ไขความลับตลาดหุ้น: ทำไมต้องรู้ว่า Index คือ อะไร?

ช่วงนี้เพื่อนสนิท ‘น้องแก้ว’ ชอบถามผมว่า “พี่คะ วันนี้ SET เป็นยังไงบ้าง?” หรือไม่ก็ “พี่คะ ดัชนีตลาดหุ้นที่เราดูกันเนี่ย…มันคืออะไรเหรอคะ?” คำถามเหล่านี้ทำให้ผมรู้ว่า หลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า **index คือ** อะไรกันแน่ และทำไมตัวเลขเหล่านี้ถึงสำคัญกับการลงทุนของเรา วันนี้ผมเลยจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกัน รับรองว่าอ่านจบแล้วจะร้องอ๋อ!

ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจก่อนว่าคำว่า ‘ดัชนี’ หรือ **index คือ** อะไรกันแน่ในความหมายกว้างๆ? ลองนึกภาพแบบนี้ครับ…เวลาเราอ่านหนังสือ บางทีจะมี ‘ดัชนีค้นคำ’ อยู่ท้ายเล่มใช่ไหมครับ? มันช่วยให้เราหาข้อมูลที่เราต้องการเจอเร็วขึ้น หรือแม้แต่ ‘ดัชนีราคาผู้บริโภค’ (CPI) ที่ข่าวชอบรายงาน ก็เป็นตัวบอกว่าข้าวของแพงขึ้นแค่ไหน นั่นแหละครับ…ดัชนีก็คือ ‘ตัวชี้วัด’ ‘ตัวบ่งชี้’ หรือ ‘เครื่องมือที่ใช้วัดและเปรียบเทียบข้อมูล’ นั่นเอง

ทีนี้พอมาอยู่ในโลกของการลงทุน **index คือ** อะไรที่สำคัญมากครับ มันไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ แต่เปรียบเสมือน ‘บารอมิเตอร์’ ที่คอยวัดอุณหภูมิของตลาดหุ้นโดยรวมให้เราเห็นว่าตอนนี้ตลาดกำลังร้อนแรง (ขาขึ้น) หรือกำลังซบเซา (ขาลง) ช่วยให้นักลงทุนอย่างเราๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะลุยต่อ หรือว่าต้องตั้งรับดี

ลองสังเกตดูสิครับ เวลาที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ หุ้นส่วนใหญ่ขึ้นตาม ผู้คนต่างคึกคัก อยากซื้อหุ้นกันเต็มไปหมด แบบนี้เราเรียกว่า ‘ตลาดกระทิง’ (Bull Market) ครับ เหมือนกระทิงที่ขวิดขึ้นข้างบน พลังเต็มเปี่ยม ส่วนนักลงทุนที่มองโลกในแง่ดีก็เป็น ‘นักลงทุนกระทิง’ (Bulls) พร้อมลุย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ดัชนีดิ่งลง หุ้นส่วนใหญ่พร้อมใจกันแดงเถือก เศรษฐกิจเริ่มไม่ดี คนเริ่มกลัว แบบนี้คือ ‘ตลาดหมี’ (Bear Market) ครับ เหมือนหมีที่ตะปบลงข้างล่าง นักลงทุนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือคาดว่าตลาดจะลงก็เป็น ‘นักลงทุนหมี’ (Bears) ที่พร้อมจะขายทำกำไรหรือตัดขาดทุนออกไป การเข้าใจภาวะตลาดแบบนี้สำคัญมาก เพราะมันบอกว่าเราควรจะวางกลยุทธ์ยังไง บางทีนักลงทุนก็ใช้กลยุทธ์ ‘เฮดจิ้ง’ (Hedging) หรือการป้องกันความเสี่ยง เช่น ลงทุนในสินทรัพย์ที่ตรงข้ามกัน เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม

แต่ตลาดหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยตัวเองนะครับ มันตอบสนองต่อ ‘ดนตรี’ ที่บรรเลงโดย ‘วงออร์เคสตราเศรษฐกิจ’ ที่มี ‘ตัวเลขเศรษฐกิจ’ เป็นโน้ต และ ‘นโยบายการเงิน’ เป็นตัวควบคุมจังหวะ ลองนึกภาพ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ที่บอกว่าเศรษฐกิจเราโตเร็วแค่ไหน, อัตราเงินเฟ้อ (ดัชนีราคาผู้บริโภค – CPI) ที่บอกว่าข้าวของแพงขึ้นเท่าไหร่, หรืออัตราการว่างงานที่สะท้อนสุขภาพตลาดแรงงาน ตัวเลขเหล่านี้คือ ‘ผลการตรวจสุขภาพ’ ของประเทศ ถ้าผลดี ตลาดก็มีแนวโน้มสดใส ส่วน ‘นโยบายการเงิน’ โดยเฉพาะการขึ้น-ลงของ ‘อัตราดอกเบี้ย’ โดยธนาคารกลาง ก็เหมือนการเร่งหรือผ่อนคันเร่งเศรษฐกิจเลยครับ ลองนึกภาพแบบนี้ ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ มันอาจจะทำให้คนอยากฝากเงินมากขึ้น กู้ยากขึ้น และบริษัทต่างๆ ก็อาจจะลงทุนน้อยลง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบถึงผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้น และแน่นอน…มันสะท้อนไปที่ดัชนีตลาดหุ้นด้วย นั่นคืออีกเหตุผลว่าทำไม **index คือ** เครื่องมือสำคัญที่ต้องจับตา

