คุณผู้อ่านที่รักครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวสนุกๆ มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น ที่ฟังดูอาจจะไกลตัว แต่จริงๆ แล้วมันใกล้ตัวเรากว่าที่คิดเสียอีกครับ
เพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง ชื่อ ‘น้องหมู’ แกชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นมากครับ ไม่ว่าจะอาหาร อนิเมะ หรือแฟชั่น ต้องอัปเดตตลอด ล่าสุดน้องหมูเพิ่งกลับจากโตเกียว ก็มาบ่นให้ฟังว่าค่าเงินเยนอ่อนจังเลย เที่ยวสนุกก็จริง แต่ก็แอบกังวลว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเป็นยังไง แล้วการเงินของบ้านเราจะโดนลูกหลงไปด้วยหรือเปล่า?
ผมเลยยิ้มๆ แล้วบอกน้องหมูไปว่า “จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันมี ‘ดัชนี’ ตัวหนึ่งที่คอยบอกเล่าเรื่องราวเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ดีเลยนะน้องหมู แล้วบางทีมันก็มีผลถึงตลาดหุ้นไทยของเราด้วย” น้องหมูตาโต ถามกลับมาทันทีว่า “ดัชนีอะไรครับพี่? แล้วมันเกี่ยวกับ ‘หุ้น นิ’ ที่ผมเคยได้ยินคนพูดถึงกันรึเปล่า?”
นั่นแหละครับ! น้องหมูพูดถูกเผงเลย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับตัวชี้วัดสำคัญของตลาดหุ้นแดนปลาดิบที่ชื่อว่า ดัชนีนิกเคอิ (Nikkei Index) หรือที่นักลงทุนสายย่อ มักจะเรียกติดปากกันว่า “หุ้น นิ” นั่นเองครับ!
### “หุ้น นิ” คืออะไร? ทำไมต้องรู้จัก?
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ “หุ้น นิ” ก็เหมือนกับ “รายงานผลประกอบการประจำวัน” ของบริษัทญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่หลายร้อยแห่งรวมกันครับ ลองนึกภาพว่าถ้าประเทศไทยมีดัชนีที่รวบรวมหุ้นของบริษัทชั้นนำอย่าง ปตท. ทรู หรือเซ็นทรัล แล้วเอาผลประกอบการทั้งหมดมารวมกัน นั่นแหละคือคอนเซ็ปต์ของ “หุ้น นิ” ครับ
เจ้า “หุ้น นิ” เนี่ย เป็นดัชนีหลักของ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Japan Stock Market) ซึ่งจัดการและเผยแพร่โดย บริษัท นิกเคอิ (Nikkei Inc.) มานานนมแล้วครับ ไม่ใช่ใครที่ไหนก็มาสร้างขึ้นมาเองได้นะ ต้องเป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ และมีประวัติยาวนานในวงการข้อมูลการเงินนี่แหละครับถึงจะมีน้ำหนัก ทำให้ “หุ้น นิ” ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากนักลงทุนทั่วโลก

ตัวดัชนีนี้จะสะท้อนภาพรวมของราคาหุ้นบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำ 225 แห่งที่ซื้อขายอยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) ครับ พูดง่ายๆ คือ ถ้า “หุ้น นิ” ปรับตัวขึ้น ก็แปลว่าราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นกำลังไปได้สวย สอดคล้องกับภาพรวมของ เศรษฐกิจญี่ปุ่น (Japan Economy) ที่สดใส ส่วนถ้า “หุ้น นิ” ร่วง ก็อาจจะบ่งชี้ถึงความกังวลหรือปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในแดนอาทิตย์อุทัยนั่นเองครับ
### ทำไม “หุ้น นิ” ถึงเกี่ยวข้องกับเงินในกระเป๋าเรา?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราคนไทยล่ะ?” คำตอบคือ “เกี่ยวเต็มๆ” ครับ! โลกการเงินสมัยนี้มันเชื่อมโยงกันหมด เหมือนใยแมงมุมที่ถักทอไปทั่วทั้งโลกครับ
ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าญี่ปุ่นซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลกเกิด “ไอ” ขึ้นมา ไม่ว่าจะเพราะปัจจัยภายในประเทศ หรือปัจจัยระดับโลกที่ไปกระทบญี่ปุ่นก่อนเพื่อน ผลลัพธ์ที่ตามมามันก็มีโอกาส “จาม” มาถึงบ้านเราได้ง่ายๆ เลยครับ
**หนึ่งในเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดคือ “ความเชื่อมั่นนักลงทุน” ครับ** ถ้าตลาดหุ้นญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียเกิดความผันผวนขึ้นมา นักลงทุนทั่วโลกก็อาจจะเกิดความไม่มั่นใจในภาพรวมของภูมิภาคนี้ไปด้วย ซึ่งรวมถึง ตลาดหุ้นไทย ของเราด้วยครับ เงินลงทุนก็อาจจะไหลออก หรือการลงทุนใหม่ๆ ก็อาจจะชะลอตัวลง นี่คือผลกระทบที่อาจจะไม่ได้เป็นตัวเลขโดยตรง แต่เป็นความรู้สึกและพฤติกรรมที่ส่งผลต่อภาพรวมของ การลงทุน (Investment) ได้อย่างชัดเจน

**อีกประเด็นคือเรื่องของ “บริษัทไทยที่ลงทุนในญี่ปุ่น” หรือมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น** ลองนึกภาพบริษัทไทยที่ไปเปิดโรงงานในญี่ปุ่น หรือบริษัทไทยที่มีคู่ค้าเป็นบริษัทญี่ปุ่นรายใหญ่ๆ หาก “หุ้น นิ” ตกลงอย่างรุนแรง นั่นอาจสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ไม่สู้ดี ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทไทยเหล่านั้นได้ครับ เช่น ยอดขายลดลง กำไรหดหาย สุดท้ายก็อาจจะกระทบไปถึงราคา หุ้นไทย ของบริษัทนั้นๆ ด้วยนั่นเอง
ดังนั้น การติดตาม “หุ้น นิ” จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนญี่ปุ่น หรือนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น แต่เป็นเหมือนการส่องกระจกดูสุขภาพเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านตัวใหญ่ ที่มีผลต่อสุขภาพการเงินของเราในฐานะนักลงทุนหรือผู้ประกอบการไม่มากก็น้อยครับ
### ทำไม “หุ้น นิ” ถึงขึ้นๆ ลงๆ เหมือนรถไฟเหาะ?
ธรรมชาติของ ตลาดทุน (Capital Market) ก็คือความผันผวนครับ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ไหนในโลกก็มีขึ้นมีลง แต่สำหรับ “หุ้น นิ” และตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยรวมแล้ว มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของมันครับ
**ปัจจัยภายในประเทศ:**
* **นโยบายภาครัฐและธนาคารกลาง:** แม้ข้อมูลที่เราได้รับมาจะไม่ได้ระบุถึงนโยบายการเงินโดยตรง แต่ต้องเข้าใจว่าการตัดสินใจของธนาคารกลางญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ล้วนมีอิทธิพลมหาศาลต่อทิศทางของ “หุ้น นิ” ครับ หากเศรษฐกิจดีขึ้นและธนาคารกลางส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หุ้นบางกลุ่มก็อาจจะปรับตัวลงได้ เพราะต้นทุนการเงินแพงขึ้น หรือในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจชะลอตัวและมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ก็อาจจะหนุนให้ตลาดกลับมาคึกคักได้
* **ผลประกอบการของบริษัท:** เหมือนที่บอกไปว่า “หุ้น นิ” คือภาพรวมของบริษัทชั้นนำ ดังนั้นถ้าบริษัทเหล่านี้ทำกำไรได้ดี มีข่าวดีเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ๆ หรือการขยายตัวสู่ตลาดโลก ย่อมเป็นแรงขับเคลื่อนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นครับ
* **ภัยธรรมชาติ:** ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงเรื่องภัยธรรมชาติสูง ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ หรือพายุไต้ฝุ่น ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นได้อย่างรุนแรงและฉับพลันครับ
**ปัจจัยภายนอกประเทศ:**
* **เศรษฐกิจโลก:** หากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่าง สหรัฐอเมริกา จีน หรือยุโรป ชะลอตัวลง ก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของญี่ปุ่น และกระทบต่อกำไรของบริษัทญี่ปุ่นด้วยครับ
* **สงครามการค้าหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ:** นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่สร้าง ผันผวน (Volatility) ให้กับตลาดหุ้นได้ทั่วโลก รวมถึง “หุ้น นิ” ด้วย เพราะมันส่งผลต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั่วโลกครับ
* **อัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate):** ค่าเงินเยนที่อ่อนหรือแข็งค่า มีผลโดยตรงต่อกำไรของบริษัทส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น หากเยนอ่อนค่ามาก อาจจะเป็นผลดีต่อบริษัทส่งออก แต่ก็อาจจะทำให้ต้นทุนนำเข้าสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อภายในประเทศได้ครับ
จะเห็นได้ว่า การที่ “หุ้น นิ” จะขึ้นหรือลงนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เป็นการผสมผสานกันของปัจจัยหลายอย่างทั้งในและต่างประเทศ เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลกนั่นเองครับ
### อยากลองกระโดดเข้าโลก “หุ้น นิ” บ้าง ต้องทำยังไง?
สำหรับใครที่ฟังมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกคันไม้คันมือ อยากจะลองเข้าไปลุยในตลาด “หุ้น นิ” หรือ หุ้นญี่ปุ่น บ้าง ต้องบอกว่าปัจจุบันมีช่องทางที่หลากหลายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากครับ
วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ไม่ต้องการยุ่งยากกับการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยตรง ก็คือการ ลงทุน (Investment) ผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนใน ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ครับ กองทุนเหล่านี้จะรวบรวมเงินของนักลงทุนหลายๆ คนไปให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารจัดการ โดยมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน เช่น เน้นลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น เน้นลงทุนในดัชนีนิกเคอิ หรือเน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยง และไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นเองครับ

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจเรื่องการลงทุนมากขึ้นคือการลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) ที่อ้างอิงดัชนีนิกเคอิโดยตรง ซึ่งซื้อขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ หรือสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และเข้าใจความ ความเสี่ยง (Risk) สูง ก็อาจจะพิจารณาการซื้อขาย CFD (Contract For Difference) ที่อ้างอิงดัชนีนิกเคอิผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ต่างๆ ได้ครับ
ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกหลายแห่งที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างเช่น Moneta Markets (โมเนต้า มาร์เก็ตส์) ที่มักจะมีเครื่องมือและข้อมูลหลากหลายให้เลือกใช้ รวมถึงการเข้าถึงตลาดอย่าง ดัชนีนิกเคอิ หรือหุ้นบริษัทชั้นนำทั่วโลกได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาเงื่อนไขการซื้อขาย ผลตอบแทน (Return) ที่คาดหวัง และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้เข้าใจอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจนะครับ
### สรุปและข้อคิดปิดท้าย
ท้ายที่สุดแล้ว “หุ้น นิ” หรือ ดัชนีนิกเคอิ ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขบนหน้าจอ แต่เป็นเหมือน “หัวใจ” ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น และเป็น “มาตรวัด” ที่บอกเล่าเรื่องราวของ เศรษฐกิจญี่ปุ่น ได้เป็นอย่างดี การเคลื่อนไหวของมันสะท้อนถึงสุขภาพของบริษัทชั้นนำ และมีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนใน ภูมิภาคเอเชีย รวมถึงบ้านเราด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนโดยตรง หรือเป็นเพียงผู้ที่ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจ “หุ้น นิ” และปัจจัยที่ขับเคลื่อนมัน จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจโลกได้กว้างขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ดีขึ้นครับ
⚠️ **จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง** ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเงินทุนที่เราจะนำมาลงทุนนั้นไม่ใช่เงินเย็น หรือเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นพิเศษนะครับ อย่าเชื่อคนง่าย อย่าลงทุนตามกระแส และที่สำคัญคือต้องเข้าใจตัวเองว่าเรายอมรับ ความเสี่ยง ได้มากแค่ไหน และมีเป้าหมาย การลงทุน อะไร เพื่อให้การเดินทางในโลกการเงินของคุณเป็นไปอย่างมีสติและปลอดภัยที่สุดครับ!