เจาะลึกดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้: วัดชีพจรเศรษฐกิจจีนที่นักลงทุนต้องรู้!

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุน (หรือคนที่กำลังเล็งๆ อยู่) เคยไหมครับที่เวลาเปิดข่าวการเงิน แล้วเห็นตัวเลขหรือชื่ออะไรแปลกๆ เต็มไปหมด หนึ่งในนั้นที่โผล่มาบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาพูดถึงเศรษฐกิจจีน ก็คือคำว่า “ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้” ฟังแล้วดูไกลตัวจัง เหมือนเป็นเรื่องของคนตัวใหญ่ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์นู่น แต่จริงๆ แล้ว ดัชนีนี้มันเหมือนมาตรวัดสุขภาพของเศรษฐกิจจีนเลยนะ แล้วมันสำคัญกับเรายังไง? วันนี้ผมในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ จะพาไปรู้จักกับเจ้า ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ แบบเจาะลึกกันครับ

ลองนึกภาพตามนะครับว่า จีนเป็นโรงงานของโลก ของใช้หลายๆ อย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากจีน เศรษฐกิจเขาใหญ่มาก พอพูดถึงตลาดหุ้นจีน ก็เหมือนยกเมืองใหญ่ๆ มาตั้งไว้ มีการซื้อขายคึกคัก ตลาดหุ้นจีนไม่ได้มีแค่ที่เดียว แต่มีหลายแห่งเลยครับ ที่หลักๆ ก็จะมี ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange – SSE), ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange – SZSE), ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Exchanges and Clearing – HKEX) และ ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง (Beijing Stock Exchange – BSE) หุ้นที่ซื้อขายก็มีหลายแบบปนเปกันไป ทั้ง A-Share ที่ส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติจะเข้าถึงยากหน่อย เพราะซื้อขายด้วยเงินหยวนในจีนแผ่นดินใหญ่โดยตรง ไปจนถึง H-Share ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ซื้อขายได้เสรีกว่า หรือแม้แต่หุ้น P Chip และ Red Chip ที่เป็นบริษัทจีนแต่จดทะเบียนในฮ่องกงนี่แหละครับ คือโครงสร้างมันก็ซับซ้อนตามความใหญ่ของประเทศนั่นแหละ

ทีนี้ไอ้เจ้า ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ที่เราพูดถึงเนี่ย ชื่อเต็มๆ มันคือ SSE Composite Index ครับ มันเป็นเหมือนตัวแทน หรือ “ค่าเฉลี่ย” ที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ทั้งตลาด เพราะมันติดตามหุ้น “ทั้งหมด” ที่จดทะเบียนอยู่ที่นี่ เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1991 เก่าแก่พอตัวเลยนะ วิธีคำนวณก็จะถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของแต่ละบริษัท พูดง่ายๆ คือ บริษัทไหนใหญ่ มูลค่าเยอะ ก็จะมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ มากหน่อย ดัชนีนี้เลยเป็นมาตรวัดที่คนนิยมใช้กันมากเวลาจะดูภาพรวมตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะฝั่งเซี่ยงไฮ้ครับ นอกจากตัว SSE Composite Index ก็ยังมีดัชนีอื่นๆ อีก เช่น CSI 300 ที่รวมหุ้น A-Share ใหญ่ๆ 300 ตัวจากทั้งเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น หรือ Hang Seng Index ที่เป็นดัชนีของตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งก็จะมีหุ้นจีนใหญ่ๆ ไปจดทะเบียนอยู่เยอะเหมือนกันครับ แต่ถ้าจะดู “เซี่ยงไฮ้เพียวๆ” ก็ต้องมองที่ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ หรือ SSE Composite Index นี่แหละ

ถามว่า ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ มันเคยไปถึงไหนมาบ้าง? ตัวเลขปัจจุบัน (อิงตามข้อมูลล่าสุด) ก็อยู่แถวๆ 3,347 จุด ซึ่งเคยทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ไว้ที่ 6,124 จุดเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2007 โห สูงลิ่วเลยใช่ไหมครับ ส่วนจุดต่ำสุดก็เคยลงไปถึง 95 จุดกว่าๆ โน่นเลยตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 1990 ตอนที่ตลาดเพิ่งเริ่มๆ คือเห็นตัวเลขนี้แล้วก็พอจะบอกได้ว่า ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้นี่ก็มีความผันผวนไม่เบาเลยนะครับ หุ้นใหญ่ๆ ที่อยู่ใน ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ก็จะเป็นพวกบริษัทเบิ้มๆ ทั้งนั้นเลยครับ ถ้าดูตามรหัสหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้ก็เช่น SSE:601398, SSE:600519, SSE:601288 อะไรแบบนี้

แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เจ้า ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ มันขึ้นๆ ลงๆ ได้เหมือนรถไฟเหาะ? ก็ต้องบอกว่ามีหลายปัจจัยมากๆ ครับ ปัจจัยภายนอกนี่มีผลสุดๆ เลย อย่างเรื่อง การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ นี่เป็นตัวกดดันชั้นดีเลยครับ จำได้ไหมครับช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ปีก่อนๆ (อิงตามข้อมูล) ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ เคยปิดลบอยู่หลายวันติดๆ กันเลย เพราะนักลงทุนกังวลเรื่องสงครามการค้า พอมีข่าวดีเรื่องศาลสหรัฐฯ สั่งระงับมาตรการภาษีตอบโต้ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้บ้าง ดัชนีก็กลับมาปิดบวกได้บ้างในวันที่ 29 พฤษภาคม ส่วนความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็มีผลเหมือนกัน อย่างที่มีข่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะหดตัวในไตรมาส 1 ปี 2568 (อันนี้เป็นข้อมูลที่เคยมีการพูดถึงในช่วงเวลาหนึ่งนะครับ) ก็ทำให้ตลาดเอเชียรวมถึงจีนออกอาการกังวลไปด้วย

นอกจากปัจจัยภายนอก พวกสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศก็กระทบ อย่างข่าวอิสราเอลโจมตีอิหร่านเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน (อิงตามข้อมูล) ก็ทำให้ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ปิดลบไปเยอะอยู่เหมือนกันในวันที่ 13 มิถุนายน คือจะเห็นว่าตลาดหุ้นมันอ่อนไหวกับข่าวสารมากๆ เลยครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้ามีข่าวดีออกมา ตลาดก็พร้อมจะขานรับ อย่างเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน (อิงตามข้อมูล) ที่มีรายงานยอดค้าปลีกของจีนออกมาแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 15 เดือน ตัวเลขเศรษฐกิจดีๆ แบบนี้แหละครับ ที่เป็นแรงหนุนชั้นดีทำให้ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ปิดบวกได้อย่างสวยงามในวันนั้น หรืออย่างที่เราเคยเห็นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ปี 2024 ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ก็กลับมาปิดเหนือระดับ 3,400 จุดได้อีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไป 35 วันทำการ สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของราคาหุ้น A-Share โดยรวมด้วยครับ บางธุรกิจในจีนก็ฟื้นตัวดีกว่าดัชนีภาพรวมด้วยซ้ำนะ เช่น ภาคธุรกิจความงาม หรือภาคธนาคาร

และที่สำคัญมากๆ อีกอย่างที่ส่งผลต่อ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ก็คือนโยบายของรัฐบาลจีนเองครับ รัฐบาลเขามีเครื่องมือและมาตรการหลายอย่างในการพยุงหรือกำกับดูแลตลาดหุ้น อย่างเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2024 ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นและเซี่ยงไฮ้ได้ออกมาตรการควบคุมการซื้อขายแบบ Quantitative Trading หรือ Quant Fund ที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เทรดเร็วๆ รวมถึงสั่งห้ามบริษัทจัดการกองทุนแห่งหนึ่งซื้อขายชั่วคราว (บริษัท Ningbo Lingjun Investment Management Partnership) ซึ่งมาตรการนี้ออกมาเพื่อลดแรงกดดันจากการทำ ชอร์ตเซลล์ (Short Selling) หรือการขายหุ้นที่ตัวเองยังไม่มีเพื่อหวังจะไปซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นรับข่าวนี้เลยครับ หรือการที่ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ลง 0.25% มาอยู่ที่ 3.95% เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2024 ก็ถือเป็นมาตรการเชิงรุกเพื่อพยุงตลาดหุ้นเช่นกัน จะเห็นได้ว่า รัฐบาลจีนมีบทบาทค่อนข้างมากในการดูแลเสถียรภาพตลาด

สรุปแล้ว เจ้า ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ หรือ SSE Composite Index นี่ก็เหมือนตัวชี้วัดหลักตัวหนึ่งที่บอกสุขภาพของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ฝั่งเซี่ยงไฮ้ครับ มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างมากๆ ทั้งเศรษฐกิจจีนเอง ตัวเลขค้าปลีก การผลิต นโยบายของรัฐบาล (ทั้งการเงินและการกำกับดูแล) ไปจนถึงปัจจัยภายนอกอย่างความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ หรือสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศทั่วโลกเลยครับ การที่ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ขึ้นหรือลง ก็เป็นผลมาจากปัจจัยเหล่านี้ที่เข้ามากระทบความเชื่อมั่นและทิศทางการลงทุนของนักลงทุนนั่นเองครับ

สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วเริ่มสนใจตลาดหุ้นจีน หรืออยากจะลองลงทุนใน ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ หรือหุ้นจีนตัวอื่นๆ ผมมีข้อคิดให้ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ การลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดอย่างจีนที่มีความเฉพาะตัวสูงและปัจจัยภายนอกภายในซับซ้อนแบบนี้ มีความเสี่ยง “สูง” มากๆ ครับ ราคาหุ้นและ ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ ผันผวนได้ตลอดเวลา อาจจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้นะครับ

สิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุน คือการ “ศึกษาข้อมูล” อย่างรอบคอบ ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์การลงทุนของตัวเอง ระดับประสบการณ์ในการลงทุน และที่สำคัญคือ “ระดับการยอมรับความเสี่ยง” ของตัวเอง ว่าถ้าเงินที่ลงไปมันลดลงไปเยอะๆ เรารับได้แค่ไหน อย่าเพิ่งรีบเอาเงินทั้งก้อนไปลงนะครับ ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ ทำความเข้าใจก่อน ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ การขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก็เป็นทางเลือกที่ดีมากๆ ครับ และจำไว้ว่าข้อมูลราคาหรือตัวเลขต่างๆ ที่เห็นในแพลตฟอร์มทั่วไป อาจจะไม่ได้เป็นแบบเรียลไทม์หรือแม่นยำ 100% เสมอไป ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเบื้องต้นได้ แต่การตัดสินใจควรอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาข้อมูลที่หลากหลายและรอบด้านนะครับ

⚠️ ย้ำอีกครั้งนะครับว่าการลงทุนมีความเสี่ยงสูงเสมอครับ ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหนก็ตาม ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนในตราสารทางการเงิน หรือแม้แต่เงินดิจิทัล หรือถ้ามีการใช้มาร์จิน (Margin) หรือการกู้เงินมาลงทุน ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวเลยครับ ตรวจสอบความพร้อมทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่รับได้ของตัวเองให้ดี ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สนามลงทุนนะครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติและรอบคอบครับ!

Leave a Reply