสูงลิบลิ่ว นักลงทุนพากันเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง ทำให้ตลาดเข้าสู่ “ตลาดหมี” หรือภาวะตลาดขาลงอย่างรุนแรง

นอกจากวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยทางการเมืองก็ส่งผลต่อ **ดัชนีความผันผวน** ได้ไม่แพ้กัน อย่างการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐอเมริกา หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาดูการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพราะการขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และกระทบต่อผลกำไรได้ ดังที่ Investing.com ได้เคยวิเคราะห์ไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ FED สามารถสร้างความผันผวนในตลาดหุ้นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แล้วค่า VIX ปกติอยู่ประมาณเท่าไหร่ล่ะ? จากข้อมูลของ Pi Knowledge บอกไว้ว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวของ VIX อยู่ที่ประมาณ 21 แต่เมื่อไหร่ที่ค่านี้ปรับขึ้นไปสูงถึง 30 นั่นแหละครับ ถือเป็นสัญญาณว่าความผันผวนและความกลัวในตลาดหุ้นกำลังพุ่งพรวด และอาจสะท้อนว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะตลาดหมี หรือที่แย่กว่านั้นคืออยู่ในช่วงตื่นตระหนกสุดขีด โดย VIX มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 และยิ่งค่าสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงว่าตลาดมีความผันผวนมากเท่านั้น ดังที่ LiteFinance ได้อธิบายถึงขอบเขตของดัชนีตัวนี้ไว้

**VIX ไม่ได้มีไว้แค่ “ดู” แต่มีไว้ “เล่น” (และ “ป้องกัน”) ด้วยนะ!**

คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะเอาไอ้เจ้า **ดัชนีความผันผวน** VIX เนี่ย ไปทำอะไรได้บ้าง นอกจากการเฝ้าระวังความกลัวของตลาด? คำตอบคือ เราสามารถใช้ VIX เป็นเครื่องมือในการลงทุน หรือแม้แต่ใช้ป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตหุ้นของเราได้ด้วยครับ

หลักทรัพย์กสิกรไทย (Kasikorn Securities) ได้อธิบายไว้ว่า นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินที่อิงกับ VIX ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น VIX Futures (ฟิวเจอร์ส) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า VIX Options (ออปชั่น) หรือสิทธิในการซื้อขาย VIX และ VIX ETFs (อีทีเอฟ) ซึ่งเป็นกองทุนรวมดัชนีที่ลงทุนใน VIX Futures โดยตรง เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถ “เก็งกำไรในความผันผวน” ได้โดยตรง นั่นหมายความว่า ถ้าคุณคาดการณ์ว่าตลาดจะผันผวนรุนแรง คุณก็สามารถทำกำไรจากการที่ค่า VIX สูงขึ้นได้นั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีกองทุน ETF ที่ออกแบบมาเพื่อบริหารความผันผวนโดยเฉพาะ อย่าง UVIX (ยูวิกซ์) ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่มีอัตราทด 2 เท่า (2x Long VIX Futures ETF) ที่ Pi Knowledge แนะนำว่าสามารถนำมาใช้ในการ Hedge (เฮดจ์) หรือป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตหุ้นได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนเวลาคุณออกเดินทางแล้วกลัวว่าฝนจะตกหนัก คุณก็พกร่มไปด้วยเยอะๆ พอร์ตหุ้นก็เช่นกัน ถ้ากลัวตลาดผันผวน ก็มีเครื่องมืออย่าง UVIX ที่จะช่วยลดผลกระทบได้

ความผันผวนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดหุ้นเท่านั้นนะครับ แม้แต่ราคาทองคำก็มีความผันผวนในตัวของมันเอง ซึ่งสะท้อนออกมาในดัชนี Gold VIX (โกลด์ วีไอเอ็กซ์) ที่ www.thaiwarrant.com ได้นำเสนอไว้ โดยดัชนีตัวนี้ก็เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่สะท้อนความกังวลที่ส่งผ่านมายังราคาทองคำ ซึ่งมักจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง

**พลิกวิกฤตเป็นโอกาส: กลยุทธ์เมื่อ VIX พุ่งสูง**

นักลงทุนหลายคนอาจจะมองว่า **ความผันผวน** เป็นปีศาจร้าย แต่สำหรับบางคนมันคือโอกาสทองครับ โดยเฉพาะเมื่อเราเข้าใจ **ดัชนีความผันผวน** VIX อย่างถ่องแท้

