
สวัสดีครับเพื่อนนักลงทุนทุกท่าน! เคยไหมครับที่อยู่ดีๆ เพื่อนก็มาถามว่า “เฮ้ย! ช่วงนี้ตลาดหุ้นเป็นไงบ้างวะ?” หรือไม่ก็เห็นข่าวพาดหัวตัวเบ้อเร่อว่า “SET Index พุ่งกระฉูด” หรือ “ดัชนีหุ้นไทยดิ่งเหว” แล้วเราก็ได้แต่เกาหัวแกรกๆ ว่า “มันคืออะไรนะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา?”
ไม่ต้องกังวลไปครับ! วันนี้ผมในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินที่คลุกคลีในตลาดมานาน จะพาทุกท่านมาไขปริศนาของ “ดัชนีหุ้น” หรือที่เราเรียกกันว่า “**ดัชนีหุ้น คือ**” นั่นแหละครับ ว่ามันคืออะไร มีกี่แบบ แล้วเราจะเอาไปใช้ประโยชน์ในการลงทุนได้อย่างไรบ้าง รับรองว่าอ่านจบแล้ว คุณจะมองตลาดหุ้นได้เข้าใจมากขึ้นราวกับมีแว่นตาวิเศษเลยทีเดียว!
ลองจินตนาการดูนะครับว่า ตลาดหุ้นไทยเนี่ย เปรียบเสมือนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล มีปลาเล็กปลาน้อย แหวกว่ายอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่จะรู้ได้ยังไงว่าวันนี้มหาสมุทรโดยรวมเป็นยังไง? น้ำขึ้น น้ำลง คลื่นลมแรง หรือสงบนิ่ง? เราก็ต้องมีเครื่องมือวัดใช่ไหมครับ
**ดัชนีหุ้น คือ** สิ่งนั้นแหละครับ! มันเปรียบเสมือน “เทอร์โมมิเตอร์” หรือ “บารอมิเตอร์” ที่คอยบอกอุณหภูมิและสภาพอากาศของตลาดหุ้นไทยโดยรวม ไม่ใช่แค่บอกว่า “ร้อน” หรือ “หนาว” แต่ยังบอกด้วยว่า “ร้อนเพราะอะไร” หรือ “หนาวเพราะใคร” วันนี้เราจะมาเจาะลึกเทอร์โมมิเตอร์ตัวสำคัญๆ กันครับ
—
**SET Index: เทอร์โมมิเตอร์หลักที่บอกอุณหภูมิตลาดโดยรวม**
ดัชนีแรกสุดที่ทุกคนควรรู้จักและคุ้นเคยกันดีก็คือ **SET Index** หรือชื่อเต็มๆ คือ **ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย** นั่นเองครับ เจ้าตัวนี้แหละคือ “หัวหน้าห้อง” ที่รวมคะแนนของนักเรียนทุกคนในห้องเรียนตลาดหุ้นไทยไว้ด้วยกัน มันสะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น “ทั้งหมด” ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ยกเว้นหุ้นที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เกิน 1 ปี)
คุณอาจจะสงสัยว่า “แล้วมันคำนวณยังไงล่ะ?” ง่ายๆ ครับ ตามหลักการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เขาจะคำนวณโดยใช้สูตรนี้:
**SET Index = (มูลค่าตลาดรวมวันปัจจุบัน / มูลค่าตลาดรวมวันฐาน) x ค่าฐานของดัชนี (100)**
ฟังดูเหมือนจะยากใช่ไหมครับ? แต่มันคือการเปรียบเทียบ “มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization)” รวมของหุ้นทั้งหมดในตลาดวันนี้ เทียบกับมูลค่าตลาดรวม ณ วันเริ่มต้นที่กำหนดค่าดัชนีไว้ที่ 100 จุด ซึ่งก็คือวันที่ 30 เมษายน 2518 นั่นเองครับ
**แล้วใครมีอิทธิพลต่อ SET Index มากที่สุดล่ะ?** ก็ต้องเป็น “พี่ใหญ่” ในตลาดหุ้นครับ หุ้นตัวไหนที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงๆ หรือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ก็จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากเป็นพิเศษ เหมือนเวลาพี่ใหญ่ในห้องทำคะแนนได้ดีหรือได้แย่ คะแนนรวมของห้องก็จะขยับตามไปด้วยนั่นเองครับ ดังนั้น เวลาเห็น SET Index ขยับขึ้นลง ก็พอจะบอกได้ว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยกำลังไปในทิศทางไหน หรือมี “ไข้” หรือ “สุขภาพดี” ประมาณไหนครับ

—
**SET50 และ SET100: ทีมดาวเด่นและดาวรุ่งของตลาด**
เมื่อรู้ภาพรวมจาก SET Index แล้ว ทีนี้เรามาเจาะลึก “ทีมดาวเด่น” ของตลาดกันบ้างครับ นั่นก็คือ **SET50** และ **SET100** ดัชนีทั้งสองตัวนี้ก็เหมือนกับการคัดเลือก “นักฟุตบอลตัวท็อป” ของลีกมาเข้าทีมครับ โดย SET50 ก็คือ 50 หุ้นแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงสุด และมีสภาพคล่อง (Liquidity) ในการซื้อขายสูงปรี๊ด ในขณะที่ SET100 ก็ขยับไซส์ขึ้นมาเป็น 100 หุ้นแรกครับ
