Nikkei พุ่ง! เกี่ยวอะไรกับเงินในกระเป๋าคุณ?

สวัสดีครับทุกท่าน! พบกับผมอีกครั้งในคอลัมน์การเงินที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เหมือนคุยกับเพื่อนบ้านข้างๆ ที่กำลังจิบกาแฟสบายๆ ยามเช้า เรื่องเงินเรื่องทองบางทีก็ฟังดูน่าปวดหัวใช่ไหมครับ ทั้งตัวเลข ดัชนี นโยบายสารพัด แต่ถ้าเราลองมองดีๆ มันก็เหมือนเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเรานี่แหละครับ อย่างเช้านี้ ผมตื่นมาเปิดข่าว ก็เห็นพาดหัวเกี่ยวกับ “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” หรือที่หลายคนชอบเรียกสั้นๆ ว่า *nikkei* (นิกเคอิ) เฮ้ย! มันเกี่ยวอะไรกับเราน่ะเหรอ? อย่าเพิ่งเลื่อนผ่านนะครับ เพราะเรื่องนี้มันเชื่อมโยงกับกระเป๋าสตางค์ของพวกเราทุกคนมากกว่าที่คิดซะอีกนะ!

ลองนึกภาพตามนะครับว่าโลกการเงินก็เหมือนกับ ‘ซุปหม้อใหญ่’ ที่ทุกประเทศคือวัตถุดิบและเครื่องปรุง ยิ่งวัตถุดิบดี เครื่องปรุงถึงรส ซุปก็ยิ่งน่ากิน หรือก็คือเศรษฐกิจก็ยิ่งดีนั่นแหละครับ และหนึ่งใน ‘วัตถุดิบ’ ชิ้นสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาอยู่ตอนนี้ก็คือ “ญี่ปุ่น” ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ดัชนี Nikkei 225” (นิกเคอิ 225 อินเด็กซ์) ที่เป็นเหมือนเครื่องวัดไข้เศรษฐกิจของญี่ปุ่น วันก่อนผมไปเดินตลาด ได้ยินคุณป้าข้างแผงผักบ่นว่า “เห็นข่าวว่าหุ้นญี่ปุ่นขึ้นเยอะแยะ แล้วเงินเยนมันจะแข็งขึ้นตามไปด้วยไหมเนี่ย?” แหม… นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมอยากจะชวนคุยวันนี้ เพราะไม่ว่าเราจะลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงหรือไม่ เรื่องพวกนี้ก็กระทบเราได้หมด ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าที่เราซื้อขาย ค่าเงินที่เราแลกเปลี่ยน หรือแม้แต่บรรยากาศการค้าในประเทศเราเองเลยล่ะครับ

ช่วงนี้ “ดัชนี Nikkei 225” (นิกเคอิ 225 อินเด็กซ์) เนี่ย กำลังเป็นพระเอกในตลาดเอเชียเลยก็ว่าได้ครับ ข้อมูลจากสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) ที่เราอ่านกันเมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ว่าดัชนีนิกเคอิ 225 ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ปิดที่ 40,913.65 จุด ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจมากๆ เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่เคยทำไว้ที่ 41,087.75 จุด มันเหมือนกับนักวิ่งมาราธอนที่ใกล้จะเข้าเส้นชัยทำลายสถิติส่วนตัวเลยก็ว่าได้ครับ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นเท่านั้นนะครับที่คึกคัก เพราะตลาดหุ้นในไต้หวันเองก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ไปแล้วเช่นกัน เหมือนกับว่าทุกคนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้มันดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาคมากๆ เพราะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คุณอาจจะถามว่า “แล้วมันเกี่ยวกับเรายังไง?” ก็เหมือนเวลาเพื่อนบ้านเราถูกหวยยกหมู่บ้านนั่นแหละครับ บรรยากาศมันก็จะคึกคักไปด้วย เงินทองก็สะพัดมากขึ้น การค้าขายก็ดีขึ้นตามๆ กันไปไงล่ะครับ

ทีนี้ พอพูดถึงเรื่องตลาดหุ้นขึ้น ก็ต้องมาดูปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่อง “นโยบายการเงิน” หรือ “เรื่องระหว่างประเทศ” ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยว แต่จริงๆ แล้วมีผลมหาศาลเลยนะครับ! ผมยังจำได้เลยว่ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ “พงษ์” เขาชอบบอกว่า “เรื่องการเมืองระหว่างประเทศมันไกลตัว ไม่เกี่ยวกับตลาดหุ้นหรอก” แต่พอมีข่าวประธานาธิบดีปูติน (Putin) ไปเยือนเกาหลีเหนือ หรือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับออสเตรเลีย (Australia) ที่บางช่วงก็ดี บางช่วงก็ตึงเครียด ข้อมูลจากนิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) ก็ชี้ให้เห็นชัดเจนเลยว่า ข่าวเหล่านี้แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องนโยบายการเงินโดยตรง แต่กลับส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างได้อย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ

ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้าเรากำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่น (Japan) แล้วอยู่ดีๆ มีข่าวความตึงเครียดระหว่างประเทศใหญ่ๆ บรรยากาศมันก็คงไม่น่าเที่ยวเท่าไหร่ใช่ไหมครับ การลงทุนก็เหมือนกันครับ เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความไม่แน่นอน นักลงทุนก็เกิดความกังวล อาจชะลอการลงทุน หรือโยกย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดที่เสี่ยงกว่าไปยังตลาดที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถส่งผลให้ “ดัชนี Nikkei 225” (นิกเคอิ 225 อินเด็กซ์) หรือตลาดหุ้นอื่นๆ ผันผวนได้หมดเลยนะครับ เหมือนลมพายุที่อยู่ไกลๆ แต่ก็ส่งผลให้คลื่นในทะเลซัดแรงได้เช่นกัน หรือถ้าให้เปรียบเทียบกับชีวิตประจำวัน มันก็เหมือนกับร้านค้าที่เราชอบซื้อของอยู่ดีๆ มีข่าวว่าวัตถุดิบจากต่างประเทศขาดแคลน หรือมีปัญหาส่งออกไม่ได้ เราก็คงต้องคิดหนักว่าจะสต็อกของไว้เยอะๆ ดีไหม เพราะไม่รู้ว่าวันไหนของจะขึ้นราคา หรือหาซื้อไม่ได้แล้ว การตัดสินใจเหล่านี้แหละครับที่รวมกันเป็นภาพใหญ่ที่ส่งผลต่อตลาดและการลงทุนทั้งหมด

สำหรับใครที่กำลังสนใจ “การลงทุน” ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือตลาดเอเชียอื่นๆ ก็คงเห็นแล้วว่ามันมีทั้งโอกาสและความท้าทายนะครับ ดัชนี *nikkei* ที่พุ่งขึ้นสูงอย่างที่เห็นนั้น ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น (Japan) ที่กำลังฟื้นตัว แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ต้องไม่ลืมว่าตลาดหุ้นนั้นมีความ “ผันผวน” (Volatility) อยู่เสมอครับ ไม่มีอะไรขึ้นตรงๆ อย่างเดียวตลอดไป ผมยังจำได้เลยว่าช่วงปี 2008 ที่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก หรือที่เรียกว่า ‘วิกฤตซับไพรม์’ (Subprime Crisis) ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Japanese stock market) ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดัชนี *nikkei* ก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่บอกเราว่า แม้ในช่วงที่ตลาดดูสดใสแค่ไหน เราก็ต้องไม่ประมาทครับ เหมือนกับเรากำลังขับรถบนถนนที่วิวสวยงาม แต่ก็ต้องระมัดระวังทางโค้งหักศอก หรือหลุมบ่อที่อาจจะโผล่มาได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจ “แนวโน้ม” ของตลาด และ “ปัจจัยภายนอก” ที่อาจเข้ามาแทรกแซง จึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ ไม่ว่าจะเป็น “เศรษฐกิจ” ญี่ปุ่น “การเงิน” ทั่วโลก หรือแม้แต่ “การค้าระหว่างประเทศ” ทั้งหมดล้วนเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงกันหมด

สุดท้ายนี้ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือแม้แต่มือเก๋าเอง ผมมีข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้การเดินทางในโลกการเงินของคุณราบรื่นขึ้นนะครับ:

ประการแรก “ศึกษาข้อมูล” ให้เยอะๆ ครับ อย่าเพิ่งรีบกระโดดเข้าสู่ “การลงทุน” โดยที่ยังไม่รู้เขารู้เรา การทำความเข้าใจ “ดัชนี” ต่างๆ “แนวโน้ม” ของตลาด และ “ตัวเลขเศรษฐกิจ” สำคัญๆ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงลงได้มากครับ เหมือนเราจะไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ต้องหาข้อมูลการเดินทาง โรงแรม ร้านอาหารให้ครบถ้วนก่อนออกเดินทางนั่นแหละครับ

ประการที่สอง “กระจายความเสี่ยง” ครับ อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่สินทรัพย์เดียว หรือตลาดเดียว ถึงแม้ว่า “ดัชนี Nikkei 225” (นิกเคอิ 225 อินเด็กซ์) จะดูดีแค่ไหน แต่การมีสินทรัพย์หลายประเภทอยู่ในพอร์ตการลงทุน ก็เหมือนกับการไม่เอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ถ้าตะกร้าใบนั้นหล่น ไข่ก็แตกหมดครับ ลองพิจารณา “การลงทุน” ในตลาดอื่นๆ หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดใดตลาดหนึ่งโดยเฉพาะ

และประการสุดท้าย “ประเมินความเสี่ยง” ที่คุณรับได้เสมอครับ ทุก “การลงทุน” มีความเสี่ยง ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่มีการแลกเปลี่ยน และไม่มีใครสามารถรับประกันผลตอบแทนได้อย่าง 100% เลยนะครับ ยิ่งในช่วงที่ตลาดมีความอ่อนไหวจากปัจจัย “การค้าระหว่างประเทศ” หรือ “นโยบายการเงิน” ที่ไม่ชัดเจน เรายิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษครับ

⚠️ หากใครที่มี “เงินทุนหมุนเวียน” หรือสภาพคล่องไม่สูงมากนัก และกำลังคิดจะเข้าสู่ “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” หรือตลาดอื่นๆ ที่กำลังร้อนแรง แนะนำให้ประเมินความเสี่ยงและศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งนะครับ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจตามกระแส หรือตามเพื่อน เพราะเงินแต่ละบาทที่เราหามาได้นั้นมีค่าเสมอ หากคุณสนใจแพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ แพลตฟอร์มอย่าง “Moneta Markets” (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจนะครับ เพราะมีเงื่อนไขการเทรด (trading conditions) ที่หลากหลาย เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ แต่ก็ย้ำอีกครั้งว่า การเลือกแพลตฟอร์มก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจเช่นกันครับ

หวังว่าคอลัมน์วันนี้จะช่วยให้ทุกท่านเข้าใจโลกการเงินได้ง่ายขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไป สวัสดีครับ!

Leave a Reply