สวัสดีครับแฟนๆ คอลัมน์การเงินทุกท่าน วันนี้เราจะไปเปิดหน้าต่างมองออกไปไกลหน่อย ไปถึงแดนอาทิตย์อุทัย ประเทศญี่ปุ่นกันครับ เพราะมีดัชนีหุ้นตัวหนึ่งที่ช่วงที่ผ่านมาเรียกได้ว่า “ร้อนแรง” จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก นั่นก็คือ ดัชนีนิเกอิ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดัชนีนิเกอิ 225 ครับ
ถ้าเปรียบ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เป็นเหมือนเวทีมวยระดับโลก ดัชนี นิเกอิ 225 ก็คือแชมป์รุ่นใหญ่ที่เป็นตัวแทนความแข็งแกร่งของประเทศเขาแหละครับ ดัชนีตัวนี้ไม่ได้คำนวณจากหุ้นทุกตัวใน ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange) นะครับ แต่เขาเลือกเอาหุ้นของบริษัทชั้นนำ 225 แห่งที่มีสภาพคล่องสูง และมีความสมดุลกันในแง่ของอุตสาหกรรมต่างๆ มาคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก โดยมีการอัปเดตตัวเลขกันทุกๆ 5 วินาทีเลยทีเดียว หุ้นที่จะได้เข้าไปอยู่ในดัชนี นิเกอิ 225 นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดไปนะครับ เขาจะมีการทบทวนกันปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ายังเป็นตัวแทนของ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ได้ดีอยู่ ข้อมูลพวกนี้มาจากแหล่งน่าเชื่อถืออย่าง Finnomena ครับ

ทำไมต้องสนใจ ดัชนี นิเกอิ 225? ก็เพราะมันเป็นเหมือนตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวมนั่นเองครับ การเคลื่อนไหวของมันบอกอะไรเราได้หลายอย่างเลย อย่างที่เราเห็นกันเมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา ดัชนี นิเกอิ ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยการพุ่งทะยานกลับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 38,000 จุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี! ลองนึกภาพว่ามีอะไรที่เคยทำไว้ดีมากๆ เมื่อ 30 กว่าปีก่อน แล้ววันนี้มันกลับมาทำได้อีกครั้ง มันน่าตื่นเต้นแค่ไหนใช่ไหมครับ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงต้นปี 2024 จนถึงวันที่ 5 มีนาคมปีเดียวกัน นิเกอิ ก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 40,097.63 จุดได้สำเร็จ และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2024 ดัชนี นิเกอิ 225 ได้พุ่งทำราคาสูงสุดตลอดกาลที่ 42,426.77 เยน (JPY) ไปแล้วครับ
เบื้องหลังความร้อนแรงของ ดัชนี นิเกอิ นี้มีหลายปัจจัยประกอบกันครับ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองไปที่เรื่องของ “เงินเยนที่อ่อนค่า” เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญเลยครับ เพราะเวลาที่เงินเยนอ่อนลง มันจะช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นที่เน้นการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ มีรายได้ในรูปเงินเยนเพิ่มขึ้นเวลาแลกเงินกลับเข้ามา ทำให้ผลประกอบการดูดีขึ้น และนั่นก็ไปกระตุ้นให้นักลงทุนแห่กันเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทเหล่านี้ครับ นอกจากนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่ง โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ (semiconductor) ก็เป็นอีกแรงหนุนที่สำคัญครับ หุ้นบางตัวอย่าง นินเทนโด (Nintendo) ที่เป็นผู้ผลิตเครื่องเกมชื่อดัง ก็ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากความคาดหวังในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทำให้หุ้นในกลุ่มนี้คึกคักตามไปด้วย

แต่ ตลาดหุ้น ก็ไม่ใช่เส้นทางด่วนที่วิ่งตรงไปอย่างเดียว มันย่อมมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดาครับ ข้อมูล ณ วันที่ 21 กันยายน ดัชนี นิเกอิ 225 ปัจจุบันอยู่ที่ 37,160.25 เยน ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.47% ในวันนั้น แต่ถ้ามองย้อนไปสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี นิเกอิ ก็ปรับลดลงไป -1.56% เหมือนกันครับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ ตลาดหุ้น ที่มีการพักตัวหรือเทขายทำกำไรหลังจากที่ปรับขึ้นมาเยอะแล้ว อย่างเหตุการณ์ที่เราเห็นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่ นิเกอิ ปรับขึ้นติดต่อกันมา 3 วัน ในช่วงเช้าก็มีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง ทำให้เปิดตลาดมาในแดนลบ ส่วนหนึ่งก็ปรับตัวลงตาม ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) ของสหรัฐฯ ที่ปิดลบไปในคืนก่อนหน้าครับ ปัจจัยภายนอกอย่างสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หรือทิศทางของ ตลาดหุ้น สหรัฐฯ (Wall Street) ก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของ นิเกอิ ด้วยเช่นกัน
การดู ดัชนี นิเกอิ อย่างเดียวอาจจะยังไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดครับ ถ้าเราลองมองไปที่ ตลาดหุ้น เอเชีย อื่นๆ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อย่างวันที่ 18 มิถุนายน ตลาดหุ้น ฮั่งเส็ง (Hang Seng) ของฮ่องกงปิดลบไปพอสมควรถึง -1.12% ส่วนหนึ่งเพราะความกังวลเรื่องสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ในขณะที่ ตลาดหุ้น เกาหลีใต้ (KOSPI) กลับปิดบวกได้ถึง +0.74% โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มไอทีและเทคโนโลยีอย่าง ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics) และ Naver นำตลาดครับ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน แต่ปัจจัยและแรงขับเคลื่อนในแต่ละตลาดก็แตกต่างกันไป ทำให้การเคลื่อนไหวไม่เหมือนกันเป๊ะๆ ครับ
แล้วบริษัทไหนบ้างล่ะที่เป็น “หัวหอก” สำคัญใน ดัชนี นิเกอิ 225 นี้? ในตะกร้านี้มีบริษัทที่เราคุ้นชื่อกันอยู่บ้างครับ เช่น Fast Retailing (ฟาสต์ รีเทลลิ่ง) เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง UNIQLO (ยูนิโคล่) และ GU ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทค้าปลีกแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ Softbank (ซอฟต์แบงก์) ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเฉพาะทางอย่าง Tokyo Electron (โตเกียว อิเล็กตรอน) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรือ Shin-Etsu Chemical (ชิน-เอ็ตสึ เคมิคอล) บริษัทเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และ Daikin (ไดกิ้น) ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ระดับโลก การที่บริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการที่ดี ย่อมส่งผลบวกโดยตรงต่อ ดัชนี นิเกอิ ครับ

สำหรับเพื่อนๆ ที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเริ่มสนใจ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น อยากจะลอง “ร่วมวง” กับเขาบ้าง จะทำยังไงได้บ้าง? อย่างที่บอกไปครับ เราไม่สามารถซื้อ “ดัชนี” โดยตรงได้ แต่เราสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่อิงกับ ดัชนี นิเกอิ ได้ครับ วิธีที่นักลงทุนรายย่อยนิยมก็คือการลงทุนผ่าน กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ครับ กองทุนประเภทนี้จะเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของ ดัชนี นิเกอิ 225 ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนเคลื่อนไหวตาม ดัชนี นิเกอิ ครับ กองทุนรวมดัชนีจัดเป็นการลงทุนแบบ Passive Management หรือบริหารเชิงรับ คือไม่ได้เน้นการเลือกหุ้นรายตัวที่คิดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด แต่เน้นการเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงแทน กองทุนประเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนที่ผู้จัดการกองทุนต้องคอยเลือกหุ้นเอง (Active Management) ครับ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน ตลาดหุ้นต่างประเทศ ผ่านกองทุนรวมดัชนีที่อิงกับ ดัชนี นิเกอิ 225 ถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูงครับ โดยทั่วไปแล้วจะจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงที่มาก เพราะราคาหุ้นย่อมผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ การเมือง และปัจจัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ อย่างที่เราเห็นว่าแม้ ดัชนี นิเกอิ จะเคยพุ่งทำสถิติสูงสุดในอดีตที่ 42,426.77 จุด แต่ราคาต่ำสุดเท่าที่เคยมีมาก็อยู่ที่ 85.25 จุด ในปี 1950 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนในระยะยาวได้เป็นอย่างดีครับ
ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมที่อิงกับ ดัชนี นิเกอิ หรือ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบครับ ทำความเข้าใจว่ากองทุนนั้นลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง มีนโยบายอย่างไร ค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ และที่สำคัญที่สุดคือ ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ ครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือเงินลงทุนที่คุณมีเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในอนาคตอันใกล้ การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้อาจจะไม่เหมาะสมนะครับ ลองพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณดูก็ได้ครับ
สรุปง่ายๆ เลยครับ ดัชนี นิเกอิ เป็นเหมือนกระจกสะท้อนสุขภาพของ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่มีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา การที่ นิเกอิ สามารถกลับมาทำสถิติสูงสุดได้อีกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทญี่ปุ่นบางกลุ่ม และผลกระทบจากปัจจัยมหภาคอย่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวน การทำความเข้าใจพื้นฐานของดัชนี ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ และวิธีการลงทุนที่เหมาะสม พร้อมกับการตระหนักถึงความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนทุกท่านครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนครับ!