
ช่วงนี้ใครๆ ก็บ่นว่าเศรษฐกิจมันซับซ้อน เข้าใจยาก เหมือนพายเรือในอ่าง บางคนบอกว่าตลาดหุ้นผันผวนเหลือเกิน บางคนก็บ่นว่าของแพงขึ้นทุกวัน แล้วเราในฐานะคนธรรมดา จะต้องปรับตัวยังไงดีล่ะครับ? ไม่ต้องเป็นนักลงทุนมืออาชีพ หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ในฐานะคนที่คลุกคลีกับตัวเลขและกราฟมานาน วันนี้ผมจะชวนทุกคนมาแกะรหัสสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไปพร้อมๆ กัน เหมือนมานั่งจิบกาแฟคุยเรื่อง “เงินๆ ทองๆ” แบบสบายๆ ไม่ต้องเครียด เพื่อให้เรามองเห็นภาพรวมว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง และเราควรจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร โดยเฉพาะสัญญาณสำคัญที่ส่งตรงมาจากแดนอาทิตย์อุทัย ในรูปแบบของ “ดัชนี นิปก” (Nikkei) ที่หลายคนอาจจะคุ้นหูแต่ยังไม่รู้ว่ามันสำคัญแค่ไหน เพราะมันเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกใบนี้ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว
***
มาเริ่มกันที่พระเอกของเรา ‘ดัชนี นิปก 225’ (Nikkei 225) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของตลาดหุ้นญี่ปุ่นกันก่อนดีกว่าครับ เจ้าดัชนีตัวนี้เปรียบเสมือนเครื่องวัดไข้ของตลาดหุ้นแดนปลาดิบ ถ้ามันขึ้นก็เหมือนร่างกายแข็งแรง ถ้ามันลงก็แปลว่ากำลัง ‘ไม่สบาย’ เอามากๆ เลยทีเดียว ณ วันที่ 2 เมษายน 2025 ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าเจ้า นิปก ปิดที่ 35,730.00 จุด ฟังดูเป็นตัวเลขที่เยอะใช่ไหมครับ? แต่น่าเสียดายที่นักวิเคราะห์สายเทคนิค (Technical Analysis) หรือคนที่ดูจากกราฟและสถิติเป็นหลัก เขาฟันธงว่ามันอยู่ใน ‘แนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน’ หรือที่ศัพท์แสงนักลงทุนเรียกว่า ‘Very Bearish’ นั่นแหละครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่าเรากำลังขับรถลงจากเนินเขา แล้วความเร็วก็ดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ลดลงเลย นี่คือสถานการณ์ของ นิปก ในช่วงที่ผ่านมาครับ ถ้าดูจากประสิทธิภาพราคา (Price Performance) ในแต่ละช่วงเวลา จะเห็นได้ชัดเลยว่าตลาดกำลังเจอกับแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตัวเลขมันฟ้องเลยครับว่าตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตกลงไปถึง -6.05% ในหนึ่งเดือนลดลง -5.45% นับตั้งแต่ต้นปี (Year-to-Date) ก็หายไปแล้ว -9.11% และถ้ามองย้อนไปตลอดหนึ่งปีเต็มๆ นี่ติดลบไปถึง -10.32% โอ้โห! ตัวเลขมันบ่งบอกชัดเจนว่าตลาดกำลัง ‘ป่วย’ เอามากๆ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ‘ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่’ (Moving Averages) หรือ ‘ตัวชี้วัดทางเทคนิค’ (Technical Indicators) ต่างก็ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันหมด นั่นคือ ‘ขาลง’ หรือ ‘Bearish’ ไม่เหลือช่องว่างให้คิดบวกเลยจริงๆ ครับ

เมื่อตลาดหุ้นยักษ์ใหญ่อย่างญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ดัชนี นิปก มีอาการแบบนี้ มันย่อมส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาพรวมด้วย เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลกเลยนะครับ สัญญาณจาก นิปก จึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนที่ดังไปถึงประเทศอื่นๆ ว่าอาจจะต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนที่กำลังจะมาถึง
***
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเศรษฐกิจไทยเราล่ะ เป็นยังไงบ้าง? เราได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของ ดัชนี นิปก และเศรษฐกิจโลกมากน้อยแค่ไหน? น่าเสียดายที่ข้อมูลโดยตรงของนโยบายการเงินหรือตัวเลขเศรษฐกิจของไทยที่ชัดเจน ยังไม่ถูกหยิบยกมามากนักในข้อมูลที่เรามีตอนนี้ครับ ตรงนี้สำคัญครับ เพราะการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยอย่างละเอียด จำเป็นต้องมีข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยตรงมาประกอบการพิจารณา เช่น อัตราการเติบโตของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ, อัตราเงินเฟ้อ, ตัวเลขการส่งออก-นำเข้า หรือแม้กระทั่งอัตราการว่างงาน เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและแม่นยำยิ่งขึ้น
แต่ถ้าให้ลองเดาจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ ดัชนี นิปก กำลังบ่งบอกว่าไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ ก็อาจจะมีการคาดการณ์ได้ว่า ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะต้องพิจารณามาตรการ ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ’ หรือ ‘ปรับนโยบายการเงิน’ บางอย่างเพื่อประคองสถานการณ์เอาไว้ เหมือนเวลาฝนจะตก เราก็ต้องเตรียมร่ม เตรียมเสื้อกันฝนนั่นแหละครับ เพื่อให้เศรษฐกิจของเราสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุดมากนัก ซึ่งมาตรการเหล่านี้อาจมาในรูปแบบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจต่างๆ ที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย
***
เอาล่ะครับ ออกจากเรื่องตัวเลขที่อาจจะดูน่าปวดหัวของ ดัชนี นิปก และเศรษฐกิจไทย มาดูเรื่อง ‘ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ’ กันบ้างดีกว่า เรื่องนี้ดูเหมือนจะไกลตัว แต่จริงๆ แล้วส่งผลต่อกระเป๋าเงินและโอกาสการลงทุนของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยนะครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่าอยู่ดีๆ คุณปูติน ผู้นำรัสเซีย ไปกระชับสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ ฟังดูเหมือนเนื้อเรื่องในหนังสายลับหรือซีรีส์เกาหลีใช่ไหมครับ? แต่มันเป็นเรื่องจริง และเรื่องนี้อาจส่งผลต่อ ‘การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ’ ของเราได้แบบที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะการกระชับความสัมพันธ์ลักษณะนี้ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนโดยรวมครับ นักลงทุนมักจะไม่ชอบความไม่แน่นอนและภาวะที่ความขัดแย้งอาจปะทุขึ้นได้เมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมันหมายถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นนั่นเอง

ในอีกมุมหนึ่ง ‘ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับออสเตรเลีย’ ที่ดูจะดีวันดีคืน ก็เป็นข่าวดีที่อาจนำไปสู่ ‘การค้าและการลงทุนที่มากขึ้น’ การที่สองประเทศยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยด้วย เพราะเราต่างพึ่งพาการค้าและการลงทุนซึ่งกันและกัน ยิ่งคู่ค้าหลักของเรามีความมั่นคงและเติบโตได้ดี เราก็ย่อมได้รับอานิสงส์ไปด้วย
เห็นไหมครับว่าเรื่องไกลตัวอย่างการทูต การเมืองระหว่างประเทศ ก็ส่งผลต่อกระเป๋าเงินและโอกาสทางเศรษฐกิจของเราได้เหมือนกัน เพราะในโลกยุคใหม่ ทุกประเทศต่างเชื่อมโยงกันหมด เหมือนเป็นใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบถึงกันเป็นลูกโซ่
***
แต่ในความมืดมิดของตลาดหุ้นที่ ดัชนี นิปก กำลังเป็นขาลง กลับมีแสงสว่างเล็กๆ ส่องออกมาจาก ‘การลงทุน’ อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ นั่นก็คือ ‘กองทุน Private Equity’ (ไพรเวท อิควิตี้) หรือการลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ในญี่ปุ่น คุณอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ! ตลาดหุ้น นิปก ดิ่งขนาดนี้ แต่ทำไม Private Equity กลับรุ่งเรืองได้ล่ะ? นี่แหละครับคือเสน่ห์ของโลกการลงทุน
นึกภาพว่ามีคนรวยๆ หรือสถาบันใหญ่ๆ เขามารวมเงินกันไปลงทุนในบริษัทที่ยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้น อาจจะเพื่อช่วยฟื้นฟูบริษัทที่กำลังมีปัญหา หรือช่วยผลักดันให้บริษัทที่มีศักยภาพเติบโตไปได้ไกลยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องมาคอยดูราคาขึ้นๆ ลงๆ รายวันเหมือนหุ้นในตลาด การลงทุนแบบนี้มักจะเน้นที่การพัฒนาบริษัทในระยะยาว เพื่อเพิ่มมูลค่าให้บริษัทนั้นๆ ก่อนจะนำออกขายหรือเข้าตลาดหุ้นในอนาคต และผลตอบแทนจากกองทุนประเภทนี้ในญี่ปุ่นกลับถูกยกให้เป็น ‘extraordinary’ หรือ ‘ยอดเยี่ยมเกินคาด’ เลยทีเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ภาพรวมของตลาดหุ้นใหญ่ๆ จะดูไม่ดี แต่ในมุมเล็กๆ ที่นักลงทุนทั่วไปอาจไม่ค่อยได้เห็น กลับมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ หากเรามองเห็นมันและมีความรู้ความเข้าใจที่มากพอ
***
วกกลับมาที่ญี่ปุ่นกันอีกนิด ในเมื่อพูดถึงเศรษฐกิจญี่ปุ่นแล้ว ก็ต้องพูดถึงเรื่อง ‘การท่องเที่ยว’ ที่กำลังกลับมาคึกคักอย่างมาก หลังจากช่วงโควิด-19 บรรยากาศการท่องเที่ยวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนมีข่าวที่น่าสนใจคือ ‘ร้านอาหารในญี่ปุ่นกำลังพิจารณาขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ’ ซึ่งอาจฟังดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่มหาศาลของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลไปญี่ปุ่นมากจนร้านค้ามีอำนาจในการขึ้นราคาเพื่อเพิ่มรายได้ นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่าภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นแข็งแกร่งมากๆ และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในภาพรวมได้ แม้ ดัชนี นิปก จะดูไม่ดีนักก็ตาม เพราะการท่องเที่ยวสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศจำนวนมหาศาล ทั้งจากค่าที่พัก อาหาร การเดินทาง และการจับจ่ายใช้สอยต่างๆ
แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไปนะครับ ข้ามมาที่เพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่อย่างจีนกันบ้าง ‘ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน’ ยังคงเป็นประเด็นที่หลายคนกังวล และเป็นเหมือนเมฆดำที่ปกคลุมเศรษฐกิจโลกมาพักใหญ่ๆ แล้วครับ กรณีของ ‘China Vanke’ (ไชน่า วานเคอ) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงมีปัญหาอยู่มาก หนี้สินท่วมท้น โครงการก่อสร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งยอดขายที่ลดลง ล้วนเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก
สถานการณ์แบบนี้ก็เหมือนระเบิดเวลาที่ยังไม่รู้ว่าจะระเบิดเมื่อไหร่ และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากน้อยแค่ไหน เพราะจีนเป็นเหมือนเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่ใหญ่มากๆ หากเครื่องจักรนี้ติดขัดหรือมีปัญหาหนักๆ ย่อมส่งผลกระทบลูกโซ่ไปทั่วโลกได้อย่างแน่นอน เราจึงต้องจับตาดูสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนทั่วโลกได้ทุกเมื่อ
***
สรุปแล้ว โลกการเงินและเศรษฐกิจตอนนี้ก็เหมือนกับจานหมุนที่มีหลายสิ่งกำลังเคลื่อนไหวพร้อมๆ กันครับ สัญญาณเตือนจาก ‘ดัชนี นิปก’ ที่เป็นขาลงของตลาดหุ้นญี่ปุ่น บ่งบอกถึงความท้าทายที่เราต้องเผชิญ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่ในบางมุมของตลาด เช่น การลงทุนในกองทุน Private Equity ในญี่ปุ่นที่ให้ผลตอบแทนยอดเยี่ยม หรือแม้กระทั่งภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่กลับมาคึกคักอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในจีน ก็เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญและจับตาดูอย่างไม่กะพริบตา
แล้วนักลงทุนอย่างเราควรทำยังไงดีล่ะครับในสถานการณ์แบบนี้? ผมมีข้อแนะนำง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมและรับมือได้อย่างชาญฉลาด
1. **ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด**: โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก และ ‘นโยบายการเงิน’ ของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงของไทยด้วย เพราะการรู้เท่าทันสถานการณ์ จะทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น
2. **กระจายความเสี่ยง (Diversification)**: อย่าเพิ่งนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ เหมือนคำโบราณที่ว่า ‘ไม่วางไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว’ การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดผลกระทบหากมีสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมีปัญหา
3. **มองระยะยาว**: อย่าตื่นตระหนกกับความผันผวนระยะสั้นของ ‘ดัชนี นิปก’ หรือตลาดหุ้นอื่นๆ เพราะในระยะยาว ตลาดมักจะฟื้นตัวได้เสมอ หากเราลงทุนในพื้นฐานที่ดี และมีวินัยในการลงทุน
4. **ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ**: ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ‘ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่’ (Moving Averages) ‘ตัวชี้วัดทางเทคนิค’ (Technical Indicators) เพื่อทำความเข้าใจทิศทางของตลาด หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ยิ่งเรามีความรู้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้นเท่านั้น
⚠️ อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมี ‘สภาพคล่องทางการเงิน’ (Financial Liquidity) ที่ไม่สูงมากนัก หรือเพิ่งเริ่มต้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินก่อนตัดสินใจใดๆ เพื่อให้การลงทุนของคุณสอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมและใช้สติในการนำพาสินทรัพย์ของตัวเองให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและชาญฉลาดนะครับ แล้วพบกันใหม่ในโอกาสหน้าครับ