ฮั่งเส็งผันผวน! จับตาทิศทางดอกเบี้ยเฟด กระทบฮ่องกงและจีนอย่างไร?

สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน! วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องที่อาจจะฟังดูซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วมันใกล้ตัวเรากว่าที่คิด เหมือนกับการที่เราต้องคอยดูพยากรณ์อากาศก่อนออกจากบ้านนั่นแหละครับ ตลาดหุ้นก็เหมือนกัน โดยเฉพาะ “ฮั่งเส็งindex” (Hang Seng Index, 恆生指數) ที่เป็นเหมือนเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้เศรษฐกิจของฮ่องกง ซึ่งกำลังมีเรื่องให้ต้องจับตาดูอยู่ไม่น้อยเลยครับ

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมตลาดหุ้นบางวันก็คึกคักเหมือนงานวัด บางวันก็เงียบเหงาเหมือนป่าช้า? นั่นเพราะมันมีลมพัดแรงจากหลายทิศทางนั่นเองครับ ไม่ว่าจะเป็นข่าวจากอีกซีกโลก ปัญหาระหว่างประเทศ หรือแม้แต่นโยบายของธนาคารกลางต่างๆ ลองนึกภาพตามนะครับว่า ถ้าเพื่อนสนิทของคุณ “คุณเฟด” (ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed, Federal Reserve) กำลังคิดจะขึ้นดอกเบี้ย นั่นก็เหมือนกับการเตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมการใช้เงินทั่วโลก พอเป็นแบบนี้ นักลงทุนก็เริ่มลังเลที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น เพราะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นแปลว่าไปฝากเงินเฉยๆ ก็ได้ผลตอบแทนดีขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยลุ้นในตลาดหุ้นใช่ไหมครับ

ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะ “ฮ่องกง” (Hong Kong, 香港) ก็ได้รับแรงกดดันจากเรื่องนี้ไม่น้อยเลยครับ ลองจินตนาการว่า “ฮั่งเส็งindex” ของฮ่องกงตอนนี้ก็เหมือนเรือที่กำลังเผชิญกับคลื่นลมแรง หลายคนเริ่มกังวลว่า “เศรษฐกิจจีน” (China’s economy, 中國經濟) ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ที่คอยค้ำจุนอยู่ จะยังแข็งแรงพอไหม เพราะสัญญาณหลายอย่างก็ดูไม่สดใสเท่าไหร่ แถมยังมีประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Concerns, 地緣政治考量) ที่เป็นเหมือนก้อนเมฆดำทะมึนก่อตัวอยู่ทั่วโลกอีก ทำให้ “ฮั่งเส็งindex” ร่วงลงมาใกล้จุดที่เรียกว่า “Correction” หรือการปรับฐาน ซึ่งหมายถึงการที่ดัชนีลดลงไปประมาณ 10% จากจุดสูงสุดนั่นแหละครับ

เพื่อนสนิทผม “คุณเก่ง” ที่ชอบเทรดหุ้นเป็นชีวิตจิตใจ เพิ่งมาปรึกษาผมว่า “เฮ้ย! ฮั่งเส็งindex มันจะไปทางไหนวะเนี่ย? เมื่อก่อนเห็นพุ่งเอาๆ ตอนนี้ดูเงียบเชียบไปเลย” ผมเลยบอกเขาไปว่า ตอนนี้สถานการณ์มันเหมือนคนกำลังรอฟังคำตัดสินสำคัญจากศาลน่ะครับ คือนักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาดูรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC, Federal Open Market Committee) ของ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” (เฟด, Federal Reserve) อย่างใกล้ชิด เพื่อหาทิศทางของ “อัตราดอกเบี้ย” (interest rates, 利率) ว่าจะไปทางไหนกันแน่ เพราะถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยเยอะ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็จะหนาวๆ ร้อนๆ กันหมดครับ ไม่ใช่แค่ฮ่องกงเท่านั้นนะ แม้แต่ “ญี่ปุ่น” (Japan, 日本) ตลาดหุ้นก็ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเดือน หลังรายงาน PMI ภาคการผลิต (Purchasing Managers’ Index, 採購經理指數) ที่เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจก็หดตัวลง “ธนาคารกลางญี่ปุ่น” (BOJ, Bank of Japan, 日本銀行) ถึงขนาดต้องเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลฉุกเฉิน เพื่อพยุงผลตอบแทนไม่ให้พุ่งกระฉูดกันเลยทีเดียว

คุณอาจจะสงสัยว่า “แล้วทำไมเศรษฐกิจจีนถึงสำคัญกับฮั่งเส็งindex ขนาดนั้น?” ก็เพราะว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่ใน “ฮั่งเส็งindex” หลายแห่ง มีธุรกิจที่ผูกพันอยู่กับ “เศรษฐกิจจีน” อย่างใกล้ชิดครับ ลองนึกภาพว่าถ้าโรงงานใหญ่ในจีนกำลังติดขัด ขายของได้น้อยลง กำไรลดลง หุ้นของบริษัทเหล่านั้นที่จดทะเบียนอยู่ในฮ่องกงก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วยนั่นเองครับ ไม่แปลกที่เวลา “เศรษฐกิจจีน” มีข่าวดี “ฮั่งเส็งindex” ก็มักจะคึกคักตาม แต่ถ้ามีข่าวร้าย ก็จะซึมเซาตามไปด้วย เหมือนกับสองพี่น้องที่ตัวติดกันเลยก็ว่าได้

นอกจากนี้ “ฮ่องกง” เองก็มีปัญหาภายในที่ต้องแก้ไขเช่นกันครับ แผนงบประมาณที่ฮ่องกงวางไว้ อาจจะยังไม่สามารถดึงดูดชาวต่างชาติ (Expats, 外籍人士) ให้กลับมาได้มากเท่าที่หวัง ซึ่งชาวต่างชาติเหล่านี้เป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ เพราะพวกเขามีทั้งกำลังซื้อและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พอคนกลุ่มนี้ยังไม่กลับมาอย่างคึกคัก ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ “ฮั่งเส็งindex” ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอยู่ครับ

ถ้าพูดถึง “ฮั่งเส็งindex” มันคืออะไรกันแน่? เจ้าดัชนีตัวนี้เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพรวมของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 40 แห่งที่ซื้อขายอยู่ใน “ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง” (Hong Kong Stock Exchange, 香港交易所) โดยมีการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของบริษัทนั้นๆ แปลง่ายๆ ก็คือ หุ้นของบริษัทที่ใหญ่มากๆ อย่างเช่น Tencent (HKEX:700, 腾讯), ICBC (HKEX:1398, 中国工商银行), หรือ Alibaba (HKEX:9988, 阿里巴巴) ซึ่งเป็นหุ้นที่มี “มูลค่าตลาด” (market capitalization, 市值) สูงสุดในดัชนี ก็จะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่าหุ้นตัวเล็กๆ นั่นเองครับ ดัชนีตัวนี้มีประวัติยาวนานนะครับ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2512 โน่นเลย ดูแลโดยบริษัทดัชนีฮั่งเส็ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของธนาคารฮั่งเส็งอีกที

ตอนนี้ “ฮั่งเส็งindex” กำลังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “แนวโน้มทางเทคนิค” (Technical Trend, 技術趨勢) ที่ยังไม่ชัดเจน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือมันยังแกว่งไปแกว่งมา ไม่รู้จะขึ้นหรือลงอย่างมั่นคงนั่นแหละครับ ถ้าดูจาก “ผลตอบแทน” (Return, 回報) ตั้งแต่ต้นปี (YTD – Year-to-Date, 年初至今) หรือตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่ได้สดใสนัก ซึ่งตัวเลขเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามข้อมูลล่าสุดที่อัปเดตนะครับ อย่างหุ้นบางตัวที่ราคาขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี อย่างเช่น Meituan (HKEX:3690, 美团) หรือหุ้นที่ราคาร่วงหนักที่สุดอย่างเช่น Country Garden (HKEX:2007, 碧桂园) หรือ Longfor Group (HKEX:960, 龙湖集团) ก็เป็นภาพสะท้อนว่าตลาดกำลังเผชิญกับความผันผวนสูงมาก

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 ช่วงวิกฤตการเงินโลก (Financial Crisis, 金融海嘯) ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เคยเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงมาแล้วครับ ตอนนั้น “ฮั่งเส็งindex” ก็ร่วงลงไปอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ฟื้นตัวกลับมาได้ สิ่งนี้สอนให้เรารู้ว่าตลาดหุ้นนั้นมีขึ้นมีลงเป็นวัฏจักร เหมือนคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งแล้วก็ซัดออกไป ไม่มีอะไรขึ้นตลอดไป หรือลงตลอดไป เพียงแต่ว่าในแต่ละช่วงเวลาก็จะมีปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เราต้องคอยติดตามและปรับกลยุทธ์ให้ทัน

**แล้วในฐานะนักลงทุน เราควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้?**

สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความเข้าใจ” ครับ การลงทุนเหมือนการเดินเรือในมหาสมุทร คุณต้องรู้สภาพอากาศ รู้กระแสน้ำ และรู้เส้นทางที่จะไป ไม่ใช่แค่พายเรือไปเรื่อยๆ อย่างเดียว สำหรับ “ฮั่งเส็งindex” ในช่วงที่ “ความผันผวน” สูงแบบนี้ สิ่งที่คุณควรทำคือ:

1. **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** เหมือนเวลาคุณจะซื้อรถยนต์คันนึง คุณต้องดูรีวิว อ่านสเปก เปรียบเทียบราคา ตลาดหุ้นก็เหมือนกันครับ ต้องดูทั้ง “ตัวเลขเศรษฐกิจ” (Economic Data, 經濟數據) ข่าวสาร “นโยบายการเงิน” (Monetary Policy, 貨幣政策) ของ “ธนาคารกลาง” ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “เฟด” หรือ “BOJ” เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนของคุณ

2. **ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง:** คุณรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน? เหมือนการเตรียมร่ม คุณรู้ว่าฝนจะตกปรอยๆ หรือพายุเข้า ถ้าคุณรับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า หรือกระจายความเสี่ยงออกไปหลายๆ ที่ ไม่ใช่ทุ่มเงินทั้งหมดไปที่ “ฮั่งเส็งindex” เพียงอย่างเดียว

3. **อย่าตื่นตระหนกกับข่าวร้ายง่ายๆ:** ตลาดหุ้นมักจะตอบสนองต่อข่าวสารอย่างรวดเร็วและบางครั้งก็เกินจริง เหมือนเพื่อนของคุณที่ชอบตกใจง่ายๆ แต่ในระยะยาวแล้ว ตลาดมักจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทและเศรษฐกิจโดยรวม

4. **พิจารณาการลงทุนในระยะยาว:** สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การลงทุนแบบค่อยๆ ทยอยซื้อในระยะยาว (Dollar-Cost Averaging, 平均成本法) อาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าการพยายามจับจังหวะซื้อขายในระยะสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยความผันผวน เพราะการจับจังหวะตลาดนั้นทำได้ยากมาก แม้แต่มืออาชีพก็ยังทำพลาดได้

ท้ายที่สุดแล้ว “ตลาดหุ้น” ก็คือโลกแห่งโอกาสและความท้าทายครับ “ฮั่งเส็งindex” กำลังบอกเล่าเรื่องราวของ “ฮ่องกง” และ “เศรษฐกิจจีน” ที่กำลังเผชิญกับบททดสอบสำคัญ สิ่งที่คุณทำได้คือการเตรียมตัวให้พร้อม มีความรู้ และที่สำคัญคือต้องมีสติครับ

⚠️ **ข้อควรจำ:** “ตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ” การลงทุนใน “ฮั่งเส็งindex” หรือหุ้นอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่จะเสี่ยงดวง แต่เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลและความเข้าใจ หากสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่สูง หรือมีเงินเย็นไม่มากนัก แนะนำว่าควรประเมินสถานการณ์อย่างละเอียด และเริ่มต้นลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ เพื่อไม่ให้การลงทุนกลายเป็นความทุกข์ใจในภายหลังครับ

Leave a Reply