
เช้าวันหนึ่งที่อากาศกำลังสบาย จิบกาแฟอุ่นๆ พร้อมไถฟีดข่าวในมือถือ ใครหลายคนอาจจะสะดุดตากับพาดหัวข่าวตัวแดงๆ ที่บอกว่า “ดัชนีฮั่งเส็งร่วง!” หรือ “ฮั่งเส็งวันนี้ผันผวนหนัก” เชื่อว่าหลายคนคงเคยสงสัยว่า “เจ้าฮั่งเส็ง” เนี่ย มันคืออะไรกันแน่? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกระเป๋าเงินเรา หรือชีวิตประจำวันของเราล่ะ? วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องง่ายๆ ผมจะพาไปเจาะลึกเรื่องของฮั่งเส็งแบบเจาะลึก แต่เข้าใจง่าย เหมือนชวนเพื่อนมานั่งเม้าท์เรื่องหุ้นกันเลยครับ
ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้ากรุงเทพฯ มีดัชนีชี้วัดสุขภาพของเศรษฐกิจโดยรวม ฮ่องกงก็มี “ดัชนีฮั่งเส็ง” นี่แหละครับ มันเหมือนกับ “ใบรายงานผลสอบ” หรือ “กระจกส่องสุขภาพ” ของ 40 บริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเลยทีเดียว บริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นหัวกะทิในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การค้า อสังหาริมทรัพย์ หรือสาธารณูปโภค พูดง่ายๆ คือ ถ้าบริษัทเหล่านี้สบายดี เศรษฐกิจฮ่องกงโดยรวมก็น่าจะสดใส แต่ถ้าพวกเขามีอาการป่วย ฮ่องกงก็อาจจะซึมๆ ไปด้วย
ทีนี้คำถามที่ตามมาคือ ทำไมฮั่งเส็งวันนี้ถึงได้ผันผวนไม่หยุดหย่อน? ล่าสุดที่เห็นตัวเลขคือปิดที่ 17,799.61 จุด ลดลงไป 1.27% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่น่าจับตาเมื่อเทียบกับช่วง 52 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่เคยขึ้นไปสูงสุดถึง 20,361.03 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 14,794.16 จุด นี่มันเหมือนกับกราฟรูปภูเขาที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่นิ่งเลยใช่ไหมครับ? สาเหตุหลักๆ มันซับซ้อนกว่าที่คิดครับ แต่พอจะสรุปเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ดังนี้
**ปัจจัยแรก: คุณหมออัตราดอกเบี้ยทั่วโลก**
เคยไหมครับที่เดินเข้าร้านกาแฟแล้วได้ยินคนบ่นว่า “เงินเฟ้อ” หรือ “ดอกเบี้ยขึ้น”? เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยครับ เพราะมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงฮั่งเส็งด้วย ลองคิดภาพว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า เฟด (Fed) กำลังพิจารณาว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกดีไหม? ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย นั่นหมายความว่าต้นทุนการกู้ยืมเงินของบริษัทต่างๆ จะสูงขึ้น ทำให้กำไรลดลง ผู้คนก็อาจจะไม่อยากกู้เงินมาลงทุนหรือใช้จ่าย เพราะดอกเบี้ยแพง แถมเงินที่เคยอยู่ในตลาดหุ้นก็อาจจะไหลออกไปหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในพันธบัตร ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า นโยบายดอกเบี้ยของเฟดจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดหุ้นฮ่องกง เพราะฮ่องกงมักจะเดินตามนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ครับ

นอกจากเฟดแล้ว ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ บีโอเจ (BOJ) ก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันครับ ล่าสุดบีโอเจถึงกับต้องเข้าซื้อพันธบัตรแบบฉุกเฉินเพื่อพยุงอัตราผลตอบแทนไม่ให้พุ่งสูงเกินไป การที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องออกโรงมาดูแลตลาดแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้ปกติสุขเท่าไหร่ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วเอเชีย รวมถึงฮั่งเส็งวันนี้ ต่างก็ได้รับแรงกดดันและปรับตัวลดลงตามกันไปหมดครับ
**ปัจจัยที่สอง: สุขภาพเศรษฐกิจโลกและเพื่อนบ้านอย่างจีน**
เวลาจะดูสุขภาพคน เราก็ต้องดูหลายๆ อย่างใช่ไหมครับ เศรษฐกิจก็เหมือนกันครับ ตัวเลขสำคัญอย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ พีเอ็มไอ (PMI) ที่เป็นดัชนีชี้วัดภาวะการผลิต การจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของญี่ปุ่นกำลังหดตัวลง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็มีสัญญาณชะลอตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี และไม่ต้องพูดถึงเศรษฐกิจจีน ที่ถึงแม้จะมีความพยายามกระตุ้น แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหนี้มหาศาล หรือมาตรการควบคุมของรัฐบาลที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