Pi Knowledge ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า VIX Index นั้นสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนต่อความกล้าและความกลัวในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ใช่แนวโน้มในระยะยาว ดังนั้น เราสามารถนำมันมาใช้หาจังหวะการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นได้ เหมือนเวลาเจอของลดราคา เราก็รู้ว่านี่แหละคือจังหวะที่จะช้อนซื้อ! หลักการก็คือ “เมื่อ VIX ปรับขึ้นแตะจุดสูงสุด” (เมื่อเทียบกับในอดีต) นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าความกลัวได้แพร่กระจายไปถึงขีดสุดแล้ว และอาจถึงจุดที่ตลาดกำลังจะฟื้นตัว หรือที่เรียกว่า “จุดกลับตัว” ของตลาด นี่แหละครับคือจังหวะทองที่เราอาจจะพิจารณาเข้าไปลงทุนระยะยาวได้ เพราะหุ้นดีๆ ที่โดนเทขายออกมาราคาถูกๆ ก็จะมีให้เลือกเยอะแยะเต็มไปหมด

แต่ถ้าคุณเป็นสายป้องกันความเสี่ยง Investing.com ก็ย้ำเตือนว่า “การกระจายความเสี่ยง” หรือ Diversification (ไดเวอร์ซิฟิเคชั่น) คือกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยลดผลกระทบจาก **ความผันผวน** ในตลาดได้ เหมือนกับการที่เราไม่เอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียวครับ การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่สินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตได้ หากสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งผันผวนรุนแรง สินทรัพย์อื่นๆ ก็ยังประคองพอร์ตเอาไว้ได้

นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่สนใจเครื่องมืออนุพันธ์ (Derivatives) อย่าง Derivative Warrant (ดีดับบลิว) หรือ DW การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Historical Volatility (ฮิสทอริคอล วอลลาทิลิตี้) หรือความผันผวนในอดีต กับ Expected Volatility (เอ็กซ์เพคเต็ด วอลลาทิลิตี้) หรือความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (ซึ่งมักเรียกว่า Implied Volatility หรือความผันผวนแฝง) ก็สำคัญไม่แพ้กันครับ เพราะความเข้าใจที่แตกต่างตรงนี้มีผลกับการประเมินว่าค่าพรีเมียมของ DW นั้น “ถูก” หรือ “แพง” เมื่อเทียบกับความคาดหวังความผันผวนในอนาคต ดังที่ www.thaiwarrant.com ได้อธิบายไว้ ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุน DW ได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

**บทสรุป: ความผันผวนคือเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู**

ท้ายที่สุดแล้ว **ดัชนีความผันผวน** หรือ VIX Index ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขบนหน้าจอ แต่เป็นเหมือนสัญญาณไฟจราจรที่บอกให้เราเตรียมพร้อมสำหรับเส้นทางข้างหน้าในตลาดหุ้นครับ มันเตือนให้เราระวังพายุที่กำลังจะมา แต่ก็อาจจะชี้ช่องให้เราเห็นโอกาสทองในการช้อนซื้อหุ้นดีๆ ในราคาถูกได้เช่นกัน

การทำความเข้าใจใน VIX Index และการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องอย่าง VIX Futures, VIX Options, หรือ VIX ETF (ดังที่ LiteFinance ได้เคยชี้แนะไว้) สามารถช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น ไม่ได้อาศัยแค่ความรู้สึก หรือการคาดเดาแบบไร้หลักฐาน แต่มันคือการลงทุนอย่างมีกลยุทธ์และพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับ VIX เช่น Futures หรือ Options นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากเลเวอเรจ (Leverage) หรือการใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยเพื่อควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูง ซึ่งอาจนำไปสู่กำไรที่สูงมาก แต่ก็ขาดทุนได้มากเช่นกัน

⚠️ **คำเตือน:** สำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ที่ยังมีเงินทุนไม่มากพอ หรือสภาพคล่องไม่สูง ผมแนะนำว่าควรศึกษาหาความรู้ให้ละเอียดถ่องแท้ก่อนตัดสินใจลงทุนในเครื่องมือเหล่านี้ จะเลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก็ได้ ขอให้ “เรียนรู้ให้ดีก่อนลุย” เสมอครับ เพราะในโลกการลงทุนนั้น ความรู้คืออาวุธที่ดีที่สุดของเรา

จำไว้ว่า การลงทุนก็เหมือนกับการเดินเรือในมหาสมุทร มีทั้งวันที่คลื่นลมสงบ และวันที่ต้องเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ การรู้จักเครื่องมือพยากรณ์อากาศอย่าง **ดัชนีความผันผวน** (VIX) และการเตรียมพร้อมรับมือกับมัน จะช่วยให้การเดินทางของคุณปลอดภัย และไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้อย่างมั่นคงครับ

Leave a Reply