สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่านที่สนใจเรื่องราวของตลาดเงินตลาดทอง หรือใครที่กำลังมองหาช่องทางการสร้างเนื้อสร้างตัว ผม “เซียนตลาด” คนเดิม เพิ่มเติมคือความรู้ที่จะเอามาเสิร์ฟแบบย่อยง่าย ๆ ให้ทุกคนครับ
วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง “ฮ่องกง” ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร่งรีบ วัฒนธรรมที่ผสมผสาน และแน่นอน… ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงไม่แพ้ใคร! โดยเฉพาะดัชนีที่ชื่อว่า HK50 หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ “ดัชนีฮั่งเส็ง” (Hang Seng Index) ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจเต้นแรงของเศรษฐกิจฮ่องกงและยังสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจจีนอีกด้วย มันเหมือนกับการที่เราได้เห็นผลตรวจสุขภาพประจำปีของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เลยทีเดียว แล้วเจ้าดัชนี HK50 นี้มันมีความน่าสนใจอย่างไร ทำไมเราถึงควรจับตามอง? มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันครับ รับรองว่าเข้าใจง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานก็ฟังรู้เรื่อง!
คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า “เอ๊ะ! ตลาดหุ้นฮ่องกงช่วงนี้เป็นยังไงบ้างนะ น่าลงทุนไหม หรือควรจะรอดูก่อน?” นี่แหละครับคำถามยอดฮิตที่ผมมักจะได้ยินบ่อย ๆ จาก “น้องฟ้า” ลูกศิษย์คนสนิท ที่เพิ่งเริ่มสนใจการลงทุน น้องฟ้ามักจะถามผมด้วยความกังวลว่า “พี่คะ เห็นข่าวว่า HK50 ขึ้น ๆ ลง ๆ ตกลงมันจะไปทางไหนกันแน่คะ?”
ถ้าจะให้เปรียบเทียบตลาดหุ้น HK50 ในช่วงนี้ ก็คงเหมือนกับการดูพยากรณ์อากาศหน้าฝนที่เดายากจริง ๆ ครับ บางวันก็แดดจ้า บางวันก็ฝนพรำ อย่างที่เห็นเมื่อไม่นานมานี้ ดัชนีฮั่งเส็ง หรือ HK50 เนี่ย เขาเหมือนคนอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยนะครับ พุ่งขึ้นไปกว่า 293 จุด หรือประมาณ 1.3% ไปปิดที่ 23,530 จุดในวันนั้น แต่ถ้ามองภาพรวมในรอบสัปดาห์หรือเดือนที่ผ่านมา เจ้าดัชนีตัวนี้ก็เหมือนจะออกอาการ “เซ็ง ๆ” ไปบ้าง คือปรับตัวลดลงไปราว 1.40% ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาครับ

ความผันผวนที่ว่ามานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ นะครับ แต่มันมี “เบื้องหลัง” สำคัญที่ขับเคลื่อนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ประกาศออกมา หรือแม้แต่สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน นักวิเคราะห์หลายท่านต่างก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไป บางท่านก็มองบวก มองเห็นโอกาสในระยะยาว ขณะที่บางท่านก็ออกแนวระมัดระวัง มองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงซ่อนอยู่ ซึ่งสำหรับใครที่ชอบเทรดดิ้ง หรือลงทุนระยะสั้น การติดตามตัวเลขพวกนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมากครับ อย่างข้อมูลจาก Trading Economics ก็คาดการณ์ว่า HK50 อาจจะไปแตะที่ 23682.31 จุดในช่วงสิ้นไตรมาสนี้ แต่ก็อย่างที่บอกครับ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น เหมือนการแข่งขันกีฬาที่ผลพลิกผันได้ตลอดเวลา
ทีนี้มาดูกันที่ “ผู้กำกับอากาศทางการเงิน” กันบ้างครับ พูดง่าย ๆ ก็คือ “ธนาคารกลาง” นั่นเองครับ การตัดสินใจของพวกเขาเหมือนกับการปรับอุณหภูมิของเศรษฐกิจเลยทีเดียว สำหรับตลาดฮ่องกงแล้ว มีธนาคารกลางที่สำคัญอยู่ 3 แห่งที่เราต้องจับตาดูให้ดีครับ หนึ่งคือ “ธนาคารกลางจีน” (PBoC) ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ข้างบ้าน การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเขามีผลต่อตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างมาก เหมือนเวลาเราอยู่บ้านติดกัน ถ้าข้างบ้านเปิดเพลงเสียงดัง บ้านเราก็ได้ยินด้วยยังไงยังงั้นแหละครับ

สองคือ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” (Fed) แม้จะอยู่ไกลคนละซีกโลก แต่การประกาศท่าทีเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือสัญญาณเตือนเกี่ยวกับเงินเฟ้อของเขาก็ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงตลาดหุ้น HK50 ของเราได้สบาย ๆ ครับ เหมือนผีเสื้อขยับปีกในบราซิล แต่ลมกระพือถึงฮ่องกงได้เลยทีเดียว และสุดท้ายคือ “ธนาคารกลางฮ่องกง” (HKMA) ตัวละครสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เขามีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งบางครั้งก็ต้องเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา โดยการ “ซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วขายดอลลาร์ฮ่องกงออกไป” เพื่อรักษาสมดุลและป้องกันไม่ให้ค่าเงินผันผวนมากเกินไปครับ
นอกจากนโยบายการเงินแล้ว “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนใจเต้นไม่เป็นส่ำครับ ตัวเลขเหล่านี้ก็เหมือนผลตรวจสุขภาพประจำปีของเศรษฐกิจ ที่บอกว่าประเทศนั้น ๆ แข็งแรงแค่ไหน หรือมีจุดไหนต้องดูแลเป็นพิเศษบ้าง ตัวเลขสำคัญ ๆ ที่มีผลต่อดัชนีฮั่งเส็ง หรือ HK50 ก็อย่างเช่น ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่บอกว่าเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีแค่ไหน อัตราเงินเฟ้อที่สะท้อนกำลังซื้อของผู้คน หรือแม้แต่อัตราการว่างงานที่บอกว่าคนส่วนใหญ่มีงานทำกันหรือไม่ นอกจากนี้ ตัวเลขการนำเข้า-ส่งออก ก็เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนการค้าขายระหว่างประเทศด้วยครับ และที่สำคัญมากๆ คือ ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน ที่เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้นฮ่องกง เพราะบริษัทใหญ่ๆ ใน HK50 หลายแห่งก็มีธุรกิจที่เชื่อมโยงกับจีนแผ่นดินใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
พูดถึงบริษัทใหญ่ ๆ แล้ว ดัชนี HK50 เนี่ย ไม่ใช่แค่ก้อนเดียวโดด ๆ นะครับ แต่เปรียบเสมือน “ทีมฟุตบอล” ที่มี “นักเตะดาวเด่น” หลายคนมารวมตัวกัน แล้วผลงานของนักเตะแต่ละคนก็มีผลต่อภาพรวมของทีมทั้งนั้นแหละครับ หุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีฮั่งเส็ง หรือที่เรียกว่า “Constituents” เนี่ย ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่หลายคนคุ้นชื่อกันดีครับ ไม่ว่าจะเป็น Tencent Holdings (เทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์) เจ้าพ่อเทคโนโลยีและเกมยักษ์ใหญ่, China Mobile (ไชน่า โมบาย) บริษัทโทรคมนาคมเบอร์หนึ่ง, HSBC (เอชเอสบีซี) ธนาคารระดับโลก, Xiaomi (เสียวหมี่) ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชื่อดัง หรือ Meituan (เหม่ยถวน) แพลตฟอร์มส่งอาหารและบริการอื่น ๆ ก็ล้วนแต่มีน้ำหนักและอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี HK50 ทั้งสิ้นครับ นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจการเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศ และอสังหาริมทรัพย์ ก็มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนดัชนีนี้ รวมถึงหุ้นในกลุ่มพลังงานอย่าง CNOOC และ PetroChina ก็เป็นผู้เล่นที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกันครับ
ดังนั้น ถ้าหุ้นตัวใหญ่ ๆ เหล่านี้มีผลประกอบการดี หรือมีข่าวดี ก็มีโอกาสสูงที่ดัชนี HK50 จะปรับตัวขึ้นได้ แต่ถ้ามีข่าวร้าย หรือผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด ก็อาจจะฉุดให้ดัชนีปรับตัวลงได้เช่นกันครับ เหมือนนักเตะตัวหลักฟอร์มดีทั้งทีม ก็มีโอกาสคว้าชัยชนะสูงนั่นแหละครับ

และสุดท้ายก่อนจะจากกัน ก็ต้องมาฟังเสียงจาก “นักวิเคราะห์” ผู้ที่เปรียบเสมือนหมอดูประจำตลาดกันบ้างครับ พวกเขามีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับอนาคตของตลาดหุ้นฮ่องกง หรือ HK50 ครับ บางท่านก็มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เชื่อว่าตลาดจะฟื้นตัวได้ในระยะยาวจากปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆ ขณะที่บางท่านก็ยังคงเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความท้าทายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตครับ
จากข้อมูลและบทวิเคราะห์ที่ผมได้รวบรวมมาให้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างแนะนำให้ “นักลงทุน” ทุกท่าน โดยเฉพาะมือใหม่ ควรจะติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีผลต่อตลาดอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญที่สุดคือ “การบริหารความเสี่ยง” และ “การกระจายการลงทุน” ครับ อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนในสินทรัพย์ชนิดเดียว เหมือนกับการไม่วางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะถ้าตะกร้าตก ไข่ก็จะแตกทั้งหมดนั่นเอง
ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากจะบอกว่า ตลาดหุ้น โดยเฉพาะ HK50 เป็นสนามที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็มีความท้าทายอยู่ไม่น้อยครับ การลงทุนไม่ใช่เรื่องของการเดาใจตลาด แต่เป็นการศึกษา ทำความเข้าใจ และวางแผนอย่างรอบคอบ เหมือนเวลาที่เราจะไปเที่ยวฮ่องกง เราก็ต้องวางแผนการเดินทาง ที่พัก และงบประมาณให้ดีใช่ไหมครับ การลงทุนก็เช่นกันครับ
ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังเล็ง ๆ HK50 หรือสินทรัพย์อื่น ๆ อยู่ ผมขอแนะนำว่า “อย่าเพิ่งใจร้อน” ครับ เหมือนจะซื้อของชิ้นใหญ่ เราก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจใช่ไหมครับ ลองพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ที่ผมได้นำเสนอไป รวมถึงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจลงทุนของคุณนั้นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและความเข้าใจที่ถูกต้องครับ จำไว้เสมอครับว่า “การลงทุนคือการเดินทาง ไม่ใช่การวิ่งแข่ง” ขอให้นักลงทุนทุกท่านประสบความสำเร็จในเส้นทางการลงทุนนะครับ!
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ!