
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่คุณกำลังจิบกาแฟอุ่นๆ พร้อมไถฟีดข่าวดูหุ้นที่รักในมือถือ จู่ๆ ก็เห็นพาดหัวข่าวใหญ่ตัวแดงเถือกว่า “ตลาดหุ้นเอเชียร่วงระนาว! ฮั่งเส็งดิ่งเหว…” แหมะ! จังหวะที่กำลังจะเติมความสุขให้ชีวิตหลังอาหารเช้า กลับกลายเป็นว่าความดันพุ่งปรี๊ดแทนซะงั้น! หลายคนคงสงสัยว่า “เอ๊ะ…ไอ้เจ้า หุ้นฮั่งบ่าย ที่เราหมายตาไว้เนี่ย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตประจำวันของเราด้วยล่ะ?” อย่าเพิ่งตกใจไปครับ วันนี้ผมจะพาคุณไปไขปริศนาตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) หรือที่นักลงทุนสายบ่ายเขาเรียกกันติดปากว่า “หุ้นฮั่งบ่าย” แบบเจาะลึก แต่เข้าใจง่าย เหมือนเรานั่งจิบกาแฟคุยกันเพลินๆ
**คลื่นลมที่พัดกระหน่ำตลาดหุ้นเอเชีย: ทำไม หุ้นฮั่งบ่าย ถึงโดนหางเลข?**
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังล่องเรืออยู่ในทะเลเอเชียที่เคยสงบ แต่จู่ๆ ก็มีพายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำเข้ามาพร้อมกันหลายลูก นั่นคือสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นเอเชียกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้แหละครับ สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ รวมถึงหุ้นยักษ์ใหญ่อย่างดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ในฮ่องกงต้องสะดุดขาตัวเองล้ม ก็มาจากความกังวลหลายอย่างรวมกันเป็นแพ็กเกจเลยทีเดียวครับ
พายุลูกแรกเลยก็คือ **”อัตราดอกเบี้ย”** ที่เหมือนยักษ์ใหญ่ใจร้ายอย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “เฟด” กำลังเดินหน้าปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย ก็เหมือนการเปิดก๊อกดูดเงินลงทุนกลับเข้าประเทศตัวเอง ทำให้เงินที่เคยไหลมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่หรือตลาดเอเชียอย่างบ้านเรา รวมถึงฮ่องกงเนี่ย มันเหือดหายไปบ้าง บรรยากาศการลงทุนเลยไม่สดใสเท่าที่ควร ยิ่งดอกเบี้ยสูงขึ้น ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ ก็สูงขึ้น กำไรก็อาจจะลดลง หุ้นก็เลยไม่น่าสนใจเท่าเดิม เหมือนเราอยากซื้อของ แต่ของราคาแพงขึ้นนั่นแหละครับ
ส่วนพายุอีกลูกที่พัดแรงไม่แพ้กันก็คือ **”การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ”** โดยเฉพาะคู่ยักษ์ใหญ่ สหรัฐฯ กับจีน ที่ยังคงมีประเด็นคาราคาซังกันอยู่ เวลาสองประเทศนี้งัดข้อกัน ตลาดหุ้นก็พลอยสั่นคลอนไปด้วย เพราะความไม่แน่นอนมันเยอะ ไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะมีมาตรการภาษีแปลกๆ ออกมาอีกหรือเปล่า หรือจะกระทบกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของโลกยังไงบ้าง ซึ่งฮ่องกงเองก็เป็นประตูสำคัญที่เชื่อมจีนกับโลกภายนอก ถ้าการค้าโลกมีปัญหา หุ้นฮ่องกงก็หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย อย่างที่เราเห็นข่าวว่าตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดตลาดติดลบ เพราะนักลงทุนกำลังจับตาดูการเจรจาการค้าระหว่างสองมหาอำนาจนี้อย่างใกล้ชิดนั่นเองครับ
**นโยบายการเงินที่ต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว: เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย แต่ BOJ สวนทาง**
เรื่องนโยบายการเงินนี่แหละครับที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีอาการสับสนงุนงงกันเป็นแถบๆ ลองนึกภาพดูสิครับ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กำลังเร่งเครื่องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งกระฉูด จนทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดเอเชียอย่างหุ้นฮั่งบ่าย ต้องปรับตัวลดลงตามแรงกระแทก เหมือนเจอหมัดฮุกเข้าที่หน้า แต่ในมุมกลับกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan – BOJ) กลับมีท่าทีที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!
ธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยตามเพื่อนๆ แถมยังต้องเข้าซื้อพันธบัตรฉุกเฉิน เพื่อพยุงผลตอบแทนพันธบัตรให้อยู่ในระดับที่ต้องการ เหตุผลก็เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังต้องการการกระตุ้น และเงินเฟ้อยังไม่แรงเท่าสหรัฐฯ การกระทำที่สวนทางกันแบบนี้ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุนไม่น้อยเลยครับ นักลงทุนเองก็ต้องคิดหนักว่าจะเอาเงินไปพักไว้ที่ไหนดี จะย้ายไปสกุลเงินที่ดอกเบี้ยสูงกว่า หรือจะอยู่ในตลาดที่ธนาคารกลางยังคงผ่อนคลายนโยบายต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าความไม่ชัดเจนตรงนี้ก็ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน และทำให้ หุ้นฮั่งบ่าย เองก็ได้รับผลกระทบจากภาพรวมนโยบายการเงินที่ไม่สอดคล้องกันทั่วโลกด้วย

**ตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่สวยหรู: สัญญาณเตือนจากทั่วเอเชีย**
นอกจากเรื่องดอกเบี้ยและการค้าระหว่างประเทศแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ชี้นำทิศทางตลาดหุ้นได้เหมือนกันครับ
ยกตัวอย่างเช่น ภาคการผลิตในญี่ปุ่นที่หดตัวลงอย่างน่าใจหาย นี่คือสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยกำลังเจอภาวะชะลอตัว พอเศรษฐกิจไม่ค่อยดี บริษัทก็อาจจะทำกำไรได้น้อยลง หุ้นก็เลยไม่เป็นที่ต้องการเท่าที่ควร ทำให้ดัชนี Nikkei (นิกเคอิ) ของญี่ปุ่นต้องปรับตัวลงตามไปด้วย
ส่วนทางฝั่งจีน เพื่อนบ้านคนสำคัญของฮ่องกง ก็มีข่าวว่าตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ฟังดูเหมือนจะดีใช่ไหมครับ? คือเงินเฟ้อต่ำหมายความว่าราคาสินค้าไม่แพงขึ้นเร็ว แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็สะท้อนว่าการบริโภคในประเทศอาจจะไม่ได้คึกคักอย่างที่คิดไว้ ซึ่งถ้ากำลังซื้อในประเทศไม่ดี เศรษฐกิจโดยรวมก็อาจจะโตช้ากว่าเป้า และแน่นอนว่าฮ่องกง ซึ่งพึ่งพิงเศรษฐกิจจีนเป็นอย่างมาก ก็ต้องได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ของจีนด้วย ทำให้ หุ้นฮั่งบ่าย ต้องเจอแรงกดดันจากปัจจัยรอบข้างเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยครับ
**เจาะลึกหัวใจของฮ่องกง: ดัชนีฮั่งเส็ง หรือ หุ้นฮั่งบ่าย ที่เราเฝ้าดู**
ทีนี้เรามาทำความรู้จักกับพระเอกของเราอย่าง “ดัชนีฮั่งเส็ง” (Hang Seng Index – HSI) กันให้มากขึ้นดีกว่าครับ เพราะนี่คือตัวแทนความรุ่งเรืองของตลาดหุ้นฮ่องกงเลยก็ว่าได้
ดัชนีฮั่งเส็งเนี่ย เปรียบเสมือนดัชนีที่รวบรวมหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำ 73 แห่งในฮ่องกง โดยมีการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization) หมายความว่า บริษัทไหนใหญ่ มูลค่าตลาดเยอะ ก็จะมีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากหน่อย ดัชนีนี้จึงเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นฮ่องกงได้เป็นอย่างดี
มาดูตัวเลขล่าสุดที่ทำให้หลายคนต้องถอนหายใจกันบ้างนะครับ ณ วันที่ข้อมูลนี้ถูกบันทึก ดัชนีฮั่งเส็งมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 24,072.28 ดอลลาร์ฮ่องกง โดยมีการเปลี่ยนแปลงล่าสุดอยู่ที่ -0.87% ซึ่งหมายความว่ามันปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าเล็กน้อยนั่นเองครับ
ถ้ามาดูช่วงราคาที่มันเคลื่อนไหวในแต่ละวัน ดัชนีนี้ก็วิ่งอยู่ในกรอบประมาณ 24,064.26 ถึง 24,274.91 ดอลลาร์ฮ่องกง ส่วนช่วงราคารอบ 52 สัปดาห์ หรือตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ดัชนีฮั่งเส็งเคยลงไปต่ำสุดที่ 16,441.44 ดอลลาร์ฮ่องกง และขึ้นไปสูงสุดที่ 24,874.39 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว และแม้ว่าล่าสุดมันจะปรับตัวลดลง แต่ถ้ามองย้อนกลับไป 1 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของดัชนีนี้ยังคงเป็นบวกอยู่ที่ 35.86% เลยนะครับ! นั่นก็เป็นเพราะช่วงก่อนหน้ามันฟื้นตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างดีนั่นเอง
ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถืออย่าง TradingView และ MSN Money ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนใช้ติดตามความเคลื่อนไหวของ หุ้นฮั่งบ่าย และภาพรวมตลาดฮ่องกงกันอย่างใกล้ชิดในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะในรอบเช้าหรือรอบบ่ายก็ตาม
**ไม่ใช่แค่ฮ่องกงที่โดน: ตลาดหุ้นอื่นๆ และความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว**
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดเอเชียและทั่วโลกไม่ใช่แค่ หุ้นฮั่งบ่าย เท่านั้นที่ต้องเผชิญหน้าครับ ลองมาดูกรณีศึกษาจากตลาดอื่นๆ กันบ้าง เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น
อย่างตลาดหุ้น Nikkei 225 (นิกเคอิ 225) ของญี่ปุ่น แม้ภาคการผลิตจะหดตัว แต่ก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้บ้างในบางช่วงเวลา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบางตลาดก็ยังมีแรงซื้อเข้ามาพยุงอยู่บ้าง แต่สำหรับตลาดหุ้น S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) ซึ่งเป็นดัชนีหลักของสหรัฐอเมริกา กลับปรับตัวลดลงเช่นกัน สะท้อนถึงความกังวลที่แพร่หลายไปทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเอเชียเท่านั้น
ส่วนเรื่องของ **”หุ้นรายตัว”** ในตลาดฮั่งเส็ง หรือตลาดอื่นๆ แน่นอนว่าเมื่อดัชนีโดยรวมปรับตัวลดลง หุ้นส่วนใหญ่ในดัชนีก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย มีทั้งหุ้นที่ปรับตัวลงมากที่สุด (Top Losers) และหุ้นที่อาจจะสวนกระแสปรับตัวขึ้นได้บ้าง (Top Gainers) ซึ่งหุ้นเหล่านี้มักจะเป็นหุ้นที่มีข่าวดีเฉพาะตัว หรือหุ้นที่นักลงทุนมองว่าเป็นหลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน การติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวเหล่านี้ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสในการทำกำไร หรือบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของตัวเองครับ
**ปัจจัยที่มองไม่เห็น: ตัวแปรที่เขย่าขวัญนักลงทุน**

นอกเหนือจากตัวเลขเศรษฐกิจและนโยบายการเงินแล้ว ยังมีปัจจัย “นอกสนาม” อีกหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนจู่ๆ ก็มีก้อนหินลอยมาตกใส่กลางเวที ทำให้การแสดงต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ ปัจจัยเหล่านี้แหละครับที่ทำให้ตลาด หุ้นฮั่งบ่าย หรือแม้แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกต้องเจอความผันผวนที่คาดเดาได้ยาก
หนึ่งในนั้นก็คือ **”สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน”** ที่แม้จะดูเหมือนไกลตัวเรา แต่กลับส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและพลังงานทั่วโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น นำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อที่หลายประเทศกำลังเผชิญหน้าอยู่ ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศแบบนี้ทำให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
นอกจากนี้ **”มาตรการภาษี”** ที่รัฐบาลต่างๆ อาจจะนำมาใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของตัวเอง ก็เป็นดาบสองคมที่อาจจะไปขัดขวางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้ รวมถึง **”การเจรจาการค้า”** ที่ไม่ราบรื่น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้เลยทีเดียว
และแน่นอนว่าเราจะลืมเรื่อง **”การระบาดของไวรัสโอมิครอน”** หรือเชื้อโรคกลายพันธุ์อื่นๆ ไม่ได้เลยครับ เพราะมันยังคงเป็นเงาตามหลอกหลอนเศรษฐกิจโลก การกลับมาระบาดซ้ำๆ หรือการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้น ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยว การผลิต และการบริโภค ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสิ้น ปัจจัยเหล่านี้แหละที่ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อต้องตัดสินใจลงทุนในตลาดที่มีความอ่อนไหวสูงอย่าง หุ้นฮั่งบ่าย
**แล้วเราจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์แบบนี้?**
เมื่อคลื่นลมในตลาดหุ้นยังคงโหมกระหน่ำ และ หุ้นฮั่งบ่าย เองก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ คุณอาจจะกำลังสงสัยว่า “แล้วฉันควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ? ถอยดีไหม หรือลุยต่อ?”
สมมติว่าตอนนี้คุณมีเงินก้อนหนึ่งที่ตั้งใจจะเอามาลงทุนในตลาดหุ้น แล้วเห็นข่าวร้ายแบบนี้ สิ่งแรกที่อยากให้ทำคือ **“ตั้งสติ”** ครับ ตลาดหุ้นก็เหมือนกับสภาพอากาศ มีขึ้นมีลงเป็นวัฏจักรเสมอ ไม่มีอะไรที่ขึ้นตลอดไป และไม่มีอะไรที่ลงตลอดไปเช่นกัน
จากข้อมูลที่เราเห็น เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงที่เปราะบางจากหลายปัจจัย แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอครับ สำหรับนักลงทุนระยะยาว นี่อาจเป็นจังหวะทองในการ “เก็บของดีราคาถูก” ก็เป็นได้ เพราะเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัว หุ้นเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต แต่ก็ต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีจริงๆ นะครับ ไม่ใช่ซื้อตามกระแส
แต่สำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้น อยากจะเทรดตามดัชนีอย่าง หุ้นฮั่งบ่าย แบบเรียลไทม์ ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษครับ เพราะความผันผวนสูงมาก การใช้เครื่องมืออย่างสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ที่มีให้เลือกเทรดผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศอย่าง Moneta Markets ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เปิดโอกาสให้เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน
**บทสรุปและข้อคิดเตือนใจ: อย่าตกใจ แต่ก็อย่าประมาท!**
โดยสรุปแล้ว สถานการณ์ของตลาด หุ้นฮั่งบ่าย และตลาดหุ้นเอเชียในช่วงนี้ค่อนข้างท้าทายทีเดียวครับ ทั้งจากเรื่องดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สงครามการค้าที่ยังไม่จบสิ้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใส และปัจจัยเสี่ยงจากทั่วโลก ทำให้บรรยากาศการลงทุนยังคงผันผวนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แต่ถึงแม้สถานการณ์จะดูมืดหม่นไปบ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าโอกาสจะหายไปหมดนะครับ สิ่งสำคัญคือการ **“ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน”** อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับข่าวร้ายเพียงอย่างเดียว และต้อง **“เข้าใจความเสี่ยง”** ของการลงทุนในตลาดที่มีความผันผวนสูง
สำหรับใครที่เงินลงทุนไม่ได้เหลือเฟือ หรือสภาพคล่องไม่สูงมากนัก ⚠️ แนะนำให้ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ก่อนเสมอ พิจารณาการลงทุนในระยะยาว และกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่หุ้นอย่างเดียว เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด และที่สำคัญที่สุดคือ **“ไม่โลภ”** และ **“ไม่กลัว”** จนเกินไป เพราะสองอารมณ์นี้แหละครับที่มักจะทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนอยู่บ่อยๆ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติและปลอดภัยนะครับ!