
วันนี้ตลาดหุ้นจะเป็นยังไงนะ? จะขึ้นหรือจะลง? สภาพคล่องจะดีมั้ยนะ? คำถามเหล่านี้คงวนเวียนอยู่ในใจนักลงทุนหลาย ๆ คนอยู่เสมอใช่ไหมครับ ยิ่งช่วงไหนตลาดผันผวนหนัก ๆ ใจเราก็ยิ่งเต้นตุบตับราวกับอยู่ในโรงหนังผี!
แล้วถ้ามีเครื่องมืออะไรสักอย่าง ที่ช่วยให้เรา “สัมผัส” ความรู้สึกของตลาดได้ล่ะ? คล้ายกับมีปรอทวัดไข้ หรือเครื่องวัดชีพจรของตลาดหุ้น? วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเครื่องมือที่ว่านี้ นั่นก็คือ “ดัชนี VIX” หรือที่นักลงทุนบางคนเรียกว่า “ดัชนีความกลัว” (Fear Index) ที่นักลงทุนทั่วโลกใช้จับสัญญาณความผันผวนและประเมินความเสี่ยงกันครับ
**ดัชนี VIX คือ อะไร? ปรอทวัดไข้ของตลาดหุ้น**
ถ้าจะให้เข้าใจง่ายที่สุด ลองนึกภาพว่า `VIX Index คือ` ปรอทวัดไข้ของตลาดหุ้นครับ ยิ่งตัวเลขสูงเท่าไหร่ ก็แปลว่าตลาดกำลัง “ร้อน” จัด เต็มไปด้วยความกังวลและความไม่แน่นอน แต่ถ้าตัวเลขต่ำ ก็แปลว่าตลาด “เย็น” สบาย ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ดัชนี VIX ย่อมาจาก Volatility Index (ดัชนีความผันผวน) เป็นเครื่องมือที่คิดค้นโดย Chicago Board Options Exchange (CBOE) โดยจะไปวัดความผันผวนโดยนัย (Implied Volatility) ของราคาออปชัน (Options) ของดัชนี S&P 500 หรือตลาดหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีตลาดหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาครับ
ความสัมพันธ์ของ `VIX Index` กับตลาดหุ้น S&P 500 นั้นค่อนข้างจะ “สวนทาง” กันอยู่เสมอครับ พูดง่าย ๆ คือ เมื่อ VIX สูงขึ้น ตลาดหุ้น S&P 500 มักจะปรับตัวลดลง หรือถ้าจะให้เห็นภาพก็คือ เวลาตลาดกลัวมาก ๆ ตัว VIX ก็จะพุ่งสูงปรี๊ดเหมือนคนไข้ตัวร้อนจัด และเมื่อตลาดใจเย็นลง VIX ก็จะลดต่ำลงเหมือนไข้เริ่มลดนั่นเอง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะครับว่า `vix index คือ` ดัชนีที่วัด “ขนาด” ของการเคลื่อนไหวที่คาดการณ์ไว้ ไม่ใช่ “ทิศทาง” ของตลาดโดยตรง นั่นหมายความว่า VIX บอกเราว่าตลาดจะผันผวนมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ได้บอกว่าตลาดจะขึ้นหรือจะลงนั่นเอง
**มองตัวเลข VIX บอกอะไรเราได้บ้าง?**

แล้วไอ้เจ้าปรอทวัดไข้ของตลาดหุ้นตัวนี้ บอกอะไรเราได้บ้าง? โดยเฉลี่ยแล้ว ค่าเฉลี่ยระยะยาวของ `VIX Index` มักจะอยู่ที่ประมาณ 21 ครับ
* **VIX สูงกว่า 30:** โอ้โห! นี่แหละครับคือสัญญาณของ “ความกลัวระดับรุนแรง” (Severe Fear) และ “ความผันผวนสูง” (High Volatility) นักลงทุนกำลังกังวลใจอย่างมาก อาจมีข่าวร้ายหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
* **VIX ต่ำกว่า 20:** อันนี้แปลว่าตลาดอยู่ใน “ภาวะสบาย ๆ” (Relaxed Condition) หรือที่เรียกว่า “Risk On” (ภาวะกล้าเสี่ยง) นักลงทุนมีความมั่นใจและพร้อมที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ถือเป็นสัญญาณของ “เสถียรภาพในตลาด” (Market Stability) และ “ความเสี่ยงต่ำ” (Low Risk) ครับ
ลองย้อนรอยไปตอนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ๆ อย่างวิกฤตดอทคอมปี 2000, วิกฤตซับไพรม์ปี 2008 หรือวิกฤตโควิด-19 ปี 2020 เราจะเห็น `VIX Index` พุ่งทะลุเพดานไปสูงลิ่วเลยทีเดียวครับ ซึ่งก็ตอกย้ำว่า `VIX Index` เป็นเหมือนเครื่องจับสัญญาณความกังวลของ `นักลงทุน` ได้อย่างดีเยี่ยม
**เมื่อ VIX สูงจัด… โอกาสทองของนักลงทุนระยะยาว?**
อย่างที่บอกไปว่า `VIX Index` มักจะมีความสัมพันธ์ผกผันกับตลาดหุ้น เมื่อ VIX สูง ตลาดหุ้นมักจะตก และเมื่อ VIX ต่ำ ตลาดหุ้นมักจะขึ้น แต่ที่น่าสนใจคือ บางทีเมื่อ `VIX Index` พุ่งสูงลิ่วจนสุดโต่ง มันกลับกลายเป็นสัญญาณบอกว่าตลาดหุ้นอาจจะกำลัง “เด้งกลับ” อย่างรุนแรงในไม่ช้าครับ เพราะความกลัวที่มากเกินไป มักจะนำมาซึ่งการเทขายที่รุนแรงจนตลาดอาจจะ “ตกเกินจริง” และเมื่อความกลัวเริ่มคลี่คลาย ตลาดก็จะรีบาวด์กลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกว่า “Inverted VIX Curve” (เส้นโค้ง VIX แบบกลับหัว) ซึ่งหมายถึงราคา `สัญญาซื้อขายล่วงหน้า` (Futures) ของ VIX ที่อยู่ไกลออกไปมีราคาต่ำกว่า `ดัชนี VIX` ปัจจุบัน นี่อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเล็ก ๆ ที่บอกว่า “อาการกลัวเริ่มคลี่คลาย” และ `ความผันผวน` กำลังจะลดลงในอนาคตอันใกล้
**อะไรบ้างที่ทำให้ VIX เต้นระริก?**
ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของ `นักลงทุน` เท่านั้นที่ส่งผลต่อ `ดัชนี VIX` แต่ยังมีปัจจัยภายนอกที่ทำให้ `VIX Index` พุ่งสูงปรี๊ดได้เหมือนกันครับ
1. **นโยบายการเงิน (Monetary Policy) ของธนาคารกลาง:**
* เหมือนเวลาคุณหมอ (ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED) ประกาศว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือส่งสัญญาณว่าจะลดปริมาณเงินในระบบ `ความกังวล` ก็จะพุ่งพรวดพราดทันทีครับ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการเงินของบริษัทต่าง ๆ และความสามารถในการกู้ยืม ทำให้ `นักลงทุน` เริ่มไม่มั่นใจในอนาคตของ `ตลาดหุ้น` และเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกไป
* การประชุมสำคัญ ๆ ของ FED ก็เช่นกันครับ ก่อนการประชุม `ความผันผวน` มักจะสูงขึ้น เพราะ `นักลงทุน` ต่างคาดเดาถึงผลการประชุมว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรหรือไม่
2. **ตัวเลขเศรษฐกิจ (Economic Figures) ที่สำคัญ:**
* ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ๆ อย่างอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งกระฉูด จนทำให้ตลาดกังวลว่าธนาคารกลางอาจจะต้องใช้นโยบายที่เข้มงวดขึ้น ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ `VIX Index` ปรับตัวสูงขึ้นครับ
* รวมไปถึงปัญหาใหญ่ ๆ อย่าง “ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Disruption) ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและเศรษฐกิจโดยรวม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนและเพิ่ม `ความผันผวน` ในตลาดได้เช่นกัน
**แล้วในฐานะนักลงทุน เราจะเอา VIX Index มาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างล่ะ?**

`VIX Index` ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขเท่ ๆ ที่เอาไว้อวดกันนะครับ แต่ `นักลงทุน` อย่างเราสามารถนำมันมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของ “กลยุทธ์การลงทุน” (Investment Strategy) ได้ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของ “การจับจังหวะการลงทุน” (Investment Timing) ครับ
* **เมื่อ VIX Index พุ่งสูง: โอกาสในการเข้าซื้อระยะยาว:**
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเมื่อ `VIX Index` ปรับขึ้นไปแตะจุดสูงสุด นั่นอาจเป็น “โอกาสทอง” ให้เราพิจารณาเข้าซื้อหุ้นดี ๆ เพื่อ `การลงทุน` ระยะยาวครับ เพราะในช่วงที่ตลาด `ความกลัว` สูงสุด หุ้นดี ๆ หลายตัวอาจจะถูกเทขายลงมา “ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง” (Undervalued) ซึ่งถือเป็นโอกาสดีสำหรับ `นักลงทุน` ที่มองหา `ผลตอบแทน` (Return) ในระยะยาว แต่ย้ำนะครับว่าต้องเป็นหุ้น “ดี ๆ” ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งเท่านั้น!
* **เมื่อ VIX Index ต่ำเกินไป: ระวังความโลภในตลาด:**
ในทางกลับกัน ถ้า `VIX Index` ลงมาต่ำเกินไป นั่นอาจแสดงว่าตลาดกำลัง “โลภ” (Greed) มากเกินไปแล้วครับ `นักลงทุน` อาจจะมองข้าม `ความเสี่ยง` และเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งบางครั้งก็อาจนำไปสู่ “ภาวะฟองสบู่” (Bubble) หรือ “การปรับฐาน” (Correction) ของ `ตลาดหุ้น` ได้ในอนาคต หาก VIX ต่ำมาก ๆ อาจเป็นสัญญาณให้เราเริ่มระมัดระวัง และพิจารณา “ลดความเสี่ยง” (Reduce Risk) ในพอร์ต `การลงทุน` ของเราลงบ้างครับ
* **ประเมินความรุนแรงของข่าว:**
`VIX Index` ยังช่วยให้เรา “ประเมิน” (Evaluate) ความรุนแรงของข่าวร้ายที่มาจากต่างประเทศได้ด้วยครับ เช่น ถ้ามีข่าวไม่ดีเข้ามาแล้ว VIX พุ่งขึ้นไม่มาก แสดงว่าตลาดอาจจะไม่ได้กังวลมากนัก แต่ถ้าพุ่งขึ้นแรง ๆ ก็แปลว่า `นักลงทุน` กำลังรับรู้ถึง `ความเสี่ยง` และ `ความผันผวน` ที่สูงขึ้นจริง ๆ
**บทสรุป: VIX Index เพื่อนซี้ที่คอยกระซิบเตือน**
โดยสรุปแล้ว `vix index คือ` หนึ่งในเครื่องมือทรงพลังที่ `นักลงทุน` สามารถนำมาใช้ “วิเคราะห์” (Analyze) และ “ประเมิน” `ภาวะตลาด` (Market Conditions) ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ มันเป็นเหมือน “เพื่อนซี้” ที่คอยกระซิบเตือนเราถึงอารมณ์ของ `ตลาดหุ้น` และช่วยให้เราเข้าใจ `ความเสี่ยง` ที่กำลังเผชิญอยู่
แต่ก็เหมือนเครื่องมืออื่น ๆ มันไม่ใช่ “ลูกแก้ววิเศษ” ที่บอกอนาคตได้ 100% และไม่ควรนำมาใช้ในการตัดสินใจ `การลงทุน` เพียงลำพังครับ `นักลงทุน` ควรใช้ `VIX Index` ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) รวมถึงข่าวสารและ `แนวโน้ม` ของ `เศรษฐกิจไทย` และเศรษฐกิจโลกโดยรวมเสมอ
จำไว้ว่า `การลงทุน` ใน `ตลาดหุ้น` นั้นเปรียบเสมือนการเดินเรือในมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยคลื่นลม บางครั้งก็เงียบสงบ บางครั้งก็โหมกระหน่ำ `VIX Index` เปรียบเสมือนเครื่องวัดสภาพอากาศในทะเล ที่ช่วยให้เราเตรียมตัวรับมือกับพายุได้ทันท่วงที แต่กัปตันเรือที่ดีก็ยังต้องดูแผนที่ ดูทิศทางลม และประเมินสถานการณ์รอบด้านอยู่เสมอครับ
ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างเข้าใจและมีสติครับ!
**⚠️ ข้อควรระวัง:** `การลงทุน` มี `ความเสี่ยง` ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ ไม่ควรลงทุนในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ และควรกระจาย `การลงทุน` เพื่อลด `ความเสี่ยง` ครับ