มาดูที่บ้านเรากันบ้าง ตลาดหุ้นไทยเราก็มี ‘ดัชนี’ หลายตัวให้เราเลือกใช้เพื่อวัดผลและเข้าใจตลาดนะครับ แต่ละตัวก็มีหน้าที่และบอกเล่าเรื่องราวต่างกันไป

* **ดัชนี SET** หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า SET Index คือ ตัวพ่อตัวแม่เลยครับ มันสะท้อนภาพรวมของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เหมือนกระจกบานใหญ่ที่ส่องเห็นตลาดทั้งตลาด ไม่ว่าหุ้นตัวเล็กตัวใหญ่จะขยับ ดัชนี SET ก็จะแสดงภาพรวมให้เห็น
* ส่วน **ดัชนี SET50** ก็คือการเอาหุ้น 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดและสภาพคล่องดีสุดมารวมกัน เป็นตัวแทนของ ‘บิ๊กเนม’ ในตลาด ถ้า SET50 ขยับขึ้นลง ก็มักจะลากตลาดโดยรวมไปด้วย และ **ดัชนี SET100** ก็คล้ายกันครับ แต่ขยายเป็น 100 ตัวแรก เป็นกลุ่มหุ้นใหญ่รองลงมา
* ยังมี **ดัชนี SETHD** สำหรับสายรับปันผล เป็นหุ้น 30 ตัวที่ปันผลดี๊ดี ใครชอบหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ต้องดูดัชนีนี้เลย
* **ดัชนี sSET** สำหรับหุ้นเล็กๆ นอก SET50/100 ที่มีศักยภาพเติบโตสูง
* **ดัชนี SETTHSI** สำหรับสายรักษ์โลกที่เน้นหุ้นยั่งยืน (ESG) บริษัทเหล่านี้จะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลด้วย
* **ดัชนี SETWB** ที่นักลงทุนต่างชาติชอบมอง เป็นดัชนีของหุ้น 30 ตัวใน 7 หมวดธุรกิจที่ต่างชาติสนใจเป็นพิเศษ
* และที่น่าสนใจสุดๆ คือ **ดัชนี SETTRI** ที่คำนวณ ‘ผลตอบแทนรวม’ ทั้งจากปันผลและส่วนต่างราคาหุ้น สะท้อนการลงทุนที่แท้จริงได้ดีกว่าดัชนีราคาหุ้นอย่างเดียว เพราะนักลงทุนไม่ได้แค่สนใจราคาหุ้นที่เปลี่ยนไป แต่สนใจเงินปันผลที่ได้รับด้วย
* ไม่ลืม ‘ตลาดรอง’ อย่าง **ดัชนี mai** ที่เป็นดัชนีของบริษัทขนาดเล็กและ SMEs ที่เพิ่งเข้ามาตลาดครับ เป็นอีกเวทีให้บริษัทขนาดเล็กได้ระดมทุน

โลกการลงทุนไม่ได้จบแค่บ้านเรานะครับ ‘ดัชนี’ ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกก็มีอีกเพียบ เช่น **ดัชนีดาวโจนส์** (Dow Jones Industrial Average – DJIA) ที่ประกอบด้วย 30 บริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เหมือนเป็นตัวแทนเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลก **S&P 500** ที่ครอบคลุม 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ซึ่งถือเป็นดัชนีที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้กว้างกว่า **NASDAQ** ที่เป็นบ้านของบริษัทเทคโนโลยีตัวท็อปมากมาย อย่าง Apple, Microsoft, Google ส่วนในยุโรปก็มี **DE30** ของเยอรมนี หรือ **FTSE100** ของอังกฤษ ทางฝั่งเอเชียก็มี **NIKKEI225** ของญี่ปุ่น ซึ่งล้วนเป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็นมาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาค

แล้วไอ้ตัวเลข ‘ดัชนี’ เหล่านี้มันคำนวณกันยังไงนะ? หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วก็มีหลักการไม่กี่แบบครับ หลักการคำนวณที่แตกต่างกันนี่แหละครับ ที่ทำให้ดัชนีแต่ละตัวบอกเล่าเรื่องราวได้ไม่เหมือนกัน ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเลือกชั่งน้ำหนักผักผลไม้ แต่มีหลายแบบให้เลือก:

