ไขความลับ “ดัชนีคือ” อะไร? เข็มทิศนำทางสู่ความสำเร็จในตลาดหุ้น

เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมครับว่า เวลาเราดูข่าวหุ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวจากช่องโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่แอปพลิเคชันบนมือถือ เรามักจะได้ยินคำพูดคุ้นหูอย่าง “วันนี้ตลาดหุ้นไทยบวก/ลบไปกี่จุด” หรือ “ดัชนี (Index) นั้นดิ่งลง” คำว่า “ดัชนี” เนี่ย มันฟังดูเป็นตัวเลขยากๆ ไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว ดัชนีคือเหมือนกับ “เข็มทิศ” หรือ “เทอร์โมมิเตอร์” ที่บอกอุณหภูมิของตลาดหุ้นทั้งหมดเลยนะครับ บทความนี้ ผมจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจแบบง่ายๆ สบายๆ สไตล์คนกันเอง ให้เรื่องการเงินที่ดูซับซ้อน กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เหมือนอ่านนิทานเลยครับ

ลองนึกภาพตามผมนะครับ ตลาดหุ้นก็เหมือนสนามมวยขนาดใหญ่ที่มีนักลงทุนหลายล้านคนเข้ามาแข่งขันกัน บางคนก็มาด้วยความเชื่อมั่นว่าตลาดจะสดใส หุ้นจะขึ้นแน่ๆ คนกลุ่มนี้เราเรียกว่า “นักลงทุนกระทิง” (Bulls) ครับ เหมือนกระทิงที่ชอบขวิดขึ้นข้างบน ถ้าตลาดมีนักลงทุนกระทิงเยอะๆ จนหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เราก็เรียกสภาวะนี้ว่า “ตลาดกระทิง” (Bull Market) ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีความสุขกับการลงทุน ใครซื้ออะไรก็มีแนวโน้มจะได้กำไร แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็มี “นักลงทุนหมี” (Bears) ครับ กลุ่มนี้จะมองโลกในแง่ร้ายกว่าหน่อย คิดว่าตลาดกำลังจะร่วง เหมือนหมีที่ตะปบลงข้างล่าง นักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะขายหุ้นออกไป หรือบางคนอาจจะใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “Short Selling” (ชอร์ตเซลลิ่ง) คือการยืมหุ้นมาขายก่อนแล้วค่อยไปซื้อคืนทีหลังในราคาที่ถูกลง หากตลาดเต็มไปด้วยหมี ราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็จะร่วงลงติดต่อกันจนกลายเป็น “ตลาดหมี” (Bear Market) ครับ สังเกตง่ายๆ คือเมื่อตลาดร่วงลง 20% หรือมากกว่าจากจุดสูงสุด ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราอาจกำลังอยู่ในช่วงตลาดหมี ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ตลาดกำลังไปในทิศทางไหน? กำลังคึกคักเหมือนช่วงตลาดกระทิง หรือกำลังหดหู่เหมือนตลาดหมี? เราคงไม่สามารถดูราคาหุ้นทุกตัวในตลาดที่บางประเทศมีเป็นพันๆ หมื่นๆ ตัวได้หมดถูกไหมครับ นี่แหละครับคือสิ่งที่ ดัชนีคือ ตัวช่วยสำคัญ มันเป็นเหมือน “ค่าเฉลี่ย” ที่สะท้อนภาพรวมของการเคลื่อนไหวราคาหุ้นทั้งหมด หรือกลุ่มหุ้นที่สำคัญๆ ทำให้เราเห็นภาพใหญ่ได้ง่ายขึ้น ดัชนีคือตัวเลขที่ช่วยย่อข้อมูลมหาศาลให้เหลือแค่ตัวเลขเดียว ทำให้เราประเมินสถานการณ์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับตลาดหุ้นไทยของเรา เรามีดัชนีสำคัญๆ หลายตัวเลยครับ ตัวแรกที่ทุกคนรู้จักกันดีคือ **SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์)** หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนีคือตัวแทนของหุ้นทุกตัวที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เวลาที่เราได้ยินว่า “ตลาดหุ้นไทยวันนี้บวก” ก็คือค่าของ SET Index ที่เพิ่มขึ้นนั่นเองครับ การคำนวณ SET Index นั้นจะใช้มูลค่าตลาดรวมของหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน มาเทียบกับมูลค่าตลาดรวมในวันฐาน แล้วคูณด้วยค่าฐานของดัชนี ซึ่งก็คือการดูว่าภาพรวมมูลค่าของตลาดทั้งหมดนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากจุดเริ่มต้นเท่าไรนั่นเอง

นอกจาก SET Index แล้ว เรายังมีดัชนีที่แบ่งกลุ่มหุ้นตามขนาดและความสำคัญอีก เช่น **SET50 Index (เซ็ตห้าสิบ อินเด็กซ์)** ซึ่งก็คือดัชนีที่รวมหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง มีสภาพคล่องในการซื้อขายดี และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์ที่กำหนด พูดง่ายๆ ก็คือ 50 สุดยอดหุ้นใหญ่ของไทยที่ใครๆ ก็รู้จักและซื้อขายกันเยอะๆ นั่นเองครับ ส่วน **SET100 Index (เซ็ตหนึ่งร้อย อินเด็กซ์)** ก็คือดัชนีที่รวมหุ้น 100 ตัวแรกที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูง คล้ายกับ SET50 แต่มีจำนวนหุ้นที่มากกว่า ทำให้สะท้อนภาพของหุ้นขนาดกลางถึงใหญ่ได้กว้างขึ้น ทั้ง SET50 และ SET100 นี้จะมีการปรับรายชื่อหุ้นที่อยู่ในดัชนีทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นที่อยู่ในดัชนีเหล่านี้ยังคงเป็นหุ้นที่ใหญ่และมีคุณภาพตามเกณฑ์อยู่เสมอ ดัชนีคือข้อมูลสำคัญที่ถูกอัปเดตอยู่ตลอดเวลาครับ

สำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นปันผลดีๆ เราก็มี **SETHD Index (เซ็ตเอชดี อินเด็กซ์)** ซึ่งย่อมาจาก SET High Dividend Index ดัชนีคือที่รวบรวมหุ้น 30 ตัวที่อยู่ใน SET100 และมีประวัติการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 ปี แถมยังต้องมีอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิไม่เกิน 85% ด้วยนะครับ ใครที่มองหาหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ดัชนีตัวนี้ก็เป็นตัวช่วยที่ดีครับ ส่วนหุ้นกลุ่มเล็กๆ หรือหุ้นขนาดกลางที่ไม่ได้อยู่ใน SET50 และ SET100 ก็มีดัชนีที่เรียกว่า **sSET Index (เอสเซ็ต อินเด็กซ์)** ครับ และสุดท้ายคือ **mai Index (เอ็มเอไอ อินเด็กซ์)** ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment หรือ MAI) ซึ่งเป็นตลาดสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ต้องการระดมทุน

ไม่เพียงแค่ในประเทศไทยนะครับ ในตลาดหุ้นทั่วโลกก็มีดัชนีสำคัญๆ ที่นักลงทุนและสื่อทั่วโลกจับตามองไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่น **Dow Jones (ดาวโจนส์)** หรือชื่อเต็มว่า Dow Jones Industrial Average (DJIA) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นขนาดใหญ่ 30 แห่งในสหรัฐอเมริกา เหมือนเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของอเมริกาครับ ถัดมาคือ **S&P 500 (เอสแอนด์พีห้าร้อย)** ดัชนีคือที่ครอบคลุมหุ้น 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกาได้กว้างขวางกว่า Dow Jones มาก และสำหรับสายเทคโนโลยี ก็ต้องรู้จัก **NASDAQ (แนสแด็ก)** ดัชนีคือที่รวมบริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 3,000 แห่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นบ้านของบริษัทนวัตกรรมและเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก

นอกจากนี้ ยังมีดัชนีในตลาดอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน อย่าง **DE30 (ดีอีสามสิบ)** ซึ่งเป็นดัชนีของบริษัทขนาดใหญ่ 30 แห่งในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี หรือ **FTSE100 (ฟุตซี่หนึ่งร้อย)** ที่รวบรวมบริษัท 100 แห่งที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ประเทศอังกฤษ และ **NIKKEI225 (นิกเคอิสองสองห้า)** ดัชนีคือที่ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 225 แห่งในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นดัชนีที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งในเอเชียเลยครับ

คุณอาจสงสัยว่า แล้วนอกจากการดูภาพรวมตลาดแล้ว ดัชนีคืออะไรอีกที่ช่วยนักลงทุนได้บ้าง? ดัชนียังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนและบริหารความเสี่ยงในการลงทุนด้วยครับ มีกลยุทธ์หนึ่งที่เรียกว่า **Hedging (เฮดจิ้ง)** หรือการบริหารความเสี่ยง ซึ่งก็คือการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อจำกัดความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่เราถืออยู่ เหมือนเราซื้อประกันภัยให้กับพอร์ตลงทุนของเรานั่นแหละครับ สมมติว่าคุณมีหุ้นอยู่ในมือเยอะมาก และกังวลว่าตลาดอาจจะร่วงลงมา คุณอาจจะใช้การ Hedging เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ การใช้ ดัชนีคือ ตัวช่วยในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการทำ Hedging ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จะเห็นได้ว่า ดัชนีคือ มากกว่าแค่ตัวเลขที่วิ่งขึ้นลงบนหน้าจอ แต่มันคือภาษาที่บอกเล่าเรื่องราวของตลาดทุน ทั้งภาพรวมตลาดจากมุมมองของนักลงทุนกระทิงและหมี นโยบายการเงินที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง และยังเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ชี้วัดผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น การเข้าใจ ดัชนีคือ กุญแจสำคัญที่ทำให้นักลงทุนอย่างเรามองเห็นภาพรวมของตลาดหุ้นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตลาดบ้านเราหรือตลาดโลก ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านชี้ว่า การศึกษาและทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของดัชนีต่างๆ เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน ยิ่งในโลกยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศอย่าง Moneta Markets ก็มักจะมี ดัชนีเหล่านี้ให้เลือกเทรดด้วย เพื่อให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงโอกาสในตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

⚠️ อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ แม้ว่า ดัชนีคือ จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและทิศทางของตลาดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำกำไรได้เสมอไป ทุกการตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้เสมอ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการลงทุนครับ แต่การมีความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือสำคัญอย่าง ดัชนีคือ จะช่วยให้คุณเดินทางในโลกของการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีเข็มทิศนำทางที่ดีขึ้นแน่นอนครับ!

Leave a Reply