**ทำไมต้องมีดัชนีพวกนี้ด้วยล่ะ?** เพราะหุ้นเหล่านี้เป็นเหมือน “แกนหลัก” ที่สะท้อนเศรษฐกิจไทยเลยครับ เป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่เราคุ้นชื่อกันดี แถมยังเป็นที่นิยมของนักลงทุนสถาบันและต่างชาติด้วยครับ ดัชนี SET50 และ SET100 จึงถูกใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญสำหรับ **กองทุนรวมดัชนี (Index Fund)** หลายๆ กองทุนครับ หมายความว่า ถ้าเราไปลงทุนในกองทุน SET50 เราก็เหมือนได้ลงทุนใน 50 หุ้นใหญ่ของไทยไปพร้อมๆ กันเลยนั่นเอง
**เกณฑ์การคัดเลือกไม่ได้ง่ายๆ นะครับ:**
* **มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ต้องสูง:** แน่นอนว่าต้องเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่
* **สภาพคล่อง (Liquidity) ในการซื้อขายสูง:** ซื้อขายง่าย ไม่ใช่หุ้นที่นานๆ ทีจะมีคนซื้อขาย
* **สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ไม่น้อยกว่า 20%:** เพื่อให้มั่นใจว่าหุ้นนั้นมีการกระจายการถือครองอย่างแท้จริง ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่เจ้าของไม่กี่คน
* **ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เกิน 20 วัน:** ต้องเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาจนต้องหยุดพักนานๆ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เขาจะทบทวนรายชื่อหุ้นใน SET50 และ SET100 ทุกๆ 6 เดือนครับ เหมือนการคัดตัวนักกีฬาใหม่เข้าร่วมทีมอยู่เสมอ เพื่อให้ดัชนีมีความทันสมัยและสะท้อนสภาพตลาดที่แท้จริง
—
**SETHD: ขุมทรัพย์ปันผลสำหรับนักลงทุนใจร่มๆ**
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ชอบความมั่นคง ชอบ “ดอกผล” ที่สม่ำเสมอ เหมือนกับการปลูกต้นไม้แล้วได้เก็บเกี่ยวผลไม้กินเรื่อยๆ ล่ะก็ **ดัชนี SETHD (SET High Dividend 30 Index)** นี่แหละครับคือเพื่อนซี้ของคุณ! ดัชนีตัวนี้สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 30 ตัวที่โดดเด่นเรื่องการจ่าย **ปันผล (Dividend)** สูง และที่สำคัญคือต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องด้วยครับ
**หุ้นใน SETHD มีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร?**
* ต้องเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET100 มาก่อน คือเป็นหุ้นใหญ่ที่มีคุณภาพ
* ต้องมีประวัติการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีที่ผ่านมา
* อัตราส่วนการจ่ายปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังต้องไม่เกิน 100% ครับ นั่นหมายความว่าบริษัทต้องจ่ายปันผลจากกำไรที่ทำได้จริง ไม่ใช่ไปกู้มาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น
SETHD จึงเหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดจากปันผลสม่ำเสมอ เป็นเหมือน “ตู้เซฟปันผล” ที่คอยจ่ายเงินคืนให้เราอย่างสม่ำเสมอเลยทีเดียวครับ

—
**sSET Index: มองหาดาวรุ่งดวงใหม่จากหุ้นขนาดเล็ก**
ในขณะที่ SET50 และ SET100 คือ “ทีมชาติ” ที่เรารู้จักกันดี แต่ในตลาดหุ้นก็ยังมี “นักเตะ” ฝีเท้าดีอีกเพียบที่ยังไม่ได้เข้าทีมชาติใช่ไหมครับ? นั่นคือบทบาทของ **ดัชนี sSET Index** ครับ ดัชนีตัวนี้สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ “อยู่นอกเหนือ” SET50 และ SET100 ลงมา แต่ก็ยังคงมีคุณสมบัติที่ดีและมีสภาพคล่องในการซื้อขาย
sSET Index จึงช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มของ **หุ้นขนาดเล็ก (Small Cap)** หรือหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในอนาคตได้ดีขึ้นครับ ใครที่ชอบลงทุนในหุ้นที่กำลังจะเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือชอบค้นหา “เพชรในตม” ดัชนี sSET จะเป็นตัวช่วยที่ดีครับ
**เกณฑ์การคัดเลือก sSET ก็มีเหมือนกัน:**
* มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สะสมอยู่ในลำดับ 90% – 98% ของหุ้นสามัญทั้งตลาด (คือไม่ใหญ่เท่า SET100 แต่ก็ไม่ใช่เล็กจิ๋วเกินไป)
* ไม่ได้อยู่ใน SET100
* มีสัดส่วนผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อย (Free Float) ไม่น้อยกว่า 20% ของทุนชำระแล้ว
—
**ดัชนีพิเศษอื่นๆ: เจาะลึกตามธีมการลงทุน**
นอกเหนือจากดัชนีหลักๆ ข้างต้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ยังมีดัชนีพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนธีมการลงทุนเฉพาะทางอีกหลายตัวเลยครับ ซึ่งแต่ละตัวก็มีจุดเด่นและเกณฑ์การคัดเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน:
* **SETCLMV:** ถ้าคุณเป็นคนชอบมองหาโอกาสในต่างแดน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ดัชนี SETCLMV นี่แหละครับคือคำตอบ! มันสะท้อนการเคลื่อนไหวราคาของหุ้นไทยที่บริษัทมีรายได้จากประเทศกลุ่ม CLMV อย่างน้อย 10% หรือไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท และต้องมีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทด้วยครับ
* **SETTHSI (SET Thailand Sustainability Investment Index):** โลกยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ดัชนี SETTHSI จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ของบริษัทที่ดำเนินการธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ใครที่อยากลงทุนแบบ **หุ้นยั่งยืน (Sustainable Stocks)** หรือมี “หัวใจสีเขียว” ดัชนีนี้จะช่วยให้คุณค้นพบหุ้นดีๆ ที่ไม่ได้แค่สร้างผลกำไร แต่ยังรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย โดยบริษัทที่เข้าเกณฑ์ต้องมีมูลค่าตามราคาตลาดไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท
* **SETWB (SET Wealth-Being Index):** ดัชนีนี้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการแข่งขันและสอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลกครับ ได้แก่ 7 หมวดธุรกิจสำคัญ เช่น การเกษตร, พาณิชย์, แฟชั่น, อาหาร, การแพทย์, ท่องเที่ยว, และขนส่ง ดัชนี SETWB จะคัดเลือก 30 หุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุดใน 7 หมวดนี้ โดยบริษัทต้องมีกำไรอย่างน้อย 2 ใน 3 ปีล่าสุดด้วยครับ เหมือนเป็นการรวมตัวของ “แชมป์” ในแต่ละอุตสาหกรรมนั่นเอง
—
**MAI (Market for Alternative Investment): สนามของสตาร์ทอัพและ SME ตัวจี๊ด**
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดครับ คือ **ดัชนี MAI** หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ซึ่งเป็นตลาดสำหรับบริษัทขนาดเล็ก หรือ SME รวมถึงธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตสูงครับ ถ้าตลาด SET เปรียบเสมือนสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ ดัชนี MAI ก็คือ “สนามเด็กเล่นของดาวรุ่ง” ที่เปิดโอกาสให้บริษัทขนาดเล็กที่มีศักยภาพได้เข้ามาจดทะเบียน เพื่อระดมทุนและเติบโตต่อไป ใครที่ชอบลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดจากจุดเล็กๆ ดัชนี MAI ก็เป็นอีกหนึ่งดัชนีที่น่าจับตาครับ
—
**แล้วนักลงทุนมือใหม่อย่างเราจะใช้ประโยชน์จากดัชนีหุ้นได้อย่างไร?**
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มมองภาพออกแล้วว่า “**ดัชนีหุ้น คือ**” อะไร มีความสำคัญแค่ไหน แต่คำถามสำคัญคือ แล้วเราจะเอาไปใช้ประโยชน์กับการลงทุนของเราได้อย่างไรบ้าง?
1. **ใช้ดูภาพรวมตลาด:** เวลาที่เราเห็นข่าวว่า SET Index ขึ้นหรือลงเยอะๆ เราก็จะพอรู้ทิศทางและอารมณ์ของตลาดโดยรวมครับ ถ้า SET Index พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็แสดงว่านักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมองตลาดในเชิงบวก หุ้นหลายๆ ตัวก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกัน ถ้าดิ่งลงแรง ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ระมัดระวัง
2. **ใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (Index Fund):** หากคุณเป็นมือใหม่ หรือไม่มีเวลาติดตามหุ้นรายตัว การลงทุนในกองทุนรวมดัชนี อย่างเช่น กองทุน SET50 หรือกองทุน SETHD ก็เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกครับ เพราะคุณจะได้ลงทุนในหุ้นดีๆ จำนวนมากตามดัชนีนั้นๆ โดยไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นเอง การลงทุนแบบนี้เป็นการลงทุนตามแนวโน้มของตลาดหรือตามธีมที่เลือก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นผิดตัวได้ในระดับหนึ่งครับ
3. **ใช้คัดเลือกหุ้นรายตัว:** สำหรับนักลงทุนที่ชอบเลือกหุ้นเอง ดัชนีต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเหมือน “ลิสต์รายชื่อ” หุ้นดีๆ ที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วในระดับหนึ่ง เช่น ถ้าคุณชอบหุ้นปันผล ก็ลองไปดูรายชื่อหุ้นใน SETHD ครับ หรือถ้าอยากลงทุนในหุ้นใหญ่ที่มั่นคง ก็เริ่มจากรายชื่อใน SET50 หรือ SET100 ได้เลย
**ข้อควรจำและข้อควรระวัง:**
* **ดัชนีหุ้นบอกทิศทาง แต่ไม่ได้การันตีกำไร:** แม้ดัชนีจะพุ่งสูงปรี๊ด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัวในตลาดจะกำไรนะครับ หุ้นบางตัวอาจจะยังซึมๆ หรือลงด้วยซ้ำไปครับ
* **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** การดูดัชนีเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง หรือในกองทุนใดกองทุนหนึ่ง คุณควรศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้นๆ อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการ, แนวโน้มธุรกิจ, การบริหารจัดการ, และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องครับ
* **กระจายความเสี่ยง (Diversification):** อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่หุ้นตัวเดียวหรือกองทุนเดียวครับ การกระจายการลงทุนไปในหลายๆ สินทรัพย์ หลายๆ อุตสาหกรรม จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้มากหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับหุ้นบางตัว
—
**สรุปส่งท้าย: ดัชนีหุ้น คือ เข็มทิศการลงทุนของคุณ**
จะเห็นได้ว่า “**ดัชนีหุ้น คือ**” มากกว่าแค่ตัวเลขที่วิ่งขึ้นวิ่งลงบนหน้าจอครับ มันคือ “เข็มทิศ” ที่คอยนำทางและบอกทิศทางของตลาดหุ้นไทยโดยรวม และยังเป็น “เครื่องมือ” ชั้นดีที่ช่วยให้เราเข้าใจสภาพเศรษฐกิจ และเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของเราได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น ครั้งหน้าถ้าเพื่อนมาถามว่า “เฮ้ย! ช่วงนี้ตลาดหุ้นเป็นไงบ้างวะ?” คุณคงไม่ต้องเกาหัวอีกต่อไปแล้วนะครับ แต่กลับกัน คุณอาจจะยิ้มแล้วตอบได้เต็มปากว่า “อ๋อ…ช่วงนี้ SET Index ดูมีแนวโน้มดีนะ สงสัยหุ้นใหญ่กำลังนำตลาด แต่ถ้ามองหาหุ้นปันผล SETHD ก็น่าสนใจนะ!”
จำไว้เสมอว่า **การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน** และสิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้และติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอครับ ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไหร่ คุณก็จะมั่นใจในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ!