เจาะลึก! นิเคอิออกอะไรวันนี้? ทำไมนักลงทุนต้องจับตา!

สวัสดีครับนักลงทุนมือใหม่และมือเก๋าทุกท่าน! ผมเชื่อว่าหลายคนตื่นเช้ามาก็ต้องหยิบมือถือเปิดดูข่าวตลาดหุ้นกันใช่ไหมครับ? บางคนอาจจะอยากรู้ว่า “วันนี้ นิเคอิออกอะไรวันนี้ นะ” หรือ “ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเขาเป็นยังไงบ้าง” เพราะไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ ตัวเลขจากตลาดหุ้นแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง “ดัชนีนิเคอิ” (Nikkei Indexes) โดยเฉพาะ “นิเคอิ 225” (Nikkei 225) เนี่ย มีอิทธิพลกับกระเป๋าเงินของนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงเราๆ ท่านๆ ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

นึกภาพตามนะครับว่าโลกเราเหมือนมีเส้นด้ายบางๆ เชื่อมโยงกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าญี่ปุ่นจาม จีนก็อาจจะติดหวัดได้ง่ายๆ และแน่นอนว่าประเทศไทยเองก็หนีไม่พ้นผลกระทบนั้น ดัชนีนิเคอิก็เปรียบเสมือน “มาตรวัดไข้” ที่บอกอุณหภูมิเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และยังสะท้อนถึงสุขภาพของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียได้อีกด้วย วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่า เจ้าดัชนีตัวนี้มันคืออะไร ทำไมมันถึงขึ้นๆ ลงๆ และมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตประจำวันของเราบ้างครับ

**ทำไม “นิเคอิ 225” ถึงสำคัญกว่าที่คิด?**

คุณอาจจะสงสัยว่า “แล้วทำไมต้องเป็นญี่ปุ่นล่ะ? ไม่ใช่สหรัฐฯ หรือจีนเหรอ?” ใช่ครับ สหรัฐฯ กับจีนก็สำคัญมาก แต่ญี่ปุ่นก็เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ติดอันดับโลก แถมบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา ทั้งรถยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่เครื่องสำอาง ดังนั้นเวลาที่ Nikkei 225 ขยับขึ้นลง มันก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทเหล่านี้และภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั่นเอง

เพื่อนสนิทของผม “คุณสมชาย” ซึ่งเพิ่งเริ่มลงทุนหุ้นบ่นให้ฟังเมื่อไม่นานมานี้ว่า “เฮ้ย! ทำไมวันนี้หุ้นที่เราถืออยู่มันแดงแจ๋เลยวะ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่หุ้นญี่ปุ่น” ผมก็เลยต้องอธิบายให้เขาฟังว่า ตลาดหุ้นมันเชื่อมโยงกันหมดแหละครับ โดยเฉพาะตลาดในเอเชียเนี่ย เวลาที่ นิเคอิออกอะไรวันนี้ แล้วมันติดลบ หุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคก็มักจะพลอยแดงตามไปด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะนักลงทุนมักจะมองภาพรวม และถ้าญี่ปุ่นซึ่งเป็นพี่ใหญ่ทางเศรษฐกิจมีอาการไม่ดี ตลาดอื่นๆ ก็อาจจะกังวลตามไปด้วยไงครับ

ลองมาดูสถานการณ์ล่าสุดกันครับ ดัชนีนิเคอิ 225 ในช่วงที่ผ่านมาต้องเจอกับมรสุมหลายลูก เหมือนเรือที่แล่นอยู่กลางทะเลลมแรงเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้น (ซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียไปหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในอเมริกา) หรือวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่สร้างความผันผวนให้กับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก ไม่นับรวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่แม้จะคลี่คลายลงมาก แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยไว้บ้าง รวมถึงการเจรจาทางการค้าที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ปัจจัยเหล่านี้เหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าใส่ตลาดหุ้นเอเชีย ทำให้ดัชนีนิเคอิเองก็ต้องปรับตัวตามไปด้วยครับ

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข่าวร้ายนะครับ อย่างที่สำนักข่าว CNBC ได้รายงานไว้เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567 (หรือปี ค.ศ. 2024 นั่นแหละครับ) ว่าดัชนีนิเคอิ 225 นั้นสามารถปิดตลาดได้ที่ 40,913.65 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 0.82% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบ แต่ตลาดก็ยังมีความสามารถในการฟื้นตัวและปรับตัวได้อยู่เสมอครับ ข้อมูลจากไทยรัฐออนไลน์ และ MSN Money ก็สอดคล้องกันที่ว่าตลาดหุ้นเอเชียมีความผันผวนสูงตามสถานการณ์โลกจริงๆ ครับ

**เปิดแฟ้ม “นโยบายการเงิน”: ผู้ชี้ชะตาตลาดหุ้น?**

ถ้าจะให้เปรียบเทียบ “นโยบายการเงิน” ก็คงเหมือน “พวงมาลัยเรือ” ที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศใช้บังคับทิศทางเศรษฐกิจของตัวเองครับ ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” (Federal Reserve: เฟด) ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย แปลว่าต้นทุนการกู้ยืมเงินมันแพงขึ้นใช่ไหมครับ? พอดอกเบี้ยสูงขึ้น เงินก็จะไหลออกจากตลาดหุ้นที่ความเสี่ยงสูงกว่า ไปหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีและเสี่ยงน้อยกว่า อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล (government bonds) ในสหรัฐฯ แทนครับ ซึ่งก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงตลาดหุ้นโตเกียวของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ในทางกลับกัน บางประเทศก็เลือกที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครับ อย่างเช่น “ธนาคารกลางจีน” (People’s Bank of China: PBOC) ที่เลือกที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (Loan Prime Rate: LPR) ซึ่งก็เหมือนกับการลดภาระดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการและประชาชน พอต้นทุนการเงินถูกลง การจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนก็อาจจะกลับมาคึกคักขึ้นได้ครับ

จากข้อมูลของสำนักข่าวอินโฟเควสท์ (InfoQuest) เองก็ชี้ให้เห็นว่า การตอบสนองของตลาดหุ้นเอเชียต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางในภูมิภาค ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นครับ ไม่แปลกเลยที่นักลงทุนถึงต้องคอยจับตาข่าวสารพวกนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมันคือตัวแปรสำคัญที่จะบอกว่า นิเคอิออกอะไรวันนี้ และจะออกไปในทิศทางไหนต่อครับ

**มอง “ตัวเลขเศรษฐกิจ”: หัวใจที่เต้นอยู่ในตลาดหุ้น**

นอกจากเรื่องของนโยบายการเงินแล้ว “ตัวเลขเศรษฐกิจ” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนใจเต้นได้ไม่แพ้กันครับ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อบ้านสักหลัง คุณก็ต้องดูข้อมูลเยอะแยะไปหมดใช่ไหมครับว่า เจ้าของบ้านเดิมเขาดูแลบ้านดีแค่ไหน รายรับรายจ่ายเป็นยังไง สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างไร? ตลาดหุ้นก็คล้ายกันครับ นักลงทุนก็ต้องการข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าควรจะลงทุนเพิ่ม หรือควรถอยออกมาดูก่อน

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของจีน ที่บอกว่าเศรษฐกิจจีนเติบโตเร็วแค่ไหน หรืออัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นที่สะท้อนว่าสินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้นเร็วแค่ไหน? ตัวเลขเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่บอกถึง “สุขภาพ” ของเศรษฐกิจ ถ้าตัวเลขออกมาดี นักลงทุนก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น กล้าที่จะลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นเป็นบวก แต่ถ้าตัวเลขออกมาไม่ค่อยดี ความกังวลก็จะเข้ามาแทนที่ และอาจจะทำให้ตลาดปรับตัวลดลงได้ครับ

สำนักข่าว MSN Money และ CNBC มักจะรายงานข้อมูลและสถิติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดัชนี Nikkei 225 อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะตัวเลขเหล่านี้แหละครับที่บอกได้ว่าดัชนีนิเคอิมีความผันผวนตามปัจจัยต่างๆ อย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการส่งออก การนำเข้า อัตราการว่างงาน หรือแม้แต่ความรู้สึกของผู้บริโภค ทุกสิ่งล้วนมีผลกระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้นญี่ปุ่นทั้งสิ้นครับ ดังนั้นการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับนักลงทุนครับ

**บทสรุปจากเซียนจับหุ้น: เตรียมตัวให้พร้อมก่อนลุยสนามจริง**

จากที่คุยกันมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการจะตอบคำถามว่า นิเคอิออกอะไรวันนี้ หรือ “ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะไปทางไหนต่อ” นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยใช่ไหมครับ? เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่มันคือการรวมกันของหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลก, นโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ, และตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมา

เหมือนกับการขับรถในวันที่ฝนตกหนัก เราไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนไปตลอดทาง แต่เราสามารถเปิดไฟหน้ารถ ชะลอความเร็ว และเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอครับ การลงทุนก็เช่นกันครับ

สำหรับนักลงทุนทุกท่าน โดยเฉพาะมือใหม่ ผมขอแนะนำดังนี้ครับ:

1. **”อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” (กระจายความเสี่ยง):** อย่าเพิ่งทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างตลาดหุ้น การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น กองทุนรวม หรือแม้แต่การออมในรูปแบบอื่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ครับ
2. **”หาข้อมูลให้แน่นปึ้ก”:** ก่อนจะตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ควรศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วน จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักข่าวไทยรัฐออนไลน์, อินโฟเควสท์, CNBC หรือเว็บไซต์ข่าวสารการเงินต่างๆ การเข้าใจปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น และตอบคำถามตัวเองได้ว่าทำไมวันนี้ นิเคอิออกอะไรวันนี้ แล้วมันถึงเป็นแบบนั้น
3. **”รู้จักตัวเอง”:** ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้เสมอ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ ไม่ใช่แค่ตามเพื่อน หรือตามกระแสครับ
4. **”อดทนและมีวินัย”:** ตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นทุกวันและไม่ได้ลงทุกวัน บางทีคุณอาจจะต้องใช้เวลาในการรอคอยผลตอบแทนที่คุ้มค่า และต้องมีวินัยในการลงทุนตามแผนที่วางไว้ครับ

⚠️ **ข้อควรระวัง:** หากเงินลงทุนของคุณมีจำกัด หรือสภาพคล่องไม่สูงนัก (เช่น เป็นเงินที่ต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้) ผมแนะนำว่าควรประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้น เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง มีโอกาสที่จะขาดทุนได้ หากไม่ศึกษาข้อมูลและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมครับ

ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนก็เหมือนกับการเดินทางครั้งใหญ่ครับ การรู้เท่าทันข้อมูล เข้าใจปัจจัยต่างๆ และเตรียมตัวให้พร้อม จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ครับ ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีกับการลงทุนครับ!

Leave a Reply