เจาะลึก หุ้นใน SET50: โอกาสทอง ท่ามกลางความผันผวน?

เพื่อนๆ นักลงทุนเคยสงสัยไหมครับว่า เวลาพูดถึง “ตลาดหุ้นไทย” เนี่ย เราควรโฟกัสที่ตรงไหนเป็นพิเศษ? บางคนอาจจะดูที่ SET Index ตัวใหญ่สุด บางคนอาจจะมองหาหุ้นเล็กหุ้นน้อยที่วิ่งแรงๆ แต่วันนี้ ผมอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “หุ้นใน SET50” ให้มากขึ้นครับ เพราะนี่คือกลุ่มหุ้นที่เปรียบเสมือนหัวหอกของตลาด เป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่ๆ ที่เราคุ้นชื่อคุ้นแบรนด์กันดี การทำความเข้าใจกลุ่มนี้ จึงเหมือนกับการได้เห็นภาพรวมและทิศทางของตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เลยล่ะครับ

ลองนึกภาพว่า ตลาดหุ้นไทยก็เหมือนสนามฟุตบอลใหญ่ๆ หุ้นแต่ละตัวคือนักเตะ ส่วนดัชนี SET Index ก็เหมือนคะแนนรวมของทั้งทีม ทีนี้ “หุ้นใน SET50” เนี่ย ก็คือนักเตะตัวท็อป 50 คนแรก ที่เก่งสุดในลีค (เกณฑ์คัดเลือกหลักๆ คือมีมูลค่าตลาดสูง มีสภาพคล่องสูงปรี๊ด ซื้อขายคล่องปรื๋อ และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์อีกหลายข้อ เช่น จดทะเบียนมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ไม่อยู่ในกระบวนการเพิกถอน มีผู้ถือหุ้นรายย่อยตามกำหนด) เค้าจะมีการทบทวนรายชื่อนักเตะตัวท็อปเหล่านี้ทุกๆ ครึ่งปี คือช่วงเดือนมิถุนายนและธันวาคมครับ ไม่ใช่ว่าจะติดโผกันง่ายๆ นะ

แล้วทำไมเราต้องสนใจนักเตะ 50 คนนี้ล่ะ? ก็เพราะการเคลื่อนไหวของราคา “หุ้นใน SET50” มันมีผลกระทบต่อดัชนี SET Index ค่อนข้างมากครับ เนื่องจากดัชนีนี้คำนวณโดยใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization) หมายความว่า หุ้นตัวไหนที่มีมูลค่าบริษัทใหญ่มากๆ น้ำหนักในดัชนีก็จะเยอะตาม ถ้าเค้าขึ้นหรือลง ดัชนีรวมก็จะได้รับอิทธิพลไปด้วยเยอะหน่อย ดังนั้น การดู “หุ้นใน SET50” จึงช่วยให้เราประเมินแนวโน้มของหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดได้ดีครับ แถมยังเป็นที่นิยม ซื้อขายง่าย มีข้อมูล บทวิเคราะห์รองรับเยอะ และยังใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับตราสารอนุพันธ์อย่าง SET50 Index Futures/Options ด้วย ทำให้กลุ่มนี้มีความสำคัญมากๆ สำหรับนักลงทุนหลายๆ สไตล์เลยครับ

ช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยรวมถึง “หุ้นใน SET50” ก็ดูจะคึกคักขึ้นมานิดหน่อยนะครับ (ตามข้อมูลล่าสุด ดัชนี SET50 ปรับขึ้น 0.36%) มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาดก็สูงถึงสองหมื่นกว่าล้านบาทต่อวัน ซึ่งถือว่ามีความน่าสนใจพอสมควร ถ้าดูภาพรวมจำนวนหลักทรัพย์ที่ขึ้น/ลง ก็พบว่าในตลาด SET จำนวนหุ้นที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นมีมากกว่าหุ้นที่ราคาลดลงเล็กน้อย ส่วนตลาด mai จำนวนหุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงกับราคาลดลงมีใกล้เคียงกัน

ปัจจัยบวกตัวใหญ่ๆ ที่นักวิเคราะห์มองเห็นและเข้ามาหนุนตลาด รวมถึง “หุ้นใน SET50” ในช่วงที่ผ่านมาเลยก็มี 3 เรื่องหลักๆ ครับ หนึ่งเลยคือเรื่องการเมืองที่ดูจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี (แม้ข้อมูลที่ผมได้รับจะระบุชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งอาจเป็นไปตามบริบทของช่วงเวลาที่ข้อมูลนี้ถูกจัดทำขึ้น แต่นัยยะสำคัญคือความชัดเจนทางการเมือง) ทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกำลังซื้อในประเทศครับ

สองคือเม็ดเงินจากกองทุนอย่างกองทุนวายุภักษ์ที่เข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทย ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่ช่วยประคองตลาดและสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นได้ในช่วงหนึ่ง

และปัจจัยที่สามที่สำคัญมากๆ คือทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นใจครับ ทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยเองก็เพิ่งประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายนี้ถือเป็นสัญญาณว่าทางการต้องการจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจครับ เช่นเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ก็เริ่มมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต ซึ่งการที่ดอกเบี้ยมีทิศทางขาลงนี้ โดยทฤษฎีแล้วถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น เพราะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ ต่ำลง การลงทุนในหุ้นก็ดูน่าสนใจขึ้นเมื่อเทียบกับการฝากเงินหรือตราสารหนี้ และทำให้การประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นในระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ที่สูงขึ้นได้

อ้าว! ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า “หุ้นใน SET50” และตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น สบายใจหายห่วงได้เลยใช่ไหม? ใจเย็นๆ ครับ แม้ภาพรวมจะดูมีปัจจัยบวกมาหนุน แต่เสียงเตือนจากกูรูนักวิเคราะห์ก็มีมาให้ได้ยินเหมือนกันครับ

มุมมองจากนักวิเคราะห์อย่างเช่นจาก บล.พาย และ บล.ทิสโก้ มองว่า ตลาดได้รับข่าวดีต่างๆ ที่กล่าวมาไปเยอะแล้วครับ เหมือนดูหนังที่รู้ตอนจบไปแล้ว ราคาหุ้นโดยรวมได้ปรับตัวขึ้นมารับปัจจัยบวกเหล่านี้ไปในระดับหนึ่ง ทำให้ Valuation หรือมูลค่าหุ้นโดยรวมตอนนี้ “ไม่ถูก” เหมือนช่วงก่อนหน้านี้แล้วนะ ยิ่งเมื่อพิจารณาว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมยังดูทรงๆ ไม่ได้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังชี้ว่ามีเรื่องที่ต้องจับตาคือ Fund Flow หรือกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติที่เริ่มมีสัญญาณไหลออกไปบ้าง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติที่นำเงินเข้ามาลงทุนในไทยแล้วต้องแลกกลับเป็นเงินสกุลตัวเอง ได้ผลตอบแทนน้อยลง หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนครับ และอีกความเสี่ยงที่สำคัญคือต้องระวังแรงเทขายทำกำไรที่จะออกมา ถ้าผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 (ข้อมูล ณ ช่วงเวลาที่บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่) ออกมาไม่ดีเท่าที่ตลาดคาดหวังไว้

บล.ทิสโก้มองว่า Upside (โอกาสที่ราคาจะขึ้นไปได้อีก) ของดัชนี SET Index ในปีนี้ (อ้างอิงมุมมองในช่วงที่ข้อมูลจัดทำ) เหลือจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,500 – 1,520 จุด ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นไปแรงๆ อาจจะไม่มากแล้วครับ ดังนั้น คำแนะนำจากนักวิเคราะห์จึงค่อนข้างระมัดระวัง คือแนะนำให้ “ขายทำกำไร” เมื่อตลาดปรับตัวขึ้นไป และ “รอย่อตัวซื้อคืน” เมื่อราคาย่อลงมา น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกว่าในช่วงนี้

ถ้าอย่างนั้น เราควรหนีไปพักผ่อน ปิดพอร์ตไว้เฉยๆ ดีกว่าไหม? ไม่ถึงขนาดนั้นครับ แม้ภาพรวมจะดูอึมครึม มีปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง แต่ในวิกฤต (หรือสภาวะตลาดที่ไม่สดใสเท่าที่ควร) ก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอครับ นักวิเคราะห์ยังแนะนำว่า แม้ดัชนีโดยรวมจะ Upside จำกัด แต่การ “เลือกรายตัว” (Stock Picking) ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ หรือ “หุ้นใน SET50” ที่มีพื้นฐานดี มีเรื่องราวดีๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนผลประกอบการ ยังพอทำกำไรได้อยู่ครับ

เค้าชี้เป้าไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัว รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงครับ ลองไปทำการบ้านเลือกหุ้นดีๆ ในกลุ่มเหล่านี้ดู ได้แก่

* **กลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว:** หลังจากเปิดประเทศเต็มที่ การท่องเที่ยวไทยก็กลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน โรงแรม สายการบิน หรือบริการอื่นๆ ที่รับอานิสงส์โดยตรง ก็น่าจับตาครับ
* **กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภค:** เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น กำลังซื้อของผู้คนก็เพิ่มขึ้น หุ้นในกลุ่มค้าปลีก อาหาร เครื่องดื่ม หรือสินค้าอุปโภคบริโภค ก็น่าจะได้รับประโยชน์
* **กลุ่มโรงพยาบาล:** การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ หุ้นโรงพยาบาลมักมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง และอาจได้รับประโยชน์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
* **กลุ่มโรงไฟฟ้า:** กลุ่มนี้ค่อนข้างอ่อนไหวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยลดลง ต้นทุนทางการเงินในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ หรือภาระหนี้เดิมก็จะลดลง ทำให้หุ้นกลุ่มนี้น่าสนใจขึ้น
* **กลุ่มไฟแนนซ์:** สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อต่างๆ ก็อาจได้รับประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นการกู้ยืมและการใช้จ่ายได้

ไหนๆ ก็พูดถึงหุ้นรายตัวแล้ว มาดูกันหน่อยว่าช่วงที่ผ่านมา “หุ้นใน SET50” ตัวไหนที่โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจบ้าง และตัวไหนที่นักวิเคราะห์มองว่ายังมี Upside เหลือให้วิ่งได้อีกเยอะ

ตามข้อมูลย้อนหลัง 3 เดือนล่าสุด (ณ 18 ตุลาคม 2567 อ้างอิงจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เผยแพร่ในบทความกรุงเทพธุรกิจ) หุ้นที่เป็นพระเอกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่ม SET50 คือ GULF ครับ ให้ผลตอบแทนไปถึง 54.44% ตามมาด้วย TLI ที่ให้ผลตอบแทน 52.70% และ INTUCH ที่ให้ผลตอบแทน 43.04% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งมากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ นะครับ แต่ต้องย้ำเตือนไว้ตรงนี้เลยว่า ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตนะครับ!

แล้วตัวไหนที่นักวิเคราะห์มองว่ายังมี “Upside Potential” เหลือให้วิ่งได้อีกเยอะล่ะ? อ้างอิงจาก IAA Consensus (มุมมองโดยเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ จากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน) ในช่วง มกราคม – มิถุนายน 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2566 ที่เผยแพร่ในบทความทันหุ้น) ก็มีรายชื่อ “หุ้นใน SET50” ที่น่าสนใจอยู่หลายตัวครับ ตัวที่นักวิเคราะห์ให้ Upside สูงสุดคือ TRUE ครับ มองว่ายังมี Upside ถึง 60.99% ตามมาด้วย AWC 58.43%, MINT 48.59%, COM7 45.15%, OSP 42.33%, RATCH 38.77%, BANPU 38.75%, BDMS 36.47%, EA 36.29% และ HMPRO 35.81% รายชื่อเหล่านี้เป็นเพียงการรวบรวมมุมมองของนักวิเคราะห์นะครับ ไม่ใช่การรับประกันว่าราคาจะต้องขึ้นไปถึงระดับนั้นจริงๆ เราต้องนำไปทำการบ้านต่อเองครับ

ถ้าอยากรู้ว่าตอนนี้มี “หุ้นใน SET50” ตัวไหนบ้าง หรือดูราคาแบบเรียลไทม์ ดูข้อมูลการซื้อขายต่างๆ ทำยังไง? ง่ายๆ เลยครับ เข้าโปรแกรมเทรดหุ้นของโบรกเกอร์ที่เราใช้ ไม่ว่าจะเป็น Streaming หรือโปรแกรมอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีให้ดูดัชนี .SET50 หรือ .SET100 ได้เลย เพียงแค่พิมพ์สัญลักษณ์ดัชนีเข้าไป หรือถ้าใช้โปรแกรมอย่าง efin StockPickUp ก็เข้าไปดูใน Price List เลือก SET ก็จะเห็นรายชื่อหุ้น 50 ตัวแรกที่อยู่ใน SET50 ณ ขณะนั้นแล้วครับ การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ทำได้ไม่ยากเลย และเป็นสิ่งจำเป็นที่นักลงทุนควรทำความคุ้นเคยไว้

สรุปแล้ว “หุ้นใน SET50” ช่วงนี้ก็เหมือนเหรียญสองด้านครับ ด้านหนึ่งได้แรงหนุนจากปัจจัยบวกทั้งเรื่องการเมืองที่ชัดเจนขึ้น เม็ดเงินจากกองทุน และทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ตลาดดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้บ้าง แต่อีกด้านก็ต้องเจอมุมมองที่ระมัดระวังจากนักวิเคราะห์เรื่อง Valuation ที่ไม่ถูกแล้ว กำไรบริษัทจดทะเบียนยังทรงตัว และความเสี่ยงจากผลประกอบการที่อาจไม่เป็นไปตามคาด

ดังนั้น กลยุทธ์ที่น่าสนใจตอนนี้สำหรับนักลงทุนที่สนใจ “หุ้นใน SET50” น่าจะเป็นการ ‘เน้นเลือกรายตัว’ (Stock Picking) ครับ มองหาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังได้ประโยชน์จากปัจจัยบวกต่างๆ มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีในอนาคต ควบคู่กับการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยในการจับจังหวะซื้อขาย

การลงทุนใน “หุ้นใน SET50” ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ สภาพคล่องสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงบางส่วนเมื่อเทียบกับหุ้นเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลยนะครับ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหล่านี้ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ผลประกอบการของบริษัท ข่าวสารต่างๆ และภาวะตลาดหุ้นโลก

⚠️ คำเตือนที่สำคัญมากๆ สำหรับนักลงทุนทุกคนครับ การลงทุนใน “หุ้นใน SET50” หรือตราสารทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคนเสมอไป ราคาของตราสารทางการเงินมีความผันผวนสูง ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยที่เราอาจควบคุมไม่ได้ การซื้อขายด้วยมาร์จิ้น (Margin) หรือการใช้ leverage เพิ่มความเสี่ยงทางการเงินขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ควรศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ประเมินเป้าหมายการลงทุน ประสบการณ์ในการลงทุน และระดับการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองให้ดีอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และถ้าไม่แน่ใจ ควรแสวงหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีใบอนุญาตนะครับ ข้อมูลที่เรานำเสนอในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาและให้ความรู้ ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำในการซื้อขายหลักทรัพย์หรือตราสารทางการเงินใดๆ การตัดสินใจลงทุนขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านแต่ละท่านแต่เพียงผู้เดียวครับ

Leave a Reply