* แบบแรกคือ **ดัชนีหุ้นที่ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด** (Capitalization-weighted Index) หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า ‘Market Cap Weighted’ อันนี้ใช้กันเยอะที่สุด เช่น S&P 500, FTSE 100, รวมถึง SET Index ของเราด้วย หลักการคือ หุ้นตัวไหนมี ‘มูลค่าตลาด’ (Market Capitalization) หรือ ‘มาร์เก็ตแคป’ ใหญ่ๆ (เช่น ปตท. หรือ AOT ในตลาดไทย) ก็จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากหน่อย เหมือนช้างสารเดินสะเทือนทั้งป่า ถ้าหุ้นตัวใหญ่ขึ้น ดัชนีก็ขึ้นตามเยอะ ถ้าตัวใหญ่ลง ดัชนีก็ดิ่งตามเยอะ
* แบบที่สองคือ **ดัชนีหุ้นที่ถ่วงน้ำหนักด้วยราคาตลาด** (Price-weighted Index) อันนี้จะเน้นไปที่ ‘ราคาหุ้น’ โดยตรง หุ้นตัวไหนราคาแพง (เช่น ถ้ามีหุ้น A ราคา 100 บาท หุ้น B ราคา 10 บาท หุ้น A จะมีน้ำหนักมากกว่า) ก็จะมีน้ำหนักเยอะ อย่างเช่น ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) และ Nikkei 225 ของญี่ปุ่น เป็นต้น
* ส่วนแบบสุดท้ายคือ **ดัชนีหุ้นที่ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน** (Equal-weighted Index) อันนี้แฟร์ๆ ครับ หุ้นทุกตัวในดัชนีมีสัดส่วนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเล็กหุ้นใหญ่ หลักการคือเน้นความหลากหลาย ไม่ให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีอิทธิพลมากเกินไป

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า ‘ดัชนี’ หรือ **index คือ** อะไร และทำไมมันถึงสำคัญกับเราในฐานะนักลงทุน มันเหมือนกับการที่เรามี GPS คอยนำทางให้เราเห็นภาพรวมของถนนที่เรากำลังจะเดินทางไป ในปี 2023 ที่ผ่านมา ดัชนี SET ของไทยมีความผันผวนพอสมควร จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นๆ ลงๆ นี่แสดงให้เห็นว่า แม้ตลาดจะดูแข็งแกร่ง แต่ก็มีความท้าทายรออยู่เสมอ ‘คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เคยกล่าวไว้ว่า ‘การลงทุนที่ดีต้องมาจากการศึกษาข้อมูลที่รอบด้าน’ ซึ่ง ‘ดัชนี’ เป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญนั้น

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อหุ้น แต่ไม่เคยดูดัชนีตลาดเลยว่าตอนนี้เป็น ‘ตลาดกระทิง’ หรือ ‘ตลาดหมี’ มันก็เหมือนการขับรถโดยไม่มองกระจกหน้ารถเลยใช่ไหมครับ? โอกาสที่จะชนก็มีสูง การรู้ว่า **index คือ** อะไรและดูเป็น จะช่วยให้เราประเมินความเสี่ยงและโอกาสได้ดีขึ้นมาก เราอาจจะเห็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า หรือหาจังหวะดีๆ ในการเข้าลงทุนได้ สิ่งเหล่านี้คือ ‘แต้มต่อ’ สำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน

สรุปแล้ว ดัชนี ไม่ว่าจะเป็นดัชนี SET, SET50, หรือดัชนีดาวโจนส์ ก็คือ ‘เข็มทิศ’ ที่ช่วยนำทางเราในโลกการลงทุนที่ซับซ้อนครับ มันช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาด, ประเมินความเสี่ยง, และวางแผนการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นครั้งต่อไป ลองใช้เวลาสักนิด ‘สำรวจดัชนี’ ให้ดีก่อนนะครับ ดูว่าภาพรวมตลาดเป็นอย่างไร และเปรียบเทียบกับเป้าหมายการลงทุนของคุณ หากคุณสนใจลงทุนในตลาดต่างประเทศ แพลตฟอร์มการลงทุนสมัยใหม่บางแห่งก็อาจเสนอทางเลือกในการซื้อขายดัชนีระดับโลกให้คุณเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น คุณอาจเห็นแพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets ที่มีเครื่องมือและข้อมูลการวิเคราะห์ต่างๆ ที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงตลาดหุ้นและดัชนีต่างประเทศได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการขยายโอกาสการลงทุน แต่ไม่ว่าจะเลือกแพลตฟอร์มไหน หรือลงทุนในสินทรัพย์ใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน

⚠️ โปรดจำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ หากยังไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนนะครับ เพราะแม้ดัชนีจะช่วยบอกทิศทาง แต่ก็ไม่ได้การันตีผลตอบแทน และตลาดก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ! ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างชาญฉลาดและประสบความสำเร็จครับ

Leave a Reply