เมื่อเพื่อนบ้านอย่างจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจฮ่องกงอย่างมาก มีอาการ “หวัด” ไม่สบาย ตลาดหุ้นฮ่องกงก็ย่อมได้รับผลกระทบเป็นธรรมดา เหมือนคนในครอบครัว ถ้าคนในบ้านป่วย คนอื่นๆ ก็ต้องคอยดูแลหรือได้รับผลกระทบไปด้วย ดัชนีฮั่งเส็งจึงสะท้อนความกังวลเหล่านี้ออกมาอย่างชัดเจนครับ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่เคยเป็นประเด็นร้อนแรงสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ถึงแม้ตอนนี้จะไม่เป็นข่าวใหญ่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังคงเป็นปัจจัยซ่อนเร้นที่นักลงทุนยังคงจับตาอยู่เสมอ
**ปัจจัยที่สาม: องค์ประกอบภายในของฮั่งเส็ง**
ฮั่งเส็งประกอบด้วยบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหุ้นฮ่องกงอย่างที่บอกไปแล้วครับ ในกลุ่มบริษัทเหล่านี้ มีทั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ แต่ช่วงที่ผ่านมา สองกลุ่มนี้กลับได้รับผลกระทบอย่างหนักจากข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นในจีน การควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้หุ้นเหล่านี้มีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง และเมื่อหุ้นตัวใหญ่ๆ ในดัชนีปรับตัวลง ดัชนีฮั่งเส็งวันนี้ก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วยนั่นเองครับ

สำหรับข้อมูล ณ ปัจจุบัน (ตามข้อมูลอ้างอิง) หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในดัชนีฮั่งเส็งก็อย่างเช่น Tencent Holdings (เทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์), Industrial and Commercial Bank of China (อินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า) หรือ ICBC (ไอซีบีซี) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ และ Alibaba Group Holding (อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง) ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน นี่คือตัวอย่างบริษัทที่เป็นเหมือนหัวใจหลักของดัชนีนี้ครับ
**แล้วเราจะทำอย่างไรกับข้อมูล “ฮั่งเส็งวันนี้” เหล่านี้ดี?**
สมมติว่าคุณมีเงินก้อนหนึ่งและกำลังคิดจะลงทุนในตลาดหุ้น หรือแม้กระทั่งอยากรู้ว่าเศรษฐกิจกำลังไปในทิศทางไหน การติดตามดัชนีอย่างฮั่งเส็งก็มีประโยชน์ครับ มันไม่ใช่แค่ตัวเลขลอยๆ แต่มันสะท้อนถึงอารมณ์ของตลาด และทิศทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกับชีวิตเราทุกคน
แต่ก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารทางการเงิน หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากครับ ผมขอย้ำว่า “ต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ” เหมือนกับจะไปเที่ยวต่างประเทศ เราก็ต้องหาข้อมูลเยอะๆ ว่าไปที่ไหนดี อากาศเป็นยังไง ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ การลงทุนก็เช่นกันครับ ต้องรู้ว่ากำลังจะลงทุนในอะไร มีความเสี่ยงแค่ไหน ผลตอบแทนที่คาดหวังเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ข้อมูลที่เราเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์ หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป การพึ่งพาข้อมูลเหล่านี้เพียงอย่างเดียวในการซื้อขาย อาจนำไปสู่ความเสียหายหรือการสูญเสียเงินได้นะครับ
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเห็น ฮั่งเส็งวันนี้ จะขึ้นจะลงแค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความรู้” และ “การบริหารความเสี่ยง” ครับ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกหรือกระโจนเข้าใส่ตลาดเพียงเพราะเห็นกระแส หากคุณไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอ หรือหากเงินลงทุนนั้นเป็นเงินที่คุณจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ผมแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน หรือนักวางแผนการลงทุนมืออาชีพก่อนตัดสินใจเสมอครับ เพราะการลงทุนคือการเดินทางระยะยาว ที่ต้องอาศัยความเข้าใจ และความอดทนครับ จงจำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