
ช่วงนี้ไม่ว่าคุณจะเปิดข่าวเศรษฐกิจ ดูรายการทีวี หรือแม้แต่คุยกับเพื่อนฝูงเรื่องการลงทุน เชื่อว่าคำว่า “ผันผวน” คงลอยวนอยู่ในบทสนทนาไม่มากก็น้อยใช่ไหมครับ? เพื่อนผม คุณปรีชา ที่ปกติเป็นคนใจเย็นดุจน้ำในบ่อปลา ยังทักมาบ่นเสียงอ่อยว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นกันแน่? พอร์ตลงทุนของผมมันสวิงยิ่งกว่าชิงช้าสวรรค์ซะอีก!”
ผมเข้าใจเลยครับ เพราะสถานการณ์ตลาดการเงินตอนนี้ มันซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจนหลายคนตั้งคำถามว่า เราควรจะวางตัวอย่างไรดีในทะเลที่คลื่นลมแรงแบบนี้ วันนี้ผมในฐานะคนคุ้นเคยกับตัวเลขและการวิเคราะห์ จะมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณฟังแบบสบายๆ สไตล์คนกันเอง เพื่อให้คุณมองเห็นภาพรวม และทำความรู้จักกับเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งที่บอกเล่า “ความรู้สึก” ของตลาดได้ นั่นก็คือ ดัชนี VIX (Volatility Index) หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “ดัชนีความกลัว”
**ทะเลหุ้นที่ปั่นป่วน: S&P 500 และหุ้นกลุ่ม “ขยะ” ที่ต้องระวัง**
ลองนึกภาพตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500) เหมือนเรือลำใหญ่ที่กำลังแล่นอยู่ในมหาสมุทรที่คลื่นสูงลิบ เหตุผลหลักๆ ก็มาจากลมพายุที่ชื่อว่า “เงินเฟ้อ” และการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า เฟด (Fed) จะต้องเร่ง “ขึ้นดอกเบี้ย” เพื่อปราบพยศเงินเฟ้อตัวร้ายนี้
ตลอดช่วงที่ผ่านมา เรือ S&P 500 ดูเหมือนจะหาทิศทางที่ชัดเจนไม่ได้เลย บางวันก็พุ่งขึ้นแรงเหมือนจะขึ้นฟ้า บางวันก็ดิ่งลงเหวอย่างไม่ปรานี อย่างที่เราเห็นดัชนีนี้ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 4,000 จุดอยู่หลายครั้ง นั่นสะท้อนถึงแรงเทขายที่หนักหน่วง และความไม่มั่นใจของนักลงทุนในภาพรวม สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ หุ้นกลุ่มที่ภาษาตลาดเรียกว่า “หุ้นขยะ” (Trash Stocks) ซึ่งหมายถึงหุ้นของบริษัทที่พื้นฐานไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีหนี้สินเยอะๆ กลับพากันปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวาในช่วงสั้นๆ คล้ายกับว่าคนกำลังมองหา “ของถูก” ในตลาดที่เต็มไปด้วยความผันผวน แต่ต้องเตือนกันตรงนี้เลยว่า “ของถูก” เหล่านี้มีความเสี่ยงสูงมากที่จะร่วงแรงในอนาคต หากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย หรือข่าวร้ายมาเยือนเมื่อไหร่ ก็อาจจะกลายเป็น “ขยะ” จริงๆ ได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ แม้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบางตัวจะพอฟื้นตัวได้บ้าง แต่ภาพรวมของตลาดก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูงมากครับ และอีกหนึ่งเรื่องที่ซุ่มเงียบแต่ส่งผลกระทบอยู่เบื้องหลังก็คือนโยบายการค้า (Tariff) ของสหรัฐฯ ที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดอยู่เรื่อยๆ สรุปได้ว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นเหมือนกับเมฆฝนที่ยังครึ้มฟ้าครึ้มฝน หาแดดจ้าได้ยาก นักลงทุนจึงควรติดร่มเตรียมไว้ และจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

**เฟดกับนโยบาย “ยาแรง” สกัดเงินเฟ้อ: เมื่อดอกเบี้ยเป็นไม้เรียว**
มาต่อกันที่ประเด็นร้อนแรงอย่างนโยบายการเงินของเฟด ลองนึกภาพว่าเฟดเปรียบเสมือนคุณหมอที่กำลังรักษาคนไข้ที่ป่วยด้วยโรค “เงินเฟ้อสูง” ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะดื้อยาเหลือเกิน รายงานการประชุมล่าสุดของเฟด (Fed Minutes) บ่งชี้ชัดเจนว่าคุณหมอตั้งใจจะให้ “ยาแรง” ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดไข้เงินเฟ้อให้ได้
ทำไมถึงต้อง “ยาแรง” ขนาดนั้น? ก็เพราะข้อมูลเงินเฟ้อที่ออกมาในเดือนมกราคมดันสูงกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ครับ เหมือนไข้ยังไม่ลด แถมดูเหมือนจะสูงขึ้นด้วยซ้ำ ทำให้คุณหมอเฟดบางท่านอย่างคุณเมสเตอร์ (Mester) ถึงกับออกมาบอกเลยว่า อาจจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% ในการประชุมครั้งหน้า เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ทันท่วงที
แน่นอนว่าการให้ “ยาแรง” ย่อมมีผลข้างเคียง และผลข้างเคียงที่คุณหมอเฟดและคนไข้อย่างเศรษฐกิจโลกกลัวกันที่สุดก็คือ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” (Recession) ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2566 เหมือนกับว่าการที่ต้องดื่มยาขมมากๆ อาจทำให้คนไข้มีอาการข้างเคียง เช่น อ่อนเพลีย หรือซึมเศร้าได้
แต่ก็ยังมีแนวคิดที่น่าสนใจอีกอย่างที่เรียกว่า “No Landing” Scenario (สถานการณ์ไม่ร่วงลงสู่พื้น) ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไม่ได้ถดถอยรุนแรง แต่เงินเฟ้อก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ไม่ยอมลงง่ายๆ อันนี้เป็นเหมือนคนไข้ที่รับยาไปแล้วอาการทรงๆ ไม่ดีขึ้นไม่แย่ลง แต่ก็ยังไม่หายขาดซะทีเดียว
ล่าสุดประธานาธิบดีไบเดน (Biden) ก็ได้แต่งตั้งคุณเบรนาร์ด (Brainard) ขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่น่าจับตาในทิศทางการบริหารเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ครับ สรุปคือ นโยบายการเงินของเฟดที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ นี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและความผันผวนของตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอนครับ
**ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าจับตา: ภาพสะท้อนชีวิตคนทั่วไป**
นอกจากเรื่องตลาดหุ้นและนโยบายการเงินแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ก็เป็นเหมือนเครื่องวัดชีพจรของคนไข้ที่เราต้องคอยดูอย่างใกล้ชิดครับ
อย่างแรกเลยคือ “อัตราเงินเฟ้อ” ในเดือนมกราคมที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ซึ่งเป็นตัวยืนยันว่าราคาข้าวของเครื่องใช้ยังคงแพงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายคนต้องรัดเข็มขัดกันมากขึ้น
แต่ที่น่าแปลกใจคือ “ยอดค้าปลีก” (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คิด เหมือนคนไข้ยังพอมีแรงเดินไปซื้อของใช้จำเป็น แม้จะบ่นว่าของแพงขึ้นก็ตาม นี่อาจสะท้อนว่าผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้มูลค่าการใช้จ่ายดูเยอะขึ้นก็ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลก็คือ “หนี้บัตรเครดิต” (Credit Card Debt) ของครัวเรือนสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และ “อัตราการผิดนัดชำระหนี้” (Delinquencies) ก็เร่งตัวขึ้น เหมือนกับว่าคนไข้เริ่มต้องหยิบยืมเงินคนอื่นมาใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางคนเริ่มไม่มีปัญญาจ่ายคืนแล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องจับตาดูให้ดีครับ
ภาพรวมจากตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่า เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัด และการรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเรื่องยากพอสมควรเลยทีเดียว
**เปิดแฟ้ม VIX (Volatility Index): ดัชนีบอก “ความกลัว” ของตลาด**

มาถึงพระเอกของเราในวันนี้ครับ นั่นคือ ดัชนี VIX (Volatility Index) ที่เป็นเหมือนเครื่องมือพิเศษที่ใช้บอกอารมณ์ของตลาด หรือที่คนในวงการชอบเรียกว่า “ดัชนีความกลัว” คุณอาจจะสงสัยว่ามันทำงานยังไงกันแน่?
พูดง่ายๆ ดัชนี **vix** คือตัวเลขที่คำนวณจากราคาออปชั่น (Options) หรือสิทธิในการซื้อขายหุ้นในอนาคตของดัชนี S&P 500 นั่นแหละครับ ออปชั่นเหล่านี้สะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อความผันผวนของตลาดในช่วง 30 วันข้างหน้า ยิ่งคนกลัวมากเท่าไหร่ ราคาออปชั่นป้องกันความเสี่ยงก็จะยิ่งแพงขึ้น และดัชนี **vix** ก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
ผู้ที่รับผิดชอบในการคำนวณและเผยแพร่ดัชนี **vix** แบบเรียลไทม์ก็คือ CBOE (Chicago Board Options Exchange) (ตลาดซื้อขายออปชั่นชิคาโก) ซึ่งเป็นตลาดอนุพันธ์ (Derivative Market) ที่ใหญ่แห่งหนึ่งของโลก และสิ่งที่น่าสนใจคือ ดัชนี **vix** มักจะมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับดัชนี S&P 500 นั่นหมายความว่า โดยปกติแล้ว เมื่อ S&P 500 ร่วงลง ดัชนี **vix** มักจะพุ่งขึ้นสูงปรี๊ด ราวกับตลาดกำลังกรีดร้องด้วยความกลัว และในทางกลับกัน เมื่อ S&P 500 กลับมาสดใส ดัชนี **vix** ก็มักจะปรับตัวลงมา
นักลงทุนใช้ดัชนี **vix** เพื่อประเมินความเสี่ยงของตลาด และแนวโน้มความรู้สึกของนักลงทุนในภาพรวม เหมือนกับการวัดไข้ตลาดนั่นเองครับ ถ้า **vix** สูงกว่า 30 เมื่อไหร่ ก็มักจะบ่งชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ “ผันผวนสูง” หรืออยู่ในช่วงที่นักลงทุนกำลังตื่นตระหนกกันอย่างหนัก
นอกจากนี้ ดัชนี **vix** ยังสามารถนำมาใช้ในการเก็งกำไร และการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ด้วย โดยผ่านการซื้อขาย VIX Options และ Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิง VIX) หรือแม้กระทั่งลงทุนในผลิตภัณฑ์ ETF (Exchange Traded Funds) (กองทุนรวมดัชนี) และ ETN (Exchange Traded Notes) (ตราสารหนี้ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) ที่อิงกับ **vix** ได้อีกด้วย ซึ่งเป็นช่องทางให้นักลงทุนสามารถ “เดิมพัน” กับความผันผวนของตลาดได้โดยตรง
**สรุปและก้าวต่อไป: เตรียมพร้อมรับมือความไม่แน่นอน**
จากภาพรวมทั้งหมดที่เราคุยกันมา จะเห็นได้ว่าตลาดการเงินตอนนี้กำลังอยู่ในช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ตั้งแต่ตลาดหุ้นที่ผันผวน นโยบายการเงินของเฟดที่เข้มข้นขึ้น ไปจนถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่หลากหลายและบางส่วนก็ส่งสัญญาณน่ากังวล และดัชนี **vix** ก็เป็นเหมือน “เทอร์โมมิเตอร์” ที่คอยวัดอุณหภูมิความกลัวในตลาดให้เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
ดังนั้น หากคุณกำลังคิดจะลงทุน หรือมีพอร์ตลงทุนอยู่แล้ว ผมมีข้อแนะนำดีๆ มาฝากครับ:
1. **จับตาดู “ความกลัว” ของตลาด:** ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของดัชนี **vix** ถ้าเห็นดัชนีนี้พุ่งขึ้นสูงมากๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงความผันผวนสูง ซึ่งอาจเป็นโอกาสให้คนที่รับความเสี่ยงได้สูงเข้าลงทุนในระยะยาว หรือเป็นจังหวะให้คนที่มีอยู่แล้วต้องระมัดระวังมากขึ้น แต่ถ้า **vix** อยู่ในระดับต่ำ ก็อาจแปลว่าตลาดสงบ แต่บางครั้งก็สงบจนน่าระแวงได้เหมือนกันครับ
2. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งหุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงเมื่อตลาดผันผวน
3. **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** ติดตามข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น จาก Yahoo Finance, Zacks, CNBC, หรือ CBOE ที่เราอ้างอิงมา เพื่อให้คุณเข้าใจสถานการณ์และปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที
4. **ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง:** สำคัญที่สุดคือการรู้ว่าตัวคุณเองรับความเสี่ยงได้แค่ไหน และมีเป้าหมายการลงทุนอย่างไร อย่าลงทุนตามกระแสเด็ดขาด
⚠️ **ข้อควรระวัง:** หากคุณเป็นนักลงทุนที่เงินทุนหมุนเวียนไม่สูง (สภาพคล่องต่ำ) หรือไม่สามารถรับความผันผวนได้มาก ผมแนะนำว่าช่วงนี้ควรประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบเป็นพิเศษ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะแม้ดัชนี VIX จะเป็นเครื่องมือที่ดี แต่การลงทุนก็ยังคงมีความเสี่ยงเสมอ และไม่มีอะไรแน่นอน 100% ครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้ครับ!