สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุนมือใหม่และมือเก๋า หรือใครก็ตามที่กำลังสงสัยว่า “ดัชนีหุ้นคืออะไร” ทำไมเราถึงเห็นข่าวพาดหัวแทบทุกวันว่าวันนี้ SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์) บวกหรือลบไปกี่จุด? เจ้าตัวเลขนี้มันสำคัญกับชีวิตเรายังไง แล้วมันบอกอะไรเราได้บ้าง? วันนี้ผมในฐานะนักเขียนคอลัมน์การเงินที่อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “เทอร์โมมิเตอร์” วัดไข้ตลาดหุ้นไทยที่ชื่อว่าดัชนีหุ้นกันแบบง่ายๆ สบายๆ สไตล์เพื่อนคุยกันครับ
ลองนึกภาพตามนะครับว่าคุณกำลังเดินเข้าร้านสะดวกซื้อแล้วเห็นป้ายราคาข้าวของที่วางขายเต็มไปหมด คุณคงไม่อยากเสียเวลาไปนั่งดูราคาสินค้าทุกชิ้นหรอกใช่ไหมครับ? เช่นเดียวกัน ตลาดหุ้นก็มีหุ้นเป็นร้อยเป็นพันตัว ถ้าเราต้องไปนั่งดูราคาหุ้นทุกตัวคงปวดหัวแย่ ดัชนีหุ้นนี่แหละครับ คือ “ค่าเฉลี่ย” หรือ “ตัวแทน” ที่สรุปภาพรวมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจำนวนมากในตลาดออกมาเป็นตัวเลขเดียว ช่วยให้นักลงทุนอย่างเราๆ เข้าใจได้ทันทีว่าภาพรวมของตลาดวันนี้คึกคักหรือซบเซา เหมือนกับการที่นักพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อุณหภูมิเฉลี่ย 30 องศาเซลเซียส ก็ช่วยให้เรารู้ว่าควรแต่งตัวแบบไหนนั่นแหละครับ ดัชนีหุ้นก็มีหน้าที่คล้ายกันคือช่วยให้เรามองเห็นทิศทางของตลาดหุ้นโดยรวมได้ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว

ที่นี้เมื่อเข้าใจแล้วว่า ดัชนีหุ้นคืออะไร เราก็ต้องมาดูกันต่อว่าในตลาดหุ้นไทยของเรามี “เทอร์โมมิเตอร์” แบบไหนบ้าง เพราะไม่ใช่แค่ SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์) ตัวเดียวโดดๆ นะครับ จริงๆ แล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า SET ได้พัฒนาและจัดทำดัชนีราคาหลักทรัพย์ไว้มากมายหลายดัชนี เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาหรือมูลค่าตลาดของหุ้นในแง่มุมที่แตกต่างกันไป ลองมาดูกันครับว่ามีตัวไหนน่าสนใจบ้าง:
เริ่มจากดัชนีหลักที่เป็นหัวใจของตลาดหุ้นไทย นั่นคือ **SET Index** (เซ็ต อินเด็กซ์) หรือที่เรียกว่า “ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ตัวนี้แหละครับที่เป็นตัวแทนของภาพรวมหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นหุ้นตัวเล็กตัวใหญ่ ตัวไหนที่เข้าเงื่อนไขก็ถูกนำมาคำนวณในดัชนีนี้หมดเลย เรียกได้ว่าถ้า SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์) ขยับขึ้น ก็แปลว่าภาพรวมของตลาดหุ้นกำลังดี แต่ถ้า SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์) ขยับลง ก็อาจจะแปลว่าตลาดหุ้นกำลังซบเซา เหมือนการมองดูผืนน้ำทั้งบ่อ ถ้าผิวน้ำเรียบสงบ แปลว่าทุกอย่างกำลังดี แต่ถ้าผิวน้ำกระเพื่อมรุนแรง ก็อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นใต้ผิวน้ำนั่นเอง
แต่ถ้าเราอยากจะเจาะจงมองที่หุ้นตัวใหญ่ๆ ที่มีสภาพคล่องสูงๆ หรือมีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ขนาดมหึมา ที่มีอิทธิพลต่อตลาดมากๆ ล่ะ? ก็ต้องดูที่ **SET50 Index** (เซ็ตห้าสิบ อินเด็กซ์) ครับ ดัชนีตัวนี้จะคัดเฉพาะหุ้นสามัญ 50 ตัวแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุดและมีสภาพคล่องในการซื้อขายดีเยี่ยมมารวมกัน ดัชนีนี้จึงเป็นตัวชี้วัดที่นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะหุ้นเหล่านี้มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่เรารู้จักกันดีในชีวิตประจำวัน เช่น หุ้นธนาคาร พลังงาน หรือโทรคมนาคม และถ้าใหญ่กว่านั้นอีกหน่อยก็มี **SET100 Index** (เซ็ตหนึ่งร้อย อินเด็กซ์) ที่รวมหุ้นสามัญ 100 ตัวแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุดเข้ามาด้วย ทำให้เราเห็นภาพของหุ้นขนาดใหญ่ในวงกว้างขึ้นไปอีกครับ

แล้วหุ้นตัวเล็ก ตัวกลาง ที่ไม่ได้อยู่ใน SET50 (เซ็ตห้าสิบ อินเด็กซ์) หรือ SET100 (เซ็ตหนึ่งร้อย อินเด็กซ์) ล่ะ มีดัชนีให้ดูไหม? มีแน่นอนครับ สำหรับหุ้นกลุ่มนี้ เรามี **sSET Index** (เอสเซ็ต อินเด็กซ์) ที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนอกเหนือจาก SET50 (เซ็ตห้าสิบ อินเด็กซ์) และ SET100 (เซ็ตหนึ่งร้อย อินเด็กซ์) โดยเฉพาะ กลุ่มนี้อาจจะเป็นบริษัทที่กำลังเติบโต หรือมีศักยภาพซ่อนอยู่มากมาย นักลงทุนที่ชอบหา “เพชรในตม” ก็จะให้ความสนใจดัชนีนี้เป็นพิเศษครับ นอกจากนี้ หากคุณเป็นสายปันผล ชอบหุ้นที่จ่ายเงินคืนผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอ ต้องดูที่ **SETHD Index** (เซ็ตเอชดี อินเด็กซ์) ที่คัดเฉพาะหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูง แถมยังมีสภาพคล่องและมูลค่าตามราคาตลาดที่เหมาะสมมาคำนวณอีกด้วย นี่คือดัชนีคู่ใจสำหรับนักลงทุนสายเน้นกระแสเงินสดเลยก็ว่าได้
ยุคนี้ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องความยั่งยืนใช่ไหมครับ ตลาดหุ้นไทยก็ไม่ตกเทรนด์ มีดัชนีสำหรับหุ้นที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) นั่นคือ **SETTHSI Index** (เซ็ตทีเอชเอสไอ อินเด็กซ์) ครับ ดัชนีนี้จะบอกเราว่าบริษัทไหนบ้างที่ไม่ได้มองแค่กำไร แต่ยังใส่ใจโลกและสังคมด้วย ซึ่งถือเป็นเทรนด์การลงทุนที่มาแรงทั่วโลก และสำหรับบริษัทไทยที่มีรายได้จากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) เราก็มี **SETCLMV Index** (เซ็ตซีแอลเอ็มวี อินเด็กซ์) ที่สะท้อนราคาหุ้นของบริษัทกลุ่มนี้โดยเฉพาะ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตในภูมิภาคของเราครับ
นอกจากนี้ยังมีดัชนีที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่น **SETWB Index** (เซ็ตดับเบิลยูบี อินเด็กซ์) ที่สะท้อนราคาหุ้นใน 7 หมวดธุรกิจที่มีศักยภาพและนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษ หรือ **mai Index** (เอ็มเอไอ อินเด็กซ์) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ที่เน้นหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือ SME ที่กำลังเติบโต และสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือ **SETTRI** (เซ็ตทริ) หรือ “ดัชนีผลตอบแทนรวม” ที่คำนวณจากผลตอบแทนทุกประเภทของการลงทุน ทั้งจากราคาหุ้นที่ปรับขึ้น และเงินปันผลที่ได้รับ ดัชนีนี้จะบอกผลตอบแทนที่แท้จริงของการลงทุนในตลาดได้แม่นยำกว่าดัชนีราคาหุ้นทั่วไปครับ ทั้งหมดนี้ ผู้ลงทุนสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง โดยรายชื่อหุ้นที่ใช้ในการคำนวณดัชนีเหล่านี้จะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนทุก 6 เดือน เพื่อให้ดัชนีสะท้อนสถานการณ์การลงทุนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากที่สุดครับ
มาถึงคำถามที่หลายคนสงสัยว่า แล้วเจ้าตัวเลขดัชนีหุ้นพวกนี้มันคำนวณกันยังไง? ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องนั่งถอดสมการตรีโกณมิติหรือแคลคูลัสอะไรให้วุ่นวายนะครับ เพราะหัวใจของการคำนวณ ดัชนีหุ้น ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์) คือการใช้วิธี “ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด” (Market Capitalization Weighted) พูดง่ายๆ ก็คือ หุ้นตัวไหนที่มีมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่ (จำนวนหุ้นมาก ราคาต่อหุ้นสูง) ก็จะมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีมากตามไปด้วย เหมือนกับการเลือกนักกีฬาเข้าทีมฟุตบอล ตัวไหนเก่ง ตัวไหนมีอิทธิพลต่อเกม ก็จะมีบทบาทในการทำคะแนนมากกว่าตัวที่นั่งสำรองนั่นแหละครับ สูตรคำนวณพื้นฐานของ SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์) ก็คือ (มูลค่าตลาดรวมของหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน / มูลค่าตลาดรวมของหุ้นทั้งหมด ณ วันฐาน) แล้วคูณด้วยค่าฐานของดัชนีในวันแรก ซึ่งวันฐานที่ว่านี้คือวันที่ 30 เมษายน 2518 และกำหนดให้ค่าดัชนีในวันนั้นอยู่ที่ 100 จุดครับ การคำนวณนี้จะมีการปรับปรุงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของจำนวนหุ้น เช่น การเพิ่มทุน การแตกพาร์ หรือการนำหุ้นเข้าใหม่ครับ

