
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน! วันนี้ผมมีเรื่องใกล้ตัวที่เราทุกคนน่าจะเคยเจอมาเล่าให้ฟังครับ เพื่อนซี้ของผม พี่ต้น แกเพิ่งมาบ่นให้ฟังว่า “เฮ้ย! ทำไมเศรษฐกิจไม่ดีทีไร หุ้นที่แกถือมันร่วงเอาๆ เลยวะ ทั้งที่แกก็ลงทุนในบริษัทใหญ่ๆ ดังๆ ทั้งนั้นเลยนะ” ผมเลยได้โอกาสชวนแกมานั่งคุยถึงเรื่องที่นักลงทุนหลายคนอาจจะมองข้ามไป นั่นคือความแตกต่างระหว่าง “สินค้าฟุ่มเฟือย” กับ “สินค้าจำเป็น” ในโลกของการลงทุนครับ
คุณเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบางธุรกิจถึงเติบโตพุ่งพรวดในยามที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง แต่พอเจอวิกฤตกลับซบเซาอย่างกับถูกสาป? ในขณะที่บางธุรกิจ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีจะร้าย คนก็ยังต้องใช้บริการอยู่เสมอ? กุญแจสำคัญอยู่ตรงนี้ครับ คือการที่เราเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า **consumer discretionary คือ** อะไร และแตกต่างจากสินค้าจำเป็นอย่างไร ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกันในตลาดทุนเลยก็ว่าได้
ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาที่เรามีเงินเหลือใช้เยอะๆ หรือมีรายได้เพิ่มขึ้น สิ่งแรกที่คุณอยากจะทำคืออะไรครับ? อาจจะอยากซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่สักตัว จองโรงแรมหรูไปเที่ยวพักผ่อน หรืออาจจะถึงขั้นมองหารถยนต์คันใหม่สวยๆ สักคัน สิ่งเหล่านี้แหละครับที่เราเรียกว่า “สินค้าฟุ่มเฟือย” หรือในภาษาการเงินเราเรียกว่า “กลุ่มสินค้า Consumer Discretionary” ครับ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะรวมถึงธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงๆ ได้ เช่น บริษัทผลิตสินค้าแฟชั่น, ธุรกิจโรงแรม, รีสอร์ต, เรือสำราญ, บริษัทรถยนต์ หรือแม้แต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่ๆ อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี หุ้นกลุ่มนี้จะหวือหวามากครับ ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น ผลตอบแทนก็อาจจะพุ่งแรงแซงทางโค้ง เพราะคนมีกำลังซื้อ มีความมั่นใจ ก็กล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ความผันผวนก็มาพร้อมกัน ถ้าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ถูกลดงบประมาณการใช้จ่ายลงทันที ซึ่งแตกต่างจาก “สินค้าจำเป็น” หรือ “Consumer Staples” ที่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น อาหาร ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ยาสีฟัน สบู่ ผงซักฟอก กลุ่มนี้มีความผันผวนน้อยกว่ามากครับ เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เราก็ยังต้องกินต้องใช้ เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ เหมือนเวลาฝนตก เราก็ยังต้องกางร่ม หรือเวลาหิวก็ต้องหาอะไรกินอยู่ดีใช่ไหมครับ
แล้วอะไรคือตัวขับเคลื่อนสำคัญของ “หุ้นฟุ่มเฟือย” พวกนี้ล่ะ? คำตอบอยู่ในเรื่องของ “นโยบายการเงิน” และ “สภาวะเศรษฐกิจ” เลยครับ ลองจินตนาการถึงธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “เฟด” นะครับ ถ้าเมื่อไหร่ที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะ “ผ่อนคลายนโยบายการเงิน” เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย หรืออัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ ก็เหมือนเป็นการเปิดไฟเขียวให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้เต็มที่ ผู้คนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมถูกลง ภาคธุรกิจก็อยากลงทุน ผู้บริโภคก็กล้าใช้จ่ายมากขึ้น ช่วงเวลานั้นแหละครับ ที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยจะออกมารับทรัพย์กันถ้วนหน้า เพราะทุกคนรู้สึกมั่นคงและมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น จนอยากยกระดับคุณภาพชีวิตหรือตอบสนองความต้องการส่วนตัวที่เกินกว่าปัจจัยสี่ไปแล้ว เหมือนกับว่าพอเงินในกระเป๋ามันเยอะขึ้น เราก็เริ่มคิดถึงนาฬิกาเรือนใหม่ เสื้อผ้าที่อยากได้มานาน หรือทริปไปยุโรปในฝันทันที

แต่ในทางกลับกัน ถ้าเมื่อไหร่ที่ธนาคารกลางเริ่มส่งสัญญาณ “ขึ้นดอกเบี้ย” เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หรือเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ นี่คือข่าวร้ายสำหรับกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเลยครับ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น การใช้จ่ายก็ลดลง คนก็เริ่มรัดเข็มขัด ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น ภาคธุรกิจเองก็ลังเลที่จะขยายการลงทุน ส่งผลให้ผลตอบแทนของกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถูกกดดันอย่างหนัก หุ้นในกลุ่มนี้จึงปรับตัวลดลงตามไปด้วย เพราะคนหันไปเน้นแค่สิ่งจำเป็นพื้นฐานก่อน เหมือนเวลาอากาศหนาว เราก็ต้องหาเสื้อกันหนาวมาใส่ก่อนที่จะคิดถึงชุดว่ายน้ำไปทะเลใช่ไหมครับ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนที่เชี่ยวชาญมักจะจับตาดูท่าทีของธนาคารกลางอย่างใกล้ชิด เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อพอร์ตการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ **consumer discretionary คือ** สินค้าและบริการที่ต้องพึ่งพิงกำลังซื้อของผู้บริโภคเป็นหลัก
นอกจากนโยบายการเงินแล้ว ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็เป็นเหมือน “สัญญาณไฟจราจร” ที่บ่งบอกทิศทางของกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยได้เป็นอย่างดีครับ สองตัวเลขสำคัญที่ผมอยากชวนให้จับตาคือ “ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ” หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “GDP” และ “ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค” ครับ ลองนึกภาพ GDP เหมือนสุขภาพองค์รวมของประเทศนะครับ ถ้า GDP เติบโตอย่างแข็งแกร่ง นั่นแปลว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ธุรกิจมีการลงทุน ผู้คนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น แน่นอนครับว่าย่อมมีเงินเหลือไปซื้อของฟุ่มเฟือยมากขึ้น ทำให้กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ **consumer discretionary คือ** สิ่งที่ได้อานิสงส์ไปเต็มๆ
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็เปรียบเสมือน “อารมณ์” หรือ “ความรู้สึก” ของคนในประเทศที่มีต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต ถ้าดัชนีนี้สูงขึ้น ก็แสดงว่าผู้คนมีความมั่นใจในเศรษฐกิจ มีความรู้สึกมั่นคงในหน้าที่การงานและรายได้ ทำให้กล้าที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงและไลฟ์สไตล์ต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งสิ้นครับ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ดัชนีนี้ปรับตัวลดลง แสดงว่าผู้คนเริ่มมีความกังวล ไม่มั่นใจในอนาคต ก็จะเริ่มลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ตัวเลขเหล่านี้จึงเป็นเข็มทิศสำคัญสำหรับนักลงทุนที่จะใช้พิจารณาว่าช่วงเวลาไหนเหมาะกับการลงทุนในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และช่วงเวลาไหนควรจะหลีกเลี่ยงหรือหันไปพึ่งพากลุ่มสินค้าจำเป็นที่มั่นคงกว่า

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ แล้วครับว่า “แล้วจะเข้าไปลงทุนในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพวกนี้ได้อย่างไร?” โชคดีที่ปัจจุบันมีทางเลือกมากมายให้นักลงทุนไทยได้เข้าถึงครับ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยโดยตรง หรือผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีนโยบายลงทุนในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและสินค้าหรูหราทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีหลายกองทุนน่าสนใจให้เลือก เช่น ASP-TOPBRAND, B-PREMIUM, KT-LUXURY-A, T-PREMIUM BRAND และ I-CHIC ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกันไป บางกองทุนอาจจะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น LVMH (เจ้าของ Louis Vuitton, Christian Dior), Toyota (ผู้ผลิตรถยนต์), หรือ Amazon (แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่) ซึ่งเหล่านี้ก็คือตัวอย่างของ **consumer discretionary คือ** บริษัทที่สร้างมูลค่าจากความต้องการที่เหนือกว่าปัจจัยพื้นฐานนั่นเองครับ
ขณะที่บางกองทุนอาจจะเน้นไปที่กลุ่มสินค้าหรือบริการระดับบน (Premium Brand) โดยเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุนหลายท่านแนะนำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษา “นโยบายการลงทุน” ของแต่ละกองทุนอย่างละเอียด รวมถึง “อัตราส่วนราคาต่อกำไร” (P/E Ratio), “กำไรต่อหุ้น” (EPS) และ “มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ” (NAV) เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนนั้นสอดคล้องกับความเสี่ยงที่คุณรับได้และเป้าหมายการลงทุนของคุณ นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง ก็ยังมีทางเลือกผ่าน “ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ” หรือที่เรียกว่า DR และ DRx ที่ทำให้เราสามารถเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทระดับโลกในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าจำเป็นได้ง่ายขึ้น โดยซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยเงินบาท สะดวกสบายมากๆ ครับ
สรุปง่ายๆ ก็คือ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าจำเป็น เป็นเหมือนการมี “เข็มทิศ” ที่จะช่วยนำทางคุณในโลกของการลงทุนที่ผันผวนนี้ครับ การลงทุนในกลุ่ม **consumer discretionary คือ** การคว้าโอกาสในยามที่เศรษฐกิจสดใส แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าความผันผวนสูงนั้นมาพร้อมกันเสมอ ในทางกลับกัน กลุ่มสินค้าจำเป็นจะทำหน้าที่เป็น “เกราะป้องกัน” ที่ช่วยลดความเสี่ยงเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงชะลอตัวหรือถดถอย การจัดสรรสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จครับ
⚠️ จำไว้เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และหากเงินที่คุณมีเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในเร็วๆ นี้ หรือไม่สามารถแบกรับความผันผวนสูงได้ การลงทุนในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ ทางที่ดีที่สุดคือการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินและเป้าหมายส่วนบุคคลของคุณ เพื่อให้การเดินทางในเส้นทางนักลงทุนของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืนที่สุดครับ!