เจาะลึก S&P 500: เปรียบเทียบดัชนีชี้วัดโอกาสทำกำไรระยะยาว

ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวช่องไหน เราก็มักจะได้ยินคำว่า “ตลาดหุ้น” วนเวียนอยู่ในหัวใช่ไหมครับ? บางคนอาจจะรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังเรื่องอะไรสักอย่างที่บทซับซ้อน ตัวละครเยอะแยะไปหมด แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด! โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามาลอง “เปรียบเทียบ ดัชนีเอสแอนด์พี 500” กันแบบง่ายๆ สไตล์ผม นักเขียนคอลัมน์การเงินที่อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจโลกการลงทุนแบบสบายๆ ไม่ต้องเครียด!

เพื่อนๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า “ดัชนีเอสแอนด์พี 500” (S&P 500) กันมาบ้างแหละ แต่อาจจะยังงงๆ ว่ามันคืออะไร สำคัญไฉน? ลองนึกภาพแบบนี้ครับ… ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (Wall Street หรือ วอลล์สตรีท) คือสนามแข่งขันฟุตบอลระดับโลก ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ก็เปรียบเสมือนคะแนนรวมของ 500 ทีมที่เก่งที่สุดในลีกนั่นแหละครับ มันเป็นตัวชี้วัดสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่ดัชนีธรรมดาๆ แต่มันคือ “เทอร์โมมิเตอร์” ที่วัดอุณหภูมิทางเศรษฐกิจที่สำคัญมากๆ เลยทีเดียว!

เอาล่ะครับ ในช่วงที่ผ่านมา สนามแข่งขันวอลล์สตรีทของเราก็คึกคักไม่เบาเลยนะ โดยเฉพาะ “บรรดากองหน้าตัวจี๊ด” อย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (Tech stocks) ที่ยังคงเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนวอลล์สตรีทถึงกับได้ฉลองการกลับสู่ “แดนบวก” หรือจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว ลองคิดดูสิครับว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะกับการที่ตลาดหุ้นที่มีมูลค่าตลาดรวมกันมากกว่า 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะสามารถทำสถิติแบบนี้ได้ ข้อมูลจาก marketwatch.com และ thestandard.co ต่างก็ยืนยันตรงกันว่านักลงทุนต่างจับจ้องไปที่รายงานผลประกอบการและแนวโน้มของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะพวกเขานี่แหละคือหัวใจสำคัญของการเติบโตในปัจจุบัน แต่ถึงแม้ตลาดจะดูสดใส แต่ก็ยังมีความกังวลแฝงอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องนโยบายการค้าของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ (Trump) ที่อาจจะกลับมามีผลกระทบต่อตลาดได้อีกครั้ง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราต้องคอยจับตาดูให้ดีนะครับ เหมือนนักฟุตบอลที่ต้องระวังคู่แข่งที่เคยแพ้ไว้เมื่ออดีตยังไงยังงั้นแหละ!

คุณอาจจะสงสัยว่า แล้ว “ผู้จัดการทีม” อย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” (Fed) เขามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นบ้าง? แน่นอนว่ามีส่วนอย่างมากเลยครับ! ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “เฟด” เคยออกมากล่าวว่า พวกเขาเห็นความคืบหน้าในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ซึ่งเปรียบเสมือนไข้หวัดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ข้าวของแพงขึ้น แต่เขาก็ยังต้องการความมั่นใจมากกว่านี้ก่อนที่จะตัดสินใจ “ลดอัตราดอกเบี้ย” ซึ่งเหมือนกับการลดขนาดยาที่เคยใช้รักษาไข้หวัดใหญ่นั่นแหละครับ (อ้างอิงจาก marketwatch.com) การตัดสินใจของเฟดเรื่องอัตราดอกเบี้ยนี้แหละที่จะส่งผลต่อต้นทุนการเงินของบริษัทต่างๆ และส่งผลต่อไปยังตลาดหุ้นโดยรวม ดังนั้น ทุกคำพูดของท่านประธานเฟดจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกต่างตั้งใจฟัง ราวกับฟังคำสั่งการจากแม่ทัพใหญ่ในสนามรบเลยทีเดียว

ทีนี้ เรามาดูกันแบบเจาะลึกที่ “ผลงาน” ของดัชนีเอสแอนด์พี 500 กันบ้างดีกว่าครับ! เหมือนกับการดูสถิติของนักกีฬาที่เราชื่นชอบนั่นแหละ ช่วงสั้นๆ อาจจะไม่สวยหรูเท่าไหร่ ถ้าดูจากตัวเลขล่าสุด (ตามข้อมูลจาก marketwatch.com)
* ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา: -3.44%
* 1 เดือน: -4.42%
* 3 เดือน: -10.61%
* ตั้งแต่ต้นปี: -4.96%
* 1 ปี: -13.05%
เห็นตัวเลขติดลบแบบนี้ บางคนอาจจะตกใจและคิดว่า “โอ๊ยยยย ตลาดหุ้นมันน่ากลัวจริงๆ!” แต่เดี๋ยวก่อนครับ! นี่แหละคือความเข้าใจผิดที่หลายคนมักจะติดกับดัก การที่ผลตอบแทนระยะสั้นติดลบ ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดีในระยะยาวนะครับ มันก็เหมือนกับเวลาทีมฟุตบอลที่เราเชียร์แพ้ในนัดสองนัด แต่สุดท้ายก็ยังคว้าแชมป์ได้นั่นแหละ!

ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปดูผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในอดีต (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2025 จาก curvo.eu) เราจะเห็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ:
* 1 เดือน: 5.09%
* 3 เดือน: 11.57%
* 6 เดือน: 5.76%
* 1 ปี: 15.16%
* 3 ปี: 19.71%
* 5 ปี: 16.64%
* 10 ปี: 13.65%
* 15 ปี: 14.86%
เห็นไหมครับว่าในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนมันน่าประทับใจแค่ไหน! นี่คือสิ่งที่นักลงทุนผู้มั่งคั่งเข้าใจและยึดถือมาโดยตลอดครับ พวกเขาไม่ได้สนใจแค่ผลงานรายวัน แต่ให้ความสำคัญกับ “แนวโน้ม” และ “ผลลัพธ์” ในระยะยาวมากกว่า ลองจินตนาการว่าคุณถือการลงทุนในดัชนีเอสแอนด์พี 500 มาเป็นเวลา 15 ปี คุณจะได้เห็นพอร์ตการลงทุนของคุณเติบโตเฉลี่ยปีละเกือบ 15% เลยนะ! มันเหมือนกับการปลูกต้นไม้ครับ ถ้าเราดูแลรดน้ำพรวนดินไปเรื่อยๆ วันนึงมันก็จะเติบโตออกดอกออกผลให้เราเก็บเกี่ยวได้อย่างงามเลย

เรามาลองดูผลตอบแทนรายปีของดัชนีเอสแอนด์พี 500 กันแบบปีต่อปีบ้างดีกว่าครับ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น (ข้อมูลจาก curvo.eu):
* ปี 2018: -4.38% (ปีนี้ดูจะซึมๆ หน่อย เหมือนช่วงที่ทีมฟอร์มตกเล็กน้อย)
* ปี 2019: 31.49% (ว้าว! ปีนี้ระเบิดฟอร์มสุดๆ เหมือนได้แชมป์ไปเลย)
* ปี 2020: 18.40% (แม้จะมีวิกฤติ แต่ก็ยังฟื้นตัวได้ดี)
* ปี 2021: 28.71% (ฟอร์มแรงต่อเนื่อง!)
* ปี 2022: -18.11% (ปีนี้หนักหน่อย เหมือนโดนคู่แข่งอัดกลับมาเต็มๆ)
* ปี 2023: 26.29% (กลับมาผงาดอีกครั้ง)
* ปี 2024: 25.02% (ยังคงเส้นคงวาในแดนบวก)
* ตั้งแต่ต้นปี 2025: 6.20% (เริ่มต้นปีได้สวยงาม)
จะเห็นได้ว่า การลงทุนในดัชนีเอสแอนด์พี 500 นั้นไม่ใช่เส้นทางที่ราบเรียบเสมอไป มีทั้งขาขึ้นและขาลง เหมือนกราฟหัวใจของเรานี่แหละครับ แต่สิ่งที่สำคัญคือ “ค่าเฉลี่ย” ในระยะยาวต่างหากที่มันน่าสนใจและทำให้ใครหลายคนรวยขึ้นมาได้

และแน่นอนครับว่า นอกจากเรื่องดัชนีเอสแอนด์พี 500 แล้ว เราก็ยังต้องมองไปยังปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกด้วย อย่างเช่น ราคาน้ำมันดิบ ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 83.72 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 0.41%) หรือราคาทองคำ ที่ 2,344.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 0.22%) (ข้อมูลจาก marketwatch.com) ตัวเลขเหล่านี้เหมือนกับลมฟ้าอากาศ ที่เราต้องคอยอัปเดตอยู่เสมอ เพราะมันส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและกำลังซื้อของผู้คนทั่วโลกเลยนะครับ

ส่วนในระดับบริษัท ก็มีข่าวคราวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่างหุ้นของ Rivian (ริเวียน) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่ราคาปรับตัวขึ้นเพราะยอดส่งมอบรถยนต์สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ สวนทางกับหุ้นของ Chewy (ชิววี่) ที่ราคาปรับตัวลง ส่วนหุ้นของ Tesla (เทสลา) ก็ยังคงเป็นที่จับตาและมีการซื้อขายอย่างคึกคักเสมอ (จาก marketwatch.com) ข่าวสารเหล่านี้ก็เหมือนกับการติดตามฟอร์มของนักเตะแต่ละคนในทีมครับ บางคนฟอร์มดี บางคนฟอร์มตก แต่สุดท้ายแล้ว “ผลงานของทีม” โดยรวมต่างหากที่สำคัญ ซึ่งนั่นก็คือผลงานของดัชนีเอสแอนด์พี 500 นั่นเอง

บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วดัชนีเอสแอนด์พี 500 กับ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) ต่างกันยังไง? อันไหนดีกว่ากัน? การ “เปรียบเทียบ ดัชนีเอสแอนด์พี 500” กับดัชนีดาวโจนส์ก็เหมือนกับการเปรียบเทียบทีมฟุตบอลสองทีมที่แข่งอยู่ในลีกเดียวกันครับ ดัชนีดาวโจนส์จะประกอบด้วย 30 บริษัทขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ซึ่งถือเป็นตัวแทนตลาดที่ดี แต่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่มี 500 บริษัท จะมีความหลากหลายและครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ ได้กว้างกว่า ทำให้มันสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ชัดเจนกว่านั่นเองครับ (ข้อมูลจาก curvo.eu) เหมือนเราดูผลงานของทีมชาติที่คัดนักเตะจากหลายร้อยสโมสรมาติดทีมชาติ ย่อมสะท้อนภาพรวมฟุตบอลของประเทศนั้นได้ดีกว่าการดูผลงานของแค่ 30 สโมสรชั้นนำใช่ไหมครับ

มาถึงตรงนี้ คุณคงพอจะเห็นภาพแล้วนะครับว่า การ “เปรียบเทียบ ดัชนีเอสแอนด์พี 500” ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนอะไรเลย และมันคือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เราสามารถใช้เพื่อทำความเข้าใจและลงทุนในตลาดหุ้นระดับโลกได้ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม และถึงแม้จะมีช่วงที่ผันผวนบ้างในระยะสั้น (เหมือนชีวิตที่มีขึ้นมีลง) แต่ในระยะยาวแล้ว ผลตอบแทนที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันน่าสนใจขนาดไหน การลงทุนในดัชนีนี้จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

สรุปง่ายๆ ก็คือ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 คือ “ม้างาน” ตัวสำคัญในพอร์ตการลงทุนของเราครับ มันอาจจะไม่ได้วิ่งหวือหวาเหมือนหุ้นบางตัว แต่มีความสม่ำเสมอและให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว หากคุณกำลังมองหาช่องทางการลงทุนที่เน้นการเติบโตแบบยั่งยืน และไม่อยากมานั่งเลือกหุ้นเป็นรายตัวให้ปวดหัว การพิจารณาลงทุนในกองทุนที่อ้างอิงดัชนีเอสแอนด์พี 500 ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจทีเดียวครับ เหมือนเราซื้อหุ้นของ “ทีมชาติ” ทั้งทีม ไม่ใช่แค่ตัวนักเตะคนเดียว

**คำแนะนำจากใจ:**
⚠️ จำไว้นะครับว่า การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ! แม้ว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะมีประวัติผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่ผลงานในอดีตไม่สามารถรับประกันผลงานในอนาคตได้ ศึกษาข้อมูลให้ดี ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และกระจายความเสี่ยง (Diversification) ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่กองทุนดัชนีอย่างเดียว ถ้าคุณยังใหม่กับโลกการลงทุน อาจจะเริ่มต้นจากเงินจำนวนน้อยๆ และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อมีความเข้าใจมากขึ้นครับ ที่สำคัญที่สุดคือ “อย่าโลภ” และ “อย่าตื่นตระหนก” ไปกับความผันผวนระยะสั้นนะครับ! เพราะในโลกของการลงทุนนั้น จิตใจที่มั่นคงและสติที่มั่นคง สำคัญไม่แพ้ความรู้เลยทีเดียว ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนนะครับ!

Leave a Reply