ไขรหัสลับ กราฟ Dow Jones: ขึ้น-ลง บอกอะไร?

ชีวิตของนักลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ก็คงเหมือนกับการเล่นรถไฟเหาะ ที่บางวันก็พุ่งทะยานขึ้นสูงจนใจหาย บางวันก็ดิ่งลงจนแทบหัวทิ่มหัวตำ ไม่ต่างอะไรกับ กราฟdow jones ที่เราเห็นกันบนหน้าจอนั่นแหละครับ หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ “ดาวโจนส์” (Dow Jones Industrial Average) กันบ่อย ๆ แต่รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไร และทำไมการเคลื่อนไหวของมันถึงสำคัญกับกระเป๋าเงินของเราทั่วโลกขนาดนี้? วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย จะพาทุกคนไปแกะรอยเบื้องหลัง กราฟdow jones แบบเจาะลึก แต่เข้าใจง่าย เหมือนชวนเพื่อนมานั่งคุยเรื่องการลงทุนในร้านกาแฟเลยทีเดียว

ลองคิดดูสิครับว่า วันที่ตื่นเช้ามาแล้วเห็นข่าวว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดงเถือก หุ้นใหญ่ ๆ อย่าง “S&P 500” ดิ่งลงมา 4 วันติดกัน ส่วน “ดาวโจนส์” เองก็ลดลงไปนิดหน่อย 0.21% พาลให้ใจคอไม่ดีไปด้วยใช่ไหมครับ? ในทางกลับกัน “แนสแด็ก” (Nasdaq) กลับปิดบวกได้เล็กน้อย นี่มันอะไรกันแน่ ทำไมตลาดมันถึงสวนทางกันแบบนี้? คำตอบง่ายๆ ก็คือ ตลาดหุ้นมันซับซ้อนและอ่อนไหวต่อข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวที่เกี่ยวกับ “นโยบายการเงิน” ครับ

หัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า “เฟด” (Federal Reserve) นั่นเองครับ จากรายงานการประชุมของ “คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ” (FOMC) ที่เพิ่งเปิดเผยออกมา ผู้บริหารส่วนใหญ่ของเฟดเค้าเห็นพ้องกันว่า “ต้องขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%” ครับ! คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องขึ้นดอกเบี้ยด้วย? ก็เพราะว่า “เงินเฟ้อ” มันยังไม่ยอมลดลงง่ายๆ น่ะสิครับ มันเหมือนกับไข้ที่ยังรุมเร้าเศรษฐกิจอยู่ เฟดก็เลยต้องให้ยาแรงขึ้นอีกหน่อย แม้จะต้องแลกมาด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น และอาจจะไปบีบการเติบโตทางเศรษฐกิจบ้างก็ตาม แต่เป้าหมายหลักของเฟดตอนนี้คือ “คุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัด” ครับ ซึ่งเรื่องนี้เองที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง กราฟdow jones ต้องสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา เพราะการขึ้นดอกเบี้ยมีผลกระทบไปถึงทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจเลยล่ะครับ

ทีนี้เรามาเจาะลึกตัวเลขกันบ้างดีกว่าครับ เมื่อพูดถึง กราฟdow jones หรือดัชนี “ดาวโจนส์ อินดัสเตรียล แอเวอเรจ” (Dow Jones Industrial Average – DJIA) ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้น 30 บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ และถือเป็นดัชนีที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกาได้ดีมากๆ ลองดูข้อมูลย้อนหลังไม่นานมานี้สิครับ
* ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ยังคงเพิ่มขึ้นได้ 0.71%
* ส่วนในรอบเดือนที่ผ่านมา พุ่งขึ้นไปถึง 10.33% เลยทีเดียว!
* และถ้ามองในรอบปีที่ผ่านมา ก็ยังบวกสวยๆ ที่ 5.59% ครับ

ตัวเลขเหล่านี้บอกอะไรเรา? มันบอกว่าแม้ในแต่ละวัน กราฟdow jones อาจจะขึ้นๆ ลงๆ ให้เราใจหายเล่น แต่ในภาพรวมระยะกลางถึงยาว ดัชนีนี้ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่หลายแห่งครับ

แน่นอนว่าในดัชนีใหญ่อย่าง กราฟdow jones ก็ต้องมี “ซุปเปอร์สตาร์” ประจำดัชนีอยู่หลายตัวครับ ลองดูมูลค่าตลาดของบริษัทเหล่านี้สิครับ (Market Cap)
* “ไมโครซอฟท์” (Microsoft – MSFT) ยืนหนึ่งที่ 3.26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
* ตามมาด้วย “แอปเปิล” (Apple – AAPL) ที่ 2.97 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
* และ “เอ็นวิเดีย” (Nvidia – NVDA) ที่พุ่งแรงไม่แพ้กัน 2.84 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่วนหุ้นที่มีราคาต่อหน่วยสูงปรี๊ดในดัชนีนี้ ก็มี “โกลด์แมน แซคส์” (Goldman Sachs – GS) ที่ราคา 567.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามด้วย “ไมโครซอฟท์” (Microsoft – MSFT) 438.73 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ “ยูไนเต็ดเฮลท์ กรุ๊ป” (UnitedHealth Group – UNH) ที่ 380.64 ดอลลาร์สหรัฐฯ ครับ นี่เป็นเพียงบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงยักษ์ใหญ่ที่ขับเคลื่อน กราฟdow jones และเศรษฐกิจอเมริกา

แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปครับ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีหุ้นอย่าง “วอลมาร์ท” (Walmart – WMT) ที่ให้ผลตอบแทนสุดปัง พุ่งขึ้นกว่า 60.66% แต่ก็มีหุ้นอย่าง “เมอร์ค แอนด์ โค” (Merck & Co – MRK) ที่ลดลงไปถึง 41.08% เลยทีเดียวครับ นี่แหละคือความผันผวนของตลาดหุ้น ที่นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า “มีขึ้นก็ต้องมีลง” และในดัชนีเดียวกันก็ยังมีความหลากหลายของผลตอบแทนที่ต่างกันลิบลับ

แล้วเรื่อง “อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี” ล่ะ? ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะห่างไกลจากชีวิตประจำวันเรา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเหมือน “บารอมิเตอร์” ชี้วัดทิศทางดอกเบี้ยในระยะยาว ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการเงินของบริษัทต่างๆ และแน่นอนว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นและ กราฟdow jones ด้วยเช่นกันครับ ข้อมูลเหล่านี้ เฟดเค้าก็รวบรวมและเปิดเผยอยู่ตลอด (แหล่งที่มา: Federal Reserve)

ส่วนใครที่ชอบดู “กราฟแท่งเทียน” (Candlestick Pattern) เพื่อหาจังหวะเข้าออกตลาด ต้องบอกว่า กราฟdow jones ก็มีรูปแบบที่น่าสนใจให้เห็นมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็น “Shooting Star” ที่บอกว่าขาขึ้นอาจจะหมดแรง หรือ “Bullish Hammer” ที่อาจส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น หรือแม้แต่ “Three Black Crows” ที่เป็นสัญญาณเตือนขาลง รูปแบบเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่นักวิเคราะห์ใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคตครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “ไม่มีอะไรแน่นอน 100%” ในตลาดทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

หลายคนอาจจะอยาก “ลงทุนในดาวโจนส์” โดยตรง แต่ต้องบอกว่าเราไม่สามารถซื้อ “ดัชนี” ได้โดยตรงนะครับ มันเหมือนกับการที่เราไม่สามารถซื้อ “ดัชนีค่าครองชีพ” ได้นั่นแหละครับ แต่เราสามารถลงทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่อ้างอิงกับ กราฟdow jones ได้ เช่น “ฟิวเจอร์ส” (Dow Jones Industrial Average Futures) หรือกองทุนที่ไปลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนีนี้ ซึ่งแพลตฟอร์มการลงทุนต่าง ๆ เช่น Moneta Markets มักจะมีเครื่องมือและข้อมูลเหล่านี้ให้ศึกษาและเทรดได้ครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มไหน ก็ต้องดูว่าเค้าอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่น่าเชื่อถือหรือไม่ อย่างเช่น AT Global Markets (UK) Limited ที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Financial Conduct Authority (FCA) ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนได้ระดับหนึ่งครับ และที่สำคัญ ข้อมูลบนเว็บไซต์เหล่านี้มักจะระบุข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ชัดเจน เช่น ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้พำนักในสหรัฐฯ หรือเบลเยี่ยม เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับ

สรุปแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็น กราฟdow jones ที่ขึ้นๆ ลงๆ นโยบายการเงินของเฟดที่เข้มงวดขึ้น หรือตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวน ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดการลงทุน และส่งผลต่อกระเป๋าเงินของเราทุกคนครับ

ดังนั้น ในฐานะนักลงทุน เราควรทำตัวเหมือน “กัปตันเรือ” ที่ไม่ว่าจะเจอคลื่นลมแรงแค่ไหน ก็ต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ประเมินสถานการณ์อย่างมีสติ และตัดสินใจอย่างรอบคอบเสมอครับ อย่าเชื่อข่าวลือ อย่ามองข้ามความเสี่ยง และที่สำคัญที่สุดคือ “ลงทุนอย่างมีเหตุผล”

⚠️ **คำเตือนความเสี่ยง:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ หากสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่สูงนัก หรือเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเช่นหุ้น หรือดัชนีหุ้นต่างประเทศ เพราะตลาดทุนมีความไม่แน่นอนสูง และอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ครับ จงจำไว้ว่า “เงินของคุณ สำคัญที่สุด”

แหล่งที่มาของข้อมูล: Fusion Media, Investor’s Business Daily, MarketWatch, Yahoo Finance, S&P Dow Jones Indices LLC, Federal Reserve Bank of St. Louis, Board of Governors of the Federal Reserve System (US)

Leave a Reply