แล้วอะไรบ้างล่ะที่มีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีหุ้น? ลองนึกภาพเศรษฐกิจเหมือนก้อนเมฆขนาดใหญ่ ยิ่งเมฆอ้วนท้วนสมบูรณ์ มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ดัชนีหุ้นก็มีแนวโน้มจะสดใสตามไปด้วยครับ นั่นคือ “ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม” ครับ ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP), อัตราเงินเฟ้อ, และอัตราการจ้างงาน ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมักส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเสมอ ตามข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ชี้ให้เห็นว่าดัชนีหุ้นมักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจ
นอกจากเศรษฐกิจแล้ว “ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน” ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้เลยครับ เปรียบเทียบกับนักเรียนในห้องเรียน ถ้าทุกคนทำคะแนนสอบได้ดี เกรดเฉลี่ยของห้องก็ย่อมสูงขึ้นใช่ไหมครับ? เช่นเดียวกัน ถ้าบริษัทส่วนใหญ่มีกำไรเติบโต มียอดขายดี ดัชนีหุ้นก็มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะนักลงทุนก็จะมองเห็นอนาคตที่ดีของบริษัทและเข้ามาลงทุนมากขึ้นครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็นแต่สำคัญสุดๆ คือ “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” ครับ ลองคิดดูสิครับว่าถ้าทุกคนในห้องเรียนเชื่อว่าตัวเองจะทำข้อสอบได้ดี บรรยากาศในห้องก็จะเต็มไปด้วยความมั่นใจและพลังบวกใช่ไหมครับ? ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน หากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง ไม่ว่าจะจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ดี หรือจากข่าวดีของบริษัท ความเชื่อมั่นนี้จะผลักดันให้เกิดการซื้อขายที่คึกคัก และส่งผลให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นได้ อย่างที่เห็นในหลายๆ เหตุการณ์เมื่อตลาดอยู่ใน “ตลาดกระทิง” (Bull Market) ที่ดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแรงซื้อที่มาจากความเชื่อมั่น แต่ในทางกลับกัน หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ ความเชื่อมั่นก็จะลดลง ทำให้ตลาดเข้าสู่ “ตลาดหมี” (Bear Market) ที่ดัชนีหุ้นจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงจากการเทขายของนักลงทุนที่ขาดความเชื่อมั่นครับ
และแน่นอนครับ “นโยบายการเงินของธนาคารกลาง” อย่างธนาคารแห่งประเทศไทยของเราก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน นโยบายการเงินที่ออกมา โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ย มีผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจและการลงทุน ถ้าธนาคารกลางลดดอกเบี้ยลง ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ ก็จะลดลง ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น กระตุ้นให้ตลาดหุ้นคึกคัก ในทางตรงกันข้าม การปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจจะทำให้ตลาดหุ้นซบเซาลงได้ เพราะเงินทุนจะไหลไปหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าอย่างพันธบัตรรัฐบาล หรือการฝากเงินครับ
สุดท้ายคือ “ปัจจัยภายนอก” ครับ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น โรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ ปัจจัยเหล่านี้บางครั้งก็ควบคุมไม่ได้ แต่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและทิศทางของดัชนีหุ้นได้อย่างมหาศาลครับ อย่างที่เราเคยเจอวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 ที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดำดิ่ง หรือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ดัชนีหุ้นผันผวนอย่างรุนแรงเมื่อปี 2020 เป็นต้น
แล้วในฐานะนักลงทุน เราจะใช้ประโยชน์จาก ดัชนีหุ้น ได้ยังไงบ้าง?
อย่างแรกเลย ดัชนีหุ้นคือ “เข็มทิศ” ที่ช่วยบอก “แนวโน้มของตลาดหุ้น” ครับ การเปลี่ยนแปลงของดัชนี ไม่ว่าจะเป็นการขึ้น การลง หรือการทรงตัว ล้วนบ่งชี้ถึงภาวะตลาดกระทิง (ขาขึ้น) หรือตลาดหมี (ขาลง) ช่วยให้เราวางแผนการลงทุนได้ถูกทางว่าจะซื้อหรือจะขาย หรือจะรอดูก่อน
อย่างที่สอง ดัชนีหุ้นใช้ “เปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุน” ได้ดีเยี่ยมครับ คุณสามารถนำผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของคุณไปเทียบกับดัชนี SET Index (เซ็ต อินเด็กซ์) หรือดัชนีที่เหมาะสม เพื่อดูว่าการลงทุนของคุณนั้น “เอาชนะตลาด” ได้หรือไม่? หรือยังต้องปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม
อย่างที่สาม ดัชนีหุ้นยังเป็นพื้นฐานในการ “สร้างพอร์ตการลงทุนแบบ Index Fund” หรือ “กองทุนรวมดัชนี” ครับ กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนีนั้นๆ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนเป็นไปตามดัชนีนั้นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับตลาดโดยรวม เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้นรายตัว
และสุดท้าย นักลงทุนสายเทคนิคก็นิยมใช้ดัชนีหุ้นในการ “วิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจังหวะการซื้อขาย” ครับ การดูกราฟดัชนีร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยให้เห็นรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตและหาจังหวะในการเข้าซื้อหรือขายได้แม่นยำขึ้น
สรุปแล้ว ดัชนีหุ้นคือเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพก็ตาม มันช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาด เข้าใจทิศทางเศรษฐกิจ และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น เปรียบเสมือนคุณมีแผนที่นำทางที่ไม่ใช่แค่บอกทางไปจุดหมายปลายทาง แต่ยังบอกสภาพภูมิประเทศ อากาศ และอุปสรรคข้างหน้าให้คุณเตรียมพร้อมรับมือได้อีกด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าดัชนีจะชี้ไปทางไหน การศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าหลงเชื่อข่าวลือหรือตามกระแสโดยปราศจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองนะครับ หากคุณเพิ่งเริ่มต้นลงทุนและยังมีเงินทุนไม่มาก หรือสภาพคล่องทางการเงินของคุณยังไม่สูงพอ ผมแนะนำให้เริ่มจากการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี หรือกองทุนรวมทั่วไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นรายตัว และกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ ตัว จะเป็นการเริ่มต้นที่ปลอดภัยและเรียนรู้ตลาดไปพร้อมกันได้ดีกว่าครับ หวังว่าบทความนี้จะไขข้อสงสัยว่า “ดัชนีหุ้นคืออะไร” และเป็นประโยชน์กับทุกท่านในการตัดสินใจลงทุนนะครับ